Posted on

🩺 คนรูปร่างปกติแต่ “อ้วนลงพุง” เสี่ยงโรคหัวใจและเบาหวานสูงกว่าที่คิด

งานวิจัยใหม่จาก JAMA Network Open เผยว่า แม้น้ำหนักตัวจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้ามีไขมันสะสมรอบเอว ก็ยังเสี่ยงโรคเรื้อรังเทียบเท่าคนที่มีน้ำหนักเกิน

🎯 สรุปผลการวิจัย

ทีมนักวิจัยจากหลายประเทศได้วิเคราะห์ข้อมูลของประชากรกว่า 471,000 คน จาก 91 ประเทศทั่วโลก เพื่อศึกษาความชุกและผลกระทบของ “ภาวะอ้วนลงพุง” (abdominal obesity) ในคนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ปกติอยู่ระหว่าง 18.5–24.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

ผลการศึกษาพบว่า

  • ประมาณ 1 ใน 5 คน (21.7%) ของผู้ที่มี BMI ปกติ กลับมีภาวะอ้วนลงพุง
  • พื้นที่ที่มีสัดส่วนสูงสุดคือ ตะวันออกกลาง (32.6%) และต่ำสุดคือ แปซิฟิกตะวันตก (15.3%)
  • ผู้ที่มี “อ้วนลงพุง” แม้น้ำหนักตัวปกติ มีแนวโน้มเป็น
    • ความดันโลหิตสูง มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 29%
    • โรคเบาหวาน มากกว่าปกติถึง 81%
    • ไขมันในเลือดสูง และ ไตรกลีเซอไรด์สูง มากกว่ากลุ่มที่ไม่มีอ้วนลงพุง

ผลการวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่า ภาวะอ้วนลงพุงอาจเป็น “ภัยเงียบ” ที่ทำให้คนดูผอมภายนอกแต่สุขภาพภายในเสี่ยงโรคเรื้อรังได้เช่นกัน

📌 ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ

ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความอ้วนโดยทั่วไป แต่ข้อจำกัดคือ มันไม่สามารถบอกได้ว่าไขมันในร่างกายอยู่ตรงไหน
ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) โดยเฉพาะไขมันรอบเอว ถือว่าเป็นไขมันอันตราย เพราะมันเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง

งานวิจัยนี้จึงชี้ว่า แม้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ดี ก็ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย หากมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง ควรใส่ใจตรวจรอบเอวควบคู่กับน้ำหนักตัว เพื่อประเมินความเสี่ยงโรคเรื้อรังได้แม่นยำขึ้น

นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายสาธารณสุขระดับโลก ที่เน้นเพียงการลดภาวะ “อ้วนตาม BMI” อาจยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มการประเมิน “อ้วนรอบเอว” เข้าไปด้วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในการลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

🧪 วิธีการศึกษาของงานวิจัย

  • ใช้ข้อมูลจากโครงการ STEPS ขององค์การอนามัยโลก (WHO STEPS Survey) ระหว่างปี 2000–2020 ครอบคลุมประชากรใน 91 ประเทศ
  • กำหนดเกณฑ์ “อ้วนลงพุง” คือ
    • ผู้หญิง: รอบเอวมากกว่า 80 เซนติเมตร
    • ผู้ชาย: รอบเอวมากกว่า 94 เซนติเมตร
  • วิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาปัจจัยร่วม เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา พฤติกรรมการบริโภค การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์

ข้อจำกัดของงานวิจัยนี้คือ เป็นการศึกษาแบบ “ข้ามช่วงเวลา” (cross-sectional study) ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ได้ แต่ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้โดยตรง จำเป็นต้องมีการติดตามในระยะยาวต่อไป

🔍 ประเด็นน่าสนใจ

  • คนที่มีระดับการศึกษาสูงในบางประเทศกลับมีแนวโน้ม “อ้วนลงพุง” มากขึ้น ซึ่งอาจเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานที่นั่งนานและไม่ค่อยออกกำลังกาย
  • คนที่บริโภคผักผลไม้น้อย หรือออกกำลังกายน้อย มีความเสี่ยงอ้วนลงพุงมากขึ้นในหลายภูมิภาค
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจส่งผลให้ปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เช่น ในประเทศรายได้สูง มักพบภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มทำงานออฟฟิศ ขณะที่ในประเทศรายได้ต่ำ อาจเกิดจากอาหารแปรรูปและน้ำตาลราคาถูก

✅ ข้อเสนอแนะสำหรับคนทั่วไป

แม้คุณจะไม่อ้วนตามตัวเลข BMI แต่ถ้ารอบเอวเกินเกณฑ์ ก็อาจมี “ไขมันช่องท้อง” ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวานได้

คำแนะนำง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่

  1. 🚶‍♀️ ขยับร่างกายให้มากขึ้น – เดินวันละ 30 นาที หรือออกกำลังกายสัปดาห์ละ 150 นาที
  2. 🥦 เพิ่มผักผลไม้ในแต่ละมื้อ – ช่วยลดไขมันสะสมและคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  3. 🍞 หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูง
  4. 🧘 พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด – เพราะฮอร์โมนความเครียดกระตุ้นให้ร่างกายเก็บไขมันไว้ที่หน้าท้อง
  5. 📏 วัดรอบเอวเป็นประจำ – เพื่อเฝ้าระวังสุขภาพด้วยตัวเอง

📝 หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อ ให้ความรู้ด้านสุขภาพและการแพทย์ในเชิงวิชาการเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนการวินิจฉัยหรือคำแนะนำทางการแพทย์จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากผู้อ่านมีอาการผิดปกติทางสุขภาพ หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีความเสี่ยงต่อโรคที่กล่าวถึง ควร ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโดยตรง เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ เนื้อหานี้อ้างอิงจากงานวิจัยทางการแพทย์ที่เผยแพร่ในวารสาร JAMA Network Open (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นข้อมูลจากการศึกษาขนาดใหญ่ในระดับนานาชาติ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามผลการศึกษาฉบับใหม่ในอนาคต

เว็บไซต์นี้มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ด้านสุขภาพอย่างมีวิจารณญาณ โดยไม่สนับสนุนการใช้ยา อาหารเสริม หรือวิธีการรักษาใด ๆ โดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากบุคลากรทางการแพทย์

🩻 บทสรุป

งานวิจัยนี้เตือนเราว่า “ผอมไม่ได้แปลว่าสุขภาพดี”
ภาวะอ้วนลงพุงเป็นสัญญาณเตือนของความเสี่ยงโรคเรื้อรัง แม้ตัวเลขบนตาชั่งจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ การวัดรอบเอวและปรับพฤติกรรมสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การชั่งน้ำหนัก

ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจรอบเอวในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีพฤติกรรม “นั่งนาน ไม่ค่อยออกกำลังกาย” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

📚 แหล่งที่มา
Ahmed KY, Aychiluhm SB, Thapa S, et al. Cardiometabolic Outcomes Among Adults With Abdominal Obesity and Normal Body Mass Index. JAMA Network Open. 2025;8(10):e2537942.
doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.37942

Posted on

🫁ผลวิจัยชี้ ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งอาจได้ประโยชน์จากการคัดกรองมะเร็งปอดมากขึ้น

เผยแพร่ออนไลน์: 30 กันยายน 2568 (September 30, 2025) • JAMA Network Open JAMA Network

งานวิจัยจากสหรัฐฯ เปรียบเทียบการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดแบบเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ขนาดรังสีน้อย (Low-Dose CT; LDCT) ระหว่าง “ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งมาก่อน” กับ “คนที่ไม่เคยเป็นมะเร็ง” พบว่า อัตราการพบมะเร็งปอดภายใน 1 ปี สูงกว่าเล็กน้อยในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง แม้ อัตราผลตรวจเป็นบวก ของภาพสแกนจะใกล้เคียงกัน ข้อมูลชี้ว่าการคัดกรองอาจช่วยเจอ “มะเร็งปอดชนิดใหม่” ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในกลุ่มนี้ได้ และควรมีการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ขึ้นต่อไป. JAMA Network

🧪 งานวิจัยทำอย่างไร

  • การศึกษาเชิงกลุ่ม (cohort study) ใช้ข้อมูลจาก North Carolina Lung Screening Registry (NCLSR) ปี 2015–2019 เชื่อมกับ ทะเบียนมะเร็งของมลรัฐนอร์ทแคโรไลนา (2000–2020)
  • รวมผู้เข้าร่วม 7,295 คน อายุเฉลี่ย 64.7 ปี แบ่งเป็น ผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง 814 คน และ ผู้ที่ไม่เคยเป็นมะเร็ง 6,481 คน
  • ประเมินผลหลักคือ การวินิจฉัยมะเร็งปอดภายใน 1 ปี หลังตรวจคัดกรองครั้งแรก พร้อมวิเคราะห์การตีความผล LDCT และอัตราตายจากทุกสาเหตุ (all-cause mortality) โดยใช้สถิติถดถอยโลจิสติกส์
    รายละเอียดวิธีวิจัยและแหล่งข้อมูลตามต้นฉบับ. JAMA Network

📊 ใครคือผู้เข้าร่วม และแตกต่างกันอย่างไร

  • กลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง มีอายุมากกว่า และ โรคร่วมมากกว่า (ทางเดินหายใจและหัวใจ-หลอดเลือด)
  • อดีตผู้สูบบุหรี่ พบมากกว่าในกลุ่มผู้รอดชีวิตเมื่อเทียบกับผู้ที่ยังสูบอยู่
  • สัดส่วนผู้เข้าร่วมเชื้อสาย Black สูงกว่าเล็กน้อยในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง
    ทั้งหมดนี้ยืนยันด้วยสถิติแตกต่างมีนัยสำคัญหลายตัวแปร. JAMA Network

🔍 ผลลัพธ์หลักที่ต้องรู้

  • อัตราพบมะเร็งปอดภายใน 1 ปี (ตรวจพบ/1,000 คน แบบปรับแล้ว):
    • ผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง 26.0 ต่อ 1,000 (ช่วงเชื่อมั่น 95%: 17.0–38.2)
    • ไม่เคยเป็นมะเร็ง 17.0 ต่อ 1,000 (95%CI: 14.1–20.6)
    • ค่า P = 0.07 (แนวโน้มสูงกว่า แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์นัยสำคัญทางสถิติทั่วไป)
  • การตายจากทุกสาเหตุภายใน 1 ปี (ปรับแล้ว): 19.4 ต่อ 1,000 vs 17.1 ต่อ 1,000 (P = 0.62) — ไม่ต่างกันชัดเจน
  • ผล LDCT เป็นบวก (Lung-RADS 3–4X): ใกล้เคียงกัน (15.8% vs 17.0%)
    ตัวเลขทั้งหมดอ้างอิงตารางผลลัพธ์ในบทความ. JAMA Network

🧭 ทำไมข้อมูลนี้สำคัญ

ผลชี้ว่า การคัดกรองมะเร็งปอดด้วย LDCT อาจมีบทบาทพิเศษ ในผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อ “มะเร็งปอดชนิดใหม่ (second primary)” แม้ผลภาพสแกนเป็นบวกจะพอ ๆ กัน แต่ อัตราพบมะเร็งจริง สูงกว่าเล็กน้อยในกลุ่มผู้รอดชีวิต สะท้อน “ความคุ้มค่าเชิงคลินิก” ที่ควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อตัดสินใจนโยบายคัดกรองที่เหมาะสม. JAMA Network

⚠️ ข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตีความ

  • เป็นข้อมูลจาก รัฐเดียว (North Carolina) อาจไม่สะท้อนทั้งประเทศ
  • ระยะติดตามผลหลัก 1 ปี อาจสั้นสำหรับผลลัพธ์ระยะยาว
  • ความต่างบางค่าอยู่ในระดับ “แนวโน้ม” (P ใกล้ขอบ) ต้องการ กลุ่มตัวอย่างใหญ่ขึ้น เพื่อยืนยัน
    ข้อจำกัดเหล่านี้ระบุไว้ในส่วนอภิปรายของงานวิจัย. JAMA Network

➡️ แล้วควรเดินหน้าต่ออย่างไร

  • สถานพยาบาลที่ดูแลผู้รอดชีวิตจากมะเร็งอาจ พิจารณาความเสี่ยงรายบุคคล (อายุ โรคร่วม ประวัติการสูบ) เมื่อตัดสินใจคัดกรอง
  • ผู้กำหนดนโยบายควรสนับสนุน การศึกษาแบบหลายศูนย์/หลายรัฐ และติดตามผลยาวขึ้น เพื่อวัดผลด้านการรอดชีวิตและต้นทุน-ประสิทธิผล
  • ผู้ป่วยและครอบครัวควร ปรึกษาแพทย์ประจำ เรื่องเกณฑ์คัดกรองมะเร็งปอดที่เหมาะกับตน (เช่น แนวทาง USPSTF/NCCN) โดยพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์รายคนควบคู่กัน. JAMA Network

📝 หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

ข้อมูลและเนื้อหาที่เผยแพร่ในบทความนี้อ้างอิงจากงานวิจัยทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ใน JAMA Network Open โดยมีจุดประสงค์เพื่อ เผยแพร่ความรู้และให้ข้อมูลเชิงวิชาการแก่สาธารณชน ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ส่วนบุคคล

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีข้อสงสัยเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของตนเอง หรือกำลังพิจารณาการตรวจคัดกรองโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

เว็บไซต์นี้ ไม่สามารถรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น จากการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากบุคลากรทางการแพทย์


📚 แหล่งอ้างอิง/ที่มา

  1. Rivera MP, Benefield T, Durham DD, et al. Lung Cancer Screening in Cancer Survivors vs Those Without a History of Cancer. JAMA Network Open. ตีพิมพ์ออนไลน์ 30 กันยายน 2568; 8(9):e2535000. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.35000. เข้าถึงได้ทาง JAMA Network Open: JAMA Network