Posted on

ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส: การวิเคราะห์แนวทางและผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศ

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาสเป็นประเด็นที่ยืดเยื้อในภูมิภาคตะวันออกกลาง และยังคงดึงดูดความสนใจของชาติต่าง ๆ ทั่วโลก ในบริบทนี้ ท่าทีของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในแนวทางการจัดการปัญหานี้อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะกล่าวถึงท่าทีและข้อเสนอของทรัมป์ รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค

แนวทางของโดนัลด์ ทรัมป์

  1. การกดดันฮามาสให้ปล่อยตัวประกัน ในการให้สัมภาษณ์ ทรัมป์กล่าวว่าฮามาสจะต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมดภายในวันเสาร์เวลา 12.00 น. หากไม่ปฏิบัติตาม ทรัมป์ระบุว่า “นรกจะปะทุ” ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางที่เข้มงวดและไม่ยอมประนีประนอม โดยเขายังกล่าวเพิ่มเติมว่าการปล่อยตัวประกันต้องดำเนินการทั้งหมดในคราวเดียว ไม่ใช่แบบค่อยเป็นค่อยไป
  2. การยกเลิกข้อตกลงหยุดยิง ทรัมป์แนะนำว่าอิสราเอลควรยกเลิกข้อตกลงหยุดยิงหากฮามาสไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว โดยเขากล่าวว่า การเจรจาใด ๆ ควรตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ฮามาสต้องคืนตัวประกันก่อนที่จะดำเนินการอื่นใด
  3. ข้อเสนอแนะในการจัดการกับฉนวนกาซา ทรัมป์เสนอแนวคิดที่ขัดแย้งอย่างมาก นั่นคือการให้สหรัฐฯ เข้ามา “เป็นเจ้าของ” ฉนวนกาซา และพัฒนาเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยใหม่ โดยเขาอธิบายว่าพื้นที่ดังกล่าวสามารถพัฒนาให้เป็น “อสังหาริมทรัพย์” และมีการสร้างชุมชนปลอดภัยนอกพื้นที่เสี่ยงภัย อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังกล่าวว่าชาวปาเลสไตน์จะไม่ได้รับสิทธิ์กลับไปยังฉนวนกาซา ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในระดับนานาชาติ
  4. การใช้แรงกดดันต่อประเทศเพื่อนบ้านของอิสราเอล ทรัมป์ยังกล่าวถึงการกดดันจอร์แดนและอียิปต์ให้รับผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ พร้อมกับระบุว่าสหรัฐฯ อาจพิจารณาระงับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศเหล่านี้หากพวกเขาไม่ยินยอมรับผู้อพยพ นโยบายนี้ส่งผลให้ความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรในภูมิภาคนี้เผชิญกับความท้าทาย

การตอบสนองจากประชาคมโลก

  1. เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ ท่าทีของทรัมป์ โดยเฉพาะการเสนอให้สหรัฐฯ เป็นเจ้าของฉนวนกาซา ได้สร้างความไม่พอใจในระดับนานาชาติ เนื่องจากมองว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาวปาเลสไตน์ รวมถึงการปฏิเสธสิทธิ์ในการกลับถิ่นฐานเดิมของพวกเขา ซึ่งขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนสากล
  2. การปฏิเสธจากจอร์แดนและอียิปต์ ผู้นำจอร์แดนและอียิปต์แสดงการคัดค้านอย่างชัดเจนต่อข้อเสนอของทรัมป์ โดยยืนยันว่าพวกเขาไม่สามารถรับผู้อพยพเพิ่มเติมได้ และเรียกร้องให้สหรัฐฯ หาวิธีแก้ปัญหาที่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวต่อภูมิภาค
  3. การสนับสนุนจากบางส่วนในสหรัฐฯ แม้ท่าทีของทรัมป์จะถูกวิจารณ์ในระดับนานาชาติ แต่เขายังคงได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนภายในประเทศบางส่วนที่เห็นด้วยกับแนวทางที่แข็งกร้าวและการปกป้องผลประโยชน์ของอิสราเอล

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  1. ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แนวทางของทรัมป์อาจเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ข้อตกลงหยุดยิงถูกยกเลิก และเกิดการเผชิญหน้าระหว่างอิสราเอลและฮามาสอีกครั้ง
  2. ผลกระทบต่อบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาค การที่ทรัมป์เสนอให้สหรัฐฯ “เป็นเจ้าของ” ฉนวนกาซา อาจทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ในการเป็นคนกลางในการเจรจาสันติภาพถูกตั้งคำถามจากประชาคมโลก
  3. ผลกระทบต่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ แนวคิดในการย้ายถิ่นฐานชั่วคราวของชาวปาเลสไตน์ อาจสร้างความไม่พอใจและทำให้สถานการณ์ความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยยิ่งซับซ้อนขึ้น

ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส สะท้อนถึงแนวทางที่เน้นการใช้แรงกดดันและข้อเสนอที่ท้าทายต่อสถานะทางการเมืองในภูมิภาค แม้ว่าจะมีเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพในตะวันออกกลาง แต่แนวทางดังกล่าวยังคงก่อให้เกิดความไม่พอใจในระดับนานาชาติ และเพิ่มความซับซ้อนต่อการแก้ไขปัญหาในระยะยาว.

Reference: Coohfey.com

Posted on

การปลดปล่อยเครือข่ายไฟฟ้าของประเทศบอลติกจากอิทธิพลของรัสเซีย: ก้าวสู่ความเป็นอิสระด้านพลังงาน

ประเทศเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย กำลังเดินหน้าสู่การเป็นอิสระทางพลังงานอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการตัดขาดจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สุดท้ายของการยุติผลกระทบจากการยึดครองในยุคโซเวียตที่ยาวนานกว่า 50 ปี การเตรียมตัวครั้งนี้ไม่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังความพร้อมให้กับประชาชนในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ไฟฟ้าดับ

การเตรียมความพร้อมสู่ระบบใหม่

เอสโตเนียและประเทศเพื่อนบ้านได้เริ่มเตรียมการเพื่อแยกตัวจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าของรัสเซียตั้งแต่เข้าร่วมสหภาพยุโรปและนาโตในปี 2004 โดยตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาได้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเดิม พร้อมทั้งสร้างสายส่งไฟฟ้าใหม่ เช่น สายเคเบิลใต้ทะเลเชื่อมกับฟินแลนด์และสวีเดน และสาย LitPol ที่เชื่อมลิทัวเนียกับโปแลนด์

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หลังจากรัสเซียรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ ประเทศบอลติกทั้งสามได้หยุดซื้อไฟฟ้าจากรัสเซียทันที แต่ยังต้องพึ่งพารัสเซียในการควบคุมสมดุลของระบบไฟฟ้าและรักษาความถี่ไฟฟ้าภายในระบบ ซึ่งเป็นบริการที่รัสเซียให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในอดีต การแยกตัวออกจากระบบนี้จึงเป็นการตัดอำนาจควบคุมที่รัสเซียยังมีอยู่เหนือพวกเขา

การลงทุนและความสำคัญเชิงสัญลักษณ์

การแยกตัวออกจากระบบเครือข่ายไฟฟ้าของรัสเซีย หรือที่เรียกว่าการ “desynchronize” จะเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2025 โดยในวันนั้น ทั้งสามประเทศจะตัดขาดจากข้อตกลง BRELL (Belarus, Russia, Estonia, Latvia, Lithuania) และเข้าสู่ระบบเครือข่ายไฟฟ้าของยุโรปในวันถัดไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญทางจิตวิทยาและสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระจากอดีตยุคโซเวียต

การลงทุนในโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากสหภาพยุโรป โดยมีมูลค่ากว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับบอลติก การจ่ายราคาแพงเพื่อความอิสระนี้คุ้มค่ามากกว่าอนุญาตให้มอสโกยังมีอำนาจควบคุมเหนือระบบพลังงานของพวกเขา

ความกังวลด้านความมั่นคง

แม้จะมีการเตรียมการอย่างรอบคอบ แต่ความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ รัสเซียอาจใช้วิธีการก่อกวน เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ การปล่อยข่าวลวง หรือแม้กระทั่งการก่อวินาศกรรม เพื่อขัดขวางการเปลี่ยนผ่านของประเทศบอลติก

รัฐบาลบอลติกได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังด้านความปลอดภัย รวมถึงการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครป้องกันภัยเพื่อคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ในขณะเดียวกัน นาโตก็ได้จัดตั้งภารกิจใหม่เพื่อปกป้องสายส่งใต้ทะเลในทะเลบอลติก หลังจากเหตุการณ์ที่สายเคเบิลสำคัญในภูมิภาคนี้ได้รับความเสียหายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

ก้าวใหม่ของบอลติกและบทบาทของนาโต

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศบอลติกได้ก้าวพ้นจากเงาของรัสเซียอย่างแท้จริง และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปอย่างเต็มตัว แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ของรัสเซีย แต่การแสดงความมุ่งมั่นในครั้งนี้ย้ำให้เห็นถึงจุดยืนที่แน่วแน่ในการปกป้องอธิปไตยด้านพลังงานของตน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าภูมิภาคนี้สามารถลดอิทธิพลของรัสเซีย และยืนหยัดในฐานะส่วนหนึ่งของยุโรปที่แข็งแกร่งและมีอิสระ.

Posted on

บทบาทและความขัดแย้ง: การยกเลิกสิทธิ์ข้อมูลลับของอดีตประธานาธิบดีในบริบทการเมืองสหรัฐ

แนวโน้มและบทบาทของการใช้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลลับระดับชาติในบริบทของอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เมื่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าเขาจะยกเลิกสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลลับของโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าแนวปฏิบัตินี้จะดูผิดปกติ แต่กลับสะท้อนความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างประธานาธิบดีและอดีตประธานาธิบดีในด้านความมั่นคงของชาติ

การพิจารณาประเด็นสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลลับ

โดยทั่วไป อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะไม่ได้รับสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลลับเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้ว การอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลลับนั้นมักเป็นธรรมเนียมที่มีขึ้นเพื่อการให้คำปรึกษาหรือสนับสนุนในกรณีที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันต้องการคำแนะนำ อย่างไรก็ตาม การให้สิทธิ์นี้ไม่ได้เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระบุว่าการตัดสินใจของเขาในการยกเลิกสิทธิ์ของโจ ไบเดนนั้นมาจากกรณีที่ไบเดนเคยทำเช่นเดียวกันกับเขาในปี 2021 เมื่อไบเดนตัดสินใจจำกัดสิทธิ์การรับข้อมูลข่าวกรองของทรัมป์ โดยอ้างถึงพฤติกรรมที่ไม่แน่นอนของทรัมป์ก่อนและหลังเหตุการณ์โจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 6 มกราคม 2021 นี่เป็นครั้งแรกที่อดีตประธานาธิบดีถูกกีดกันจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวกรอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในประเพณีเดิมที่เคยมีมา

การตั้งคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความเหมาะสม

ทรัมป์ยังกล่าวถึงรายงานจาก Robert Hur ที่ระบุว่าโจ ไบเดนมีความทรงจำที่เลอะเลือนและขาดความสามารถในการจัดการข้อมูลลับอย่างเหมาะสม รายงานนี้ไม่ได้กล่าวหาไบเดนว่ากระทำความผิดทางอาญา แต่ชี้ให้เห็นถึงความไม่รอบคอบในการจัดการข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง ซึ่งทรัมป์ได้นำมาใช้อ้างอิงเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของเขา

ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามเชิงลึกว่า ใครควรมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลลับระดับชาติ? และการใช้เหตุผลด้านพฤติกรรมส่วนตัวหรือความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเช่นนี้ มีความเหมาะสมหรือไม่? นอกจากนี้ ยังชวนให้ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซ่อนอยู่ระหว่างผู้นำในอดีตและปัจจุบัน

ผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

การตัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลลับของอดีตประธานาธิบดี อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในแง่ของการสร้างความร่วมมือและความต่อเนื่องของนโยบาย โดยเฉพาะในกรณีที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอาจต้องการความเห็นหรือข้อมูลเชิงลึกจากผู้นำในอดีต การกระทำดังกล่าวอาจสร้างบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลลบต่อกระบวนการตัดสินใจในระดับสูงสุดของรัฐบาล

ความหมายเชิงสัญลักษณ์และการเมือง

การตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้ยังมีนัยเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความขัดแย้งในระดับบุคคลระหว่างเขาและไบเดน การกล่าวว่า “Joe, you’re fired” ซึ่งเป็นคำพูดที่สะท้อนเอกลักษณ์ของทรัมป์ แสดงถึงการพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนว่าเขายังมีบทบาทในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ การเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ในการสร้างความนิยมและความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้สนับสนุนของเขา

สรุปและมุมมองเชิงอนาคต

การยกเลิกสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลลับของโจ ไบเดนโดยโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในธรรมเนียมและความสัมพันธ์ระหว่างอดีตและปัจจุบันในวงการการเมืองอเมริกัน ในขณะที่เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง การกระทำดังกล่าวเปิดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของอดีตประธานาธิบดีและความมั่นคงของชาติในบริบทของการเมืองที่มีการแบ่งแยกชัดเจน

Reference: Coohfey.com

Posted on

ทรัมป์เสนอแผนพลิกโฉมฉนวนกาซา: เปลี่ยนจากซากปรักหักพังสู่ “ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง”

เมื่อเร็วๆ นี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความตกตะลึงให้กับประชาคมโลกด้วยการเปิดเผยแผนการเปลี่ยนฉนวนกาซาให้กลายเป็นพื้นที่พัฒนาใหม่ในรูปแบบ “ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง” โดยแผนดังกล่าวถูกเปิดเผยในงานแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูแห่งอิสราเอล

ทรัมป์กล่าวว่าเขามองเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งทะเลของกาซา และเชื่อว่าการพัฒนานี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แม้ว่าแผนดังกล่าวจะยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นทางการในเอกสาร แต่ทรัมป์ได้ประกาศเจตนารมณ์ของเขาอย่างชัดเจน

ที่มาของแผนการนี้

คนใกล้ชิดของทรัมป์เปิดเผยว่าแนวคิดนี้มาจากตัวทรัมป์เอง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการรายงานของ Steve Witkoff ทูตพิเศษด้านตะวันออกกลางของเขา Witkoff เพิ่งเดินทางไปยังกาซาและกลับมาด้วยคำบรรยายถึงสภาพความเสียหายอย่างรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งรวมถึงอาคารที่เสี่ยงจะถล่มและไม่มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน

“ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแก๊ส ทุกอย่างพังพินาศ” Witkoff กล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมอธิบายว่าการฟื้นฟูกาซาเป็นสิ่งจำเป็นในระยะยาว

ทรัมป์แสดงความกังวลถึงความล้มเหลวของแผนการอื่นๆ ในอดีตสำหรับกาซา และมองว่าความคิดของเขาจะเป็นตัวเร่งให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเสนอแผนการที่ดีกว่า

ความตื่นตะลึงและความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง

เจ้าหน้าที่หลายคนในรัฐบาลทรัมป์ รวมถึงที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ Mike Waltz และ Witkoff ได้รับทราบแผนนี้ก่อนการแถลงข่าวไม่นาน ขณะที่เจ้าหน้าที่บางคน เช่น Marco Rubio รัฐมนตรีต่างประเทศ ถึงกับต้องรู้เรื่องนี้จากการชมถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

แผนการนี้ได้รับคำวิจารณ์ทั้งในด้านบวกและลบ โดยผู้สนับสนุนเห็นว่าเป็นแนวคิดใหม่ที่กล้าหาญและอาจกระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ในขณะที่ผู้วิจารณ์ตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้และผลกระทบในเชิงภูมิรัฐศาสตร์

ความคาดหวังและอุปสรรคข้างหน้า

ทรัมป์ยังกล่าวถึงแผนการชั่วคราวที่จะย้ายประชาชนชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซา โดยหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างจอร์แดนและอียิปต์ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่ต้องการรับผู้ลี้ภัยเพิ่ม

ในขณะที่บางคนมองว่าแผนการของทรัมป์เป็นการเปลี่ยนบทบาทจากอดีตผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่การพัฒนาในระดับโลก แต่ก็ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการใช้กองทัพสหรัฐในภูมิภาค และค่าใช้จ่ายมหาศาลที่อาจเกิดขึ้น

บทสรุปและผลกระทบต่อภูมิภาค

แม้ว่าคำพูดของทรัมป์อาจดูเหมือนแผนการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังต้องรอดูว่าจะมีการดำเนินการจริงมากน้อยเพียงใด ในขณะที่ผู้นำระดับภูมิภาคต่างต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

ทรัมป์กล่าวสรุปว่า “ฉนวนกาซามีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ หากเราเปลี่ยนแปลงมัน เราจะสร้างสิ่งที่สวยงามและนำมาซึ่งความสงบสุขในภูมิภาคนี้”.

Posted on

ปฏิกิริยาของผู้นำยุโรปและผู้นำในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีต่อแผนเข้ายึดครองฉนวนกาซา(Take over)ของโดนัลด์ ทรัมป์

แผนการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เสนอให้สหรัฐฯ “เข้ายึดครอง” กาซา ได้จุดกระแสการตอบรับและปฏิกิริยาอย่างกว้างขวางทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง นี่คือมุมมองของผู้นำและหน่วยงานสำคัญต่อแผนนี้

มุมมองจากยุโรป

  • ฝรั่งเศส: กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสยืนยันการคัดค้านการย้ายถิ่นฐานของชาวปาเลสไตน์โดยบังคับ โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ปัญหาแบบสองรัฐ
  • เยอรมนี: แอนนาลีนา แบร์บ็อค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าแผนดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับและขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเตือนว่าการบังคับขับไล่ชาวปาเลสไตน์จะก่อให้เกิดความทุกข์และความเกลียดชังใหม่
  • สเปน: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โฆเซ มานูเอล อัลบาเรส บัวโน ชี้ชัดว่า “กาซาเป็นของชาวปาเลสไตน์ และพวกเขาควรอยู่ที่นั่นต่อไป”
  • สหราชอาณาจักร: เดวิด แลมมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าขณะกาซาถูกทำลาย แต่สหราชอาณาจักรยังคงสนับสนุนการแก้ปัญหาแบบสองรัฐ โดยให้ชาวปาเลสไตน์สามารถมีชีวิตที่มั่นคงในดินแดนของตน

ปฏิกิริยาจากตะวันออกกลาง

  • ปาเลสไตน์: ประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ของปาเลสไตน์เรียกแผนดังกล่าวว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และย้ำว่าชาวปาเลสไตน์จะไม่ยอมสูญเสียสิทธิในดินแดนของตน
  • ฮามาส: ตัวแทนของฮามาสระบุว่าแผนนี้สะท้อนถึงความไม่เข้าใจของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาค พร้อมประณามว่าเป็นแนวคิดการยึดครองและการกดขี่
  • อียิปต์: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเตือนว่าชาวปาเลสไตน์ไม่ควรถูกบังคับให้ออกจากกาซา และการฟื้นฟูควรเกิดขึ้นโดยชาวปาเลสไตน์ยังคงอยู่ในพื้นที่
  • ซาอุดีอาระเบีย: ซาอุดีอาระเบียยืนยันการสนับสนุนอันแน่วแน่ต่อการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์โดยมีเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง พร้อมปฏิเสธการปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลหากไม่มีการรับประกันดังกล่าว

การวิพากษ์แผนจากมุมมองสิทธิมนุษยชน

องค์กรการแพทย์เพื่อช่วยเหลือปาเลสไตน์ประณามแผนดังกล่าวว่า “เทียบเท่ากับการล้างเผ่าพันธุ์” และเป็นอาชญากรรมสงคราม โดยเน้นว่าชาวกาซาสมควรได้รับสิทธิในดินแดนของตน

มุมมองจากอิสราเอล

แผนของทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายขวาสุดโต่งในรัฐบาลอิสราเอล เช่น เบซาเลล สมอตริช รัฐมนตรีการคลัง ซึ่งมองว่าแผนนี้จะช่วยขจัดความคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์

สรุป

แผนของประธานาธิบดีทรัมป์ในการเข้าควบคุมกาซาได้สร้างความขัดแย้งในเวทีโลกอย่างมาก ผู้นำในยุโรปและตะวันออกกลางส่วนใหญ่แสดงการต่อต้านโดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาแบบสองรัฐและการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน แผนดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มฝ่ายขวาในอิสราเอล ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาที่ต้องการการแก้ไขที่ยั่งยืนและเป็นธรรม.

Posted on

ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจสงครามรัสเซีย: ความจริงหรือภาพลวงตา?

นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022 เศรษฐกิจของรัสเซียได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก แต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมากลับไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดการณ์ไว้ บางรายงานชี้ว่าในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจรัสเซียเติบโตเร็วกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรปหลักๆ หลายประเทศ อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะมีงบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ผลกระทบต่อการใช้จ่ายด้านอื่นๆ ดูเหมือนจะเป็นเพียงชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนกลับมองว่าความสำเร็จที่ปรากฏนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่รัฐบาลรัสเซียสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความเข้มแข็ง ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อสองเป้าหมายหลัก ได้แก่ การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนภายในประเทศว่า “เรายังคงยืนหยัดอยู่ได้” และการส่งสัญญาณไปยังพันธมิตรของยูเครนว่า “เราสามารถอยู่รอดได้นานกว่าคุณ”

ภาพลวงตาของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์เปรียบเปรยการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียว่าเหมือนกับการใช้สเตียรอยด์ – มันอาจช่วยสร้างกล้ามเนื้อในช่วงแรก แต่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว Elina Ribakova จากสถาบัน Peterson Institute for International Economics ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความมั่นคงอย่างแท้จริง แต่เปรียบเสมือนการ “วิ่งพล่านด้วยพลังงานที่ไม่ยั่งยืน”

ปัญหาสำคัญที่เริ่มปรากฏชัดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คือข้อจำกัดในการผลิตที่เริ่มถึงขีดสุด ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นในปีที่ผ่านมา แม้ธนาคารกลางจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 21% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสองทศวรรษ การขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวยิ่งสร้างแรงกดดันต่อบริษัทและผู้บริโภคในประเทศ

การใช้กลยุทธ์ “งบประมาณเงา”

หนึ่งในกลยุทธ์ที่รัฐบาลรัสเซียใช้เพื่อซ่อนต้นทุนที่แท้จริงของสงคราม คือการพึ่งพา “งบประมาณเงา” โดยกำหนดให้ธนาคารปล่อยกู้ให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสงครามบนเงื่อนไขที่รัฐกำหนด ซึ่งตามรายงานของ Craig Kennedy จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าการกู้ยืมในรูปแบบนี้เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติถึง 71% ระหว่างกลางปี 2022 ถึงปลายปี 2024 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 19.4% ของ GDP รัสเซีย โดยประมาณ 60% ของเงินกู้ดังกล่าวถูกปล่อยให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสงคราม

Kennedy เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจนำไปสู่ปัญหาวิกฤตสินเชื่อครั้งใหญ่ในอนาคต เนื่องจากบริษัทที่ได้รับเงินกู้ส่วนใหญ่อาจไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้คืน ทำให้ธนาคารต้องเผชิญกับปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น

ความท้าทายที่เริ่มปรากฏ

แม้เศรษฐกิจรัสเซียจะดูเหมือนยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แต่ปัญหาและความท้าทายเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยมีตัวอย่างสำคัญดังนี้:

  1. เงินเฟ้อและการขาดแคลนสินค้า
    แม้ค่าจ้างเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงถึง 9.5% ในปีที่แล้วทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง ร้านค้าบางแห่งถึงกับต้องล็อกตู้แช่เนยเพื่อป้องกันการขโมย ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดในสังคม
  2. ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
    อัตราการว่างงานที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 2.3% ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง แต่แสดงถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง บริษัทต้องจ่ายค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดพนักงาน สาเหตุสำคัญมาจากการสูญเสียกำลังคนในสงคราม ซึ่งมีรายงานว่ารัสเซียสูญเสียกำลังพลกว่า 800,000 คนตั้งแต่เริ่มสงคราม
  3. ความไม่แน่นอนในระบบการเงิน
    ข่าวลือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะอายัดเงินฝากของประชาชน ทำให้เกิดความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน ถึงแม้ธนาคารกลางจะออกมาปฏิเสธ แต่ความเชื่อมั่นที่ลดลงสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบการเงินในประเทศ
  4. แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตร
    มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกเริ่มส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซที่เคยเป็นแหล่งรายได้หลักของรัสเซีย การปิดกั้นการส่งออกก๊าซผ่านยูเครนและความยากลำบากในการใช้งานกองเรือ “shadow fleet” ทำให้รายได้ของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง Gazprom ลดลงอย่างมาก

ผลกระทบต่อสัญญาสังคมรัสเซีย

ในอดีต ชาวรัสเซียส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลไม่สามารถมอบความยุติธรรมได้ แต่คาดหวังการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลแทน อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านสงครามที่เพิ่มขึ้นทำให้งบประมาณด้านบริการอื่นๆ ถูกลดทอนลง ความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ “สัญญาสังคม” ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนสั่นคลอน

บทสรุป

เศรษฐกิจรัสเซียที่ดูเหมือนจะมั่นคงในช่วงแรกของสงครามกำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น ภาพลวงตาของความเข้มแข็งที่รัฐบาลสร้างขึ้นอาจไม่สามารถปกปิดความเปราะบางที่แท้จริงได้ในระยะยาว ด้วยแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตร การขาดแคลนแรงงาน และปัญหาภายในระบบการเงิน เศรษฐกิจรัสเซียอาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วงมากขึ้นในอนาคต.

Posted on

สหรัฐฯ ยุติข้อขัดแย้งกับโคลอมเบียหลังตกลงรับผู้อพยพกลับประเทศ

รัฐบาลสหรัฐฯ และโคลอมเบียได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการส่งผู้อพยพชาวโคลอมเบียกลับประเทศ หลังจากเกิดกรณีที่รัฐบาลโคลอมเบียปฏิเสธการลงจอดของเครื่องบินทหารสหรัฐฯ ที่บรรทุกผู้อพยพเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดและการขู่ตอบโต้ทางการค้าระหว่างสองประเทศ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบีย 25% ทันที พร้อมขู่เพิ่มเป็น 50% ภายในหนึ่งสัปดาห์ และออกคำสั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศสำหรับพลเมืองโคลอมเบีย รวมถึงเพิกถอนวีซ่าของเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบียในสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตร ของโคลอมเบียปฏิเสธไม่ให้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ ที่บรรทุกผู้อพยพลงจอด โดยกล่าวว่าสหรัฐฯ “ไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้อพยพชาวโคลอมเบียราวกับเป็นอาชญากรได้”

ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ
ก่อนการตกลงกันได้ ฝ่ายโคลอมเบียตอบโต้ด้วยการขู่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% เช่นกัน ประธานาธิบดีเปโตรยังคัดค้านการใช้เครื่องบินทหารในการขนส่งผู้อพยพ พร้อมย้ำว่าโคลอมเบียยินดีรับผู้อพยพที่เดินทางมาด้วยเครื่องบินพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม หลังการหารือในช่วงค่ำของวันอาทิตย์ แถลงการณ์จากโฆษกรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าโคลอมเบียได้ตกลงที่จะรับผู้อพยพชาวโคลอมเบียกลับประเทศโดย “ไม่มีข้อจำกัด” และจะอนุญาตให้ใช้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ ในการขนส่งโดยไม่มีเงื่อนไข

การยุติมาตรการตอบโต้บางส่วน
สหรัฐฯ ยืนยันว่าจะระงับการบังคับใช้มาตรการทางเศรษฐกิจและภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศไว้ หากโคลอมเบียปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม มาตรการตรวจสอบเข้มงวดสำหรับสินค้าและบุคคลจากโคลอมเบีย รวมถึงการเพิกถอนวีซ่าเจ้าหน้าที่บางรายจะยังคงมีผลบังคับใช้จนกว่าการส่งผู้อพยพชุดแรกจะสำเร็จ

ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศโคลอมเบีย นายลูอิส กิลเบอร์โต มูริลโล ยืนยันว่า การส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศด้วยเครื่องบินทหารสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ความสัมพันธ์การค้าระหว่างประเทศที่เปราะบาง
โคลอมเบียไม่ใช่คู่ค้าหลักของสหรัฐฯ โดยในปี 2023 มีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าส่งออกหลักจากโคลอมเบียไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ น้ำมัน แร่ธาตุ โลหะ และกาแฟ หากสหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการภาษี 25% จะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้า เช่น กาแฟ แพงขึ้นทันที และส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคชาวอเมริกัน

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการตอบโต้ทางการค้าอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโคลอมเบีย โดยเฉพาะในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก เช่น กาแฟและดอกไม้ ซึ่งมีครอบครัวและแรงงานจำนวนมากต้องพึ่งพารายได้จากภาคส่วนนี้

เสียงเรียกร้องให้ใช้การทูตแก้ไขปัญหา
กลุ่มนักวิเคราะห์และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโคลอมเบียเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างรอบคอบและเน้นการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ องค์กรสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของโคลอมเบีย (CORI) ระบุว่าปัญหาการอพยพควรได้รับการแก้ไขโดยยึดถือข้อตกลงทวิภาคี และเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศหลีกเลี่ยงการตอบโต้ทางการค้า

มาเรีย คลอเดีย ลาคูตูร์ หัวหน้าหอการค้าโคลอมเบีย-อเมริกัน กล่าวในโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “เราขอเรียกร้องให้มีการเจรจาอย่างมีเหตุผลและใช้ช่องทางการทูตเพื่อแก้ไขวิกฤตครั้งนี้โดยเร็วที่สุด” พร้อมเตือนว่าภาษีจากสหรัฐฯ จะสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจโคลอมเบีย

บทสรุปและความหวังในความร่วมมือ
ความตกลงระหว่างสหรัฐฯ และโคลอมเบียถือเป็นสัญญาณบวกในการคลี่คลายความขัดแย้ง แต่ยังต้องจับตามองว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อตกลงได้มากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันการตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของนโยบายการอพยพที่เกี่ยวโยงกับการค้าระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ทางการทูตที่เปราะบาง.

Posted on

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และเดนมาร์ก: ทรัมป์ผลักดันการครอบครองกรีนแลนด์อีกครั้ง

หลังจากที่แนวคิดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์กเคยถูกปฏิเสธในปี 2019 ความพยายามครั้งใหม่ของเขาในเรื่องนี้กำลังสร้างความกังวลในหมู่เจ้าหน้าที่เดนมาร์กและพันธมิตรระหว่างประเทศ

ทรัมป์ย้ำความสำคัญของกรีนแลนด์ต่อความมั่นคงของชาติ
ในงานแถลงข่าวที่มารา-ลาโก ทรัมป์กล่าวว่า “เราต้องการกรีนแลนด์เพื่อความมั่นคงของชาติ” และยังเตือนว่าเดนมาร์กอาจเผชิญกับภาษีที่สูงขึ้น หากปฏิเสธที่จะสละสิทธิ์เหนือดินแดนแห่งนี้

เจ้าหน้าที่เดนมาร์กระบุว่าทรัมป์ดูจริงจังกับแนวคิดนี้มากกว่าเดิม โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่อาวุโสกล่าวว่า “บริบทสนับสนุนแนวคิดนี้แตกต่างจากในปี 2019 อย่างสิ้นเชิง”

กรีนแลนด์แสดงจุดยืนอิสระ
นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ มูต เอเกเด กล่าวชัดเจนว่า “กรีนแลนด์เป็นของประชาชนกรีนแลนด์ และอนาคตของเราเป็นเรื่องของเราเอง” พร้อมย้ำถึงความมุ่งมั่นในการแสวงหาอิสรภาพจากเดนมาร์ก

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และนาโต้ เนื่องจากการประกาศอิสรภาพของกรีนแลนด์อาจสร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองและเปิดโอกาสให้รัสเซียและจีนเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาค

ผลกระทบต่อพันธมิตรและความมั่นคงในอาร์กติก
เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ชี้ว่ากรีนแลนด์เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะในบริบทที่รัสเซียและจีนเพิ่มความร่วมมือทางการทหารในอาร์กติก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เส้นทางเดินเรือใหม่ๆ เปิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการด้านความมั่นคงในกรีนแลนด์จะเป็นภาระหนักสำหรับสหรัฐฯ ซึ่งต้องลงทุนเพิ่มเติม ทั้งในด้านเรือตัดน้ำแข็งและการลาดตระเวน

เดนมาร์กเปิดรับการเจรจา
ลาร์ส ลอคเก ราสมุสเซน รัฐมนตรีต่างประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่ายินดีเปิดการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาความร่วมมือในอาร์กติก แต่ย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองชาติ

ความท้าทายในภูมิรัฐศาสตร์โลก
คำพูดและการกระทำของทรัมป์ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ในอาร์กติก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากทั้งมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออก

เจ้าหน้าที่อาวุโสสหรัฐฯ สรุปว่า “สถานการณ์ในกรีนแลนด์สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าทางยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของพื้นที่แห่งนี้ และความจำเป็นในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เราไม่เคยเห็นมานานหลายปี”.

Posted on

ทรัมป์ปลุกกระแสแนวคิดขยายอาณาเขตสหรัฐสู่ปานามา กรีนแลนด์ และแคนาดา

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังสร้างความสนใจด้วยแนวคิดการขยายอาณาเขตของสหรัฐ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นดีลที่เทียบได้กับการซื้อดินแดนหลุยเซียนาจากฝรั่งเศส หรือการซื้ออะแลสกาจากรัสเซียในอดีต

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์กระตุ้นความไม่พอใจของเจ้าหน้าที่แคนาดาด้วยการพูดถึงแนวคิดรวมแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ พร้อมข่มขู่ที่จะยึดคลองปานามา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่สหรัฐสร้างขึ้นแต่ได้ส่งมอบให้ปานามาควบคุมตั้งแต่ปี 1999 นอกจากนี้ เขายังรื้อฟื้นแผนซื้อกรีนแลนด์ ดินแดนในความดูแลของเดนมาร์ก ซึ่งเขาเคยแสดงความสนใจในสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก

ขยายดินแดนแบบยุค “เสี่ยงโชค” ที่เคยปรากฏในอดีต

ทรัมป์กล่าวว่า การเป็นเจ้าของกรีนแลนด์เป็น “สิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง” เพื่อความมั่นคงและเสรีภาพทั่วโลก พร้อมระบุว่าคลองปานามาเป็น “ทรัพย์สินแห่งชาติที่สำคัญ” แม้สหรัฐจะไม่ได้ควบคุมมานานหลายทศวรรษ ทรัมป์ยังคงผลักดันนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ที่สะท้อนถึงอุดมการณ์การขยายดินแดนของสหรัฐในศตวรรษที่ 19

ปานามาปฏิเสธเสียงแข็ง

ประธานาธิบดี โฆเซ ราอูล มูลิโน ของปานามา โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียยืนยันว่า คลองปานามาเป็นสมบัติของปานามาและ “ไม่สามารถเจรจาต่อรองได้” โดยระบุว่าคลองปานามาซึ่งปานามาควบคุมมากว่า 25 ปี ได้สร้างรายได้มหาศาลให้กับเศรษฐกิจของประเทศ

ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการโพสต์ภาพและข้อความในโซเชียลมีเดียที่ย้ำจุดยืน พร้อมล้อเลียนปานามาด้วยคำว่า “ยินดีต้อนรับสู่คลองของสหรัฐ”

กรีนแลนด์ยืนยัน “ไม่ขาย”

ในส่วนของกรีนแลนด์ นายกรัฐมนตรี มูเต เอกเกเด ของกรีนแลนด์ประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่า “กรีนแลนด์เป็นของเรา และจะไม่ขายเด็ดขาด” ขณะที่นายกรัฐมนตรีเมท เฟรเดอริกเซนของเดนมาร์กเคยเรียกแนวคิดนี้ว่า “ไร้สาระ” และยืนยันว่ากรีนแลนด์ไม่เปิดขายแต่พร้อมร่วมมือทางการเมืองกับสหรัฐ

แคนาดากลายเป็นเป้าหมายหยอกล้อ

แนวคิดการผนวกแคนาดาดูเหมือนจะเป็นเพียงการยั่วเย้าผู้นำแคนาดา จัสติน ทรูโด หลังจากที่ทั้งสองคนร่วมรับประทานอาหารค่ำที่มารา-ลาโก อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ข้อความสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ติดตาม

กลยุทธ์ต่อรองแบบทรัมป์

แนวทางของทรัมป์สะท้อนกลยุทธ์การต่อรองที่ดุดัน โดยใช้คำพูดและการกระทำกระตุ้นให้ประเทศเป้าหมายต้องเจรจากับสหรัฐ ในกรณีของแคนาดาและเม็กซิโก เขาใช้การขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% เพื่อดึงผู้นำทั้งสองประเทศมาหารือเรื่องความมั่นคงชายแดน ซึ่งเป็นความสำเร็จในสายตาของทีมทรัมป์

แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าแนวคิดเหล่านี้จะนำไปสู่การดำเนินการจริงหรือเป็นเพียงคำพูดเพื่อสร้างกระแส แต่ก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีและวิธีการเจรจาที่ไม่เหมือนใครของทรัมป์ที่ยังคงสร้างความสนใจและความขัดแย้งในเวทีการเมืองโลก.

Posted on

Bitcoin พุ่งทำสถิติใหม่ $100,000 หลังทรัมป์เลือกผู้สนับสนุนคริปโตเป็นประธาน SEC

ราคาบิตคอยน์พุ่งแตะ $100,000 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อวันพุธ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง ประกาศเลือก พอล แอตกินส์ ผู้สนับสนุนคริปโตคนสำคัญให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายด้านคริปโตเคอเรนซี

การเปลี่ยนแปลงท่าทีของทรัมป์ต่อคริปโต
ทรัมป์เคยวิจารณ์คริปโตว่าเป็น “สิ่งไร้ค่าและผันผวน” แต่เขากลับลำในช่วงก่อนการเลือกตั้งเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรุ่นใหม่ โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาได้เข้าร่วมงานประชุมคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในแนชวิลล์ และประกาศว่าจะสร้าง “คลังสำรองบิตคอยน์แห่งชาติ” รวมถึงเปลี่ยนแนวทางของรัฐบาลในการจัดการบิตคอยน์ที่ยึดได้จากอาชญากร โดยจะเก็บไว้แทนที่จะนำไปประมูลขาย

ทรัมป์ยังเริ่มต้นธุรกิจคริปโตของตัวเองชื่อ World Liberty Financial ในเดือนกันยายน และใช้บิตคอยน์ซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้านในแมนฮัตตันเพื่อโปรโมตการใช้คริปโต นอกจากนี้ สื่อของเขา Truth Social กำลังอยู่ในระหว่างเจรจาซื้อแพลตฟอร์มการซื้อขายคริปโต Bakkt ตามรายงานของ Financial Times

ความคาดหวังต่อนโยบายคริปโตยุคทรัมป์
การสนับสนุนคริปโตของทรัมป์ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากชุมชนคริปโต ซึ่งช่วยระดมทุนให้เขาและพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งครั้งนี้กว่า $131 ล้าน นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเปิดรับบริจาคเป็นคริปโตตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และระดมทุนได้หลายล้านดอลลาร์จากแคมเปญดังกล่าว

พอล แอตกินส์ ซึ่งทรัมป์เลือกเป็นประธาน SEC คาดว่าจะใช้นโยบายที่เปิดกว้างต่อคริปโต ต่างจากแกรี เกนส์เลอร์ ผู้นำคนปัจจุบันที่เน้นการควบคุมอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด แอตกินส์ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนคริปโตรายใหญ่ เช่น CEO ของ Cantor Fitzgerald, ฮาวเวิร์ด ลัทนิก ซึ่งเป็นผู้สนับสนุน Tether คริปโตอันดับต้น ๆ ของโลก

มุมมองของหน่วยงานกำกับดูแลรายอื่น
แม้คริปโตจะได้รับแรงสนับสนุนจากทรัมป์และชุมชน แต่ยังคงมีผู้วิจารณ์ในวงการการเงิน เช่น ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งมองว่าบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไรและไม่ใช่คู่แข่งของดอลลาร์ โดยเขาเปรียบเทียบว่าบิตคอยน์มีลักษณะคล้ายกับทองคำมากกว่า

อนาคตที่สดใสของคริปโตในยุคทรัมป์
ด้วยการสนับสนุนอย่างชัดเจนจากทรัมป์ ชุมชนคริปโตคาดหวังว่านโยบายคริปโตในยุคใหม่จะเปิดทางให้การพัฒนาและการใช้งานคริปโตในสหรัฐเป็นไปได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งอาจพลิกโฉมวงการการเงินและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต.