Posted on

สำรวจเทคโนโลยีป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์: แนวทางและเครื่องมือสำคัญ

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ อาชญากรรมไซเบอร์มีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ทำให้การป้องกันตนเองและองค์กรจากภัยคุกคามเหล่านี้เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้จะสำรวจผลิตภัณฑ์และแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพ

1. การยืนยันตัวตนและการเข้ารหัสข้อมูล

การยืนยันตัวตนที่เข้มงวดและการเข้ารหัสข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • การยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication – MFA): การใช้ MFA ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยการต้องยืนยันตัวตนผ่านหลายขั้นตอน เช่น รหัสผ่าน รหัส OTP หรือการสแกนลายนิ้วมือ
  • การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption): การเข้ารหัสข้อมูลทั้งในระหว่างการส่งและการเก็บรักษาช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสามารถอ่านหรือแก้ไขข้อมูลได้

การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ร่วมกับนโยบายความปลอดภัยที่ชัดเจนจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์และไวรัส

การติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์และไวรัสที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันภัยคุกคาม

  • โปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus): ช่วยตรวจจับและลบไวรัสที่อาจเข้ามาในระบบ
  • โปรแกรมป้องกันมัลแวร์ (Anti-Malware): สามารถตรวจจับและกำจัดมัลแวร์ประเภทต่าง ๆ เช่น สปายแวร์ แอดแวร์ และแรนซัมแวร์

การอัปเดตซอฟต์แวร์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยจากภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

3. ไฟร์วอลล์และระบบป้องกันการบุกรุก

ไฟร์วอลล์และระบบป้องกันการบุกรุกเป็นเครื่องมือที่ช่วยกรองและตรวจสอบการเข้าถึงเครือข่าย

  • ไฟร์วอลล์ (Firewall): ทำหน้าที่กรองการรับส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายภายในและภายนอก เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • ระบบป้องกันการบุกรุก (Intrusion Prevention System – IPS): ตรวจจับและป้องกันการโจมตีที่พยายามเข้ามาในระบบ

การใช้ไฟร์วอลล์และ IPS ร่วมกันจะช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับเครือข่ายขององค์กร

4. การสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบ

การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการสูญหายของข้อมูล

  • การสำรองข้อมูล (Data Backup): เก็บสำเนาของข้อมูลสำคัญไว้ในที่ปลอดภัย เพื่อให้สามารถกู้คืนได้หากเกิดปัญหา
  • แผนการกู้คืนระบบ (Disaster Recovery Plan): เตรียมความพร้อมในการกู้คืนระบบและข้อมูลในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

การมีแผนสำรองและกู้คืนที่ดีจะช่วยให้องค์กรสามารถกลับมาดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วหลังจากเกิดเหตุการณ์

5. การฝึกอบรมและสร้างความตระหนักรู้

การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

  • การฝึกอบรมความปลอดภัย (Security Training): ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันตนเองจากภัยคุกคาม เช่น การระวังอีเมลฟิชชิ่ง
  • การสร้างความตระหนักรู้ (Awareness Campaign): จัดกิจกรรมหรือแคมเปญเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์

การที่พนักงานมีความรู้และตระหนักถึงภัยคุกคามจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

6. การใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

ในบางกรณี การใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์สามารถช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรได้

  • บริการตรวจสอบความปลอดภัย (Security Assessment): ผู้เชี่ยวชาญจะเข้ามาประเมินและตรวจสอบระบบความปลอดภัยขององค์กร
  • บริการตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Incident Response): ให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีหรือการละเมิดความปลอดภัย

การได้รับคำแนะนำและบริการจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7. การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่องค์กรควรให้ความสำคัญ

  • มาตรฐานความปลอดภัย (Security Standards): เช่น ISO/IEC 270

Reference: Coohfey.com

Posted on

มัลแวร์ vs ไวรัส: ความแตกต่าง อันตราย และกฎหมายที่ควรรู้

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดคือ “มัลแวร์” (Malware) และ “ไวรัสคอมพิวเตอร์” (Computer Virus) ซึ่งทั้งสองมีบทบาทในการทำลายหรือขโมยข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ แม้ว่าคำว่า “มัลแวร์” และ “ไวรัส” จะถูกใช้แทนกันในบางบริบท แต่แท้จริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่าง อันตราย และมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย

ความหมายของมัลแวร์และไวรัส

1. มัลแวร์ (Malware)

มัลแวร์เป็นคำรวมที่ใช้เรียกซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำอันตรายต่อระบบคอมพิวเตอร์หรือขโมยข้อมูลจากผู้ใช้ มัลแวร์มีหลายประเภท เช่น ไวรัส โทรจัน เวิร์ม แรนซัมแวร์ และสปายแวร์

2. ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus)

ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นหนึ่งในประเภทของมัลแวร์ที่สามารถแพร่กระจายโดยการแนบตัวเองไปกับไฟล์หรือโปรแกรมอื่น และจะทำงานเมื่อไฟล์หรือโปรแกรมนั้นถูกเปิดใช้งาน ไวรัสสามารถทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เสียหายได้โดยการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล

ความแตกต่างระหว่างมัลแวร์และไวรัส

ปัจจัยเปรียบเทียบมัลแวร์ไวรัส
ขอบเขตความหมายเป็นคำรวมที่หมายถึงซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายทุกประเภทเป็นประเภทหนึ่งของมัลแวร์
วิธีการแพร่กระจายอาจแพร่กระจายผ่านอีเมล ไฟล์แนบ ลิงก์ หรือช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ต้องอาศัยไฟล์หรือโปรแกรมอื่นในการแพร่กระจาย
วิธีการทำงานอาจขโมยข้อมูล เข้ารหัสไฟล์ หรือควบคุมระบบจากระยะไกลอาจลบ แก้ไข หรือทำให้ข้อมูลเสียหาย

ประเภทของมัลแวร์

1. เวิร์ม (Worm)

เป็นมัลแวร์ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองผ่านเครือข่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาไฟล์ใด ๆ

2. โทรจัน (Trojan)

แฝงตัวมาในรูปแบบของโปรแกรมที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อเปิดใช้งานจะให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบของเหยื่อได้

3. สปายแวร์ (Spyware)

ซอฟต์แวร์ที่แอบเก็บข้อมูลของผู้ใช้ เช่น รหัสผ่าน หรือพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ต

4. แรนซัมแวร์ (Ransomware)

เข้ารหัสไฟล์ของผู้ใช้และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อให้สามารถกู้คืนไฟล์ได้

5. รูทคิต (Rootkit)

ซ่อนตัวในระบบเพื่อให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ได้โดยไม่ถูกตรวจพบ

อันตรายของมัลแวร์และไวรัส

  • ทำให้ข้อมูลสูญหาย
  • ขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน และข้อมูลบัตรเครดิต
  • เรียกค่าไถ่จากเหยื่อผ่านแรนซัมแวร์
  • เปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงและควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์จากระยะไกล

มาตรการป้องกันมัลแวร์และไวรัส

  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่ไม่รู้จัก
  • หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ใช้การสำรองข้อมูลเป็นประจำ

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560

มาตราสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • มาตรา 5: ผู้ใดเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 7: ผู้ใดกระทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเสียหาย ถูกทำลาย แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 12: การส่งมัลแวร์เพื่อสร้างความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ผู้อื่น มีโทษจำคุกสูงสุดถึงห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มัลแวร์และไวรัสเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ รวมถึงการตระหนักถึงมาตรการป้องกันและบทลงโทษตามกฎหมาย จะช่วยให้เราสามารถลดความเสี่ยงและปกป้องข้อมูลสำคัญของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

Reference: Coohfey.com

Posted on

ค้นพบเชื้อราสายพันธุ์ใหม่ที่เปลี่ยนแมงมุมถ้ำให้เป็น ‘ซอมบี้’

นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปค้นพบเชื้อราสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถเปลี่ยนแมงมุมที่อาศัยอยู่ในถ้ำให้กลายเป็น ‘ซอมบี้’ โดยเชื้อรานี้จะล่อให้แมงมุมออกจากใยของมัน ก่อนจะทำให้แมงมุมเสียชีวิต และใช้ร่างของมันในการแพร่กระจายสปอร์ เชื้อราสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกตั้งชื่อว่า Gibellula attenboroughii มีลักษณะการทำงานคล้ายกับเชื้อราที่เปลี่ยนมดเป็นซอมบี้ โดยดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมพฤติกรรมของแมงมุมให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการแพร่กระจายของเชื้อราได้ อย่างไรก็ตาม วิธีที่เชื้อรานี้ส่งผลกระทบต่อสมองของแมงมุมยังคงเป็นปริศนา และยังมีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับเส้นทางวิวัฒนาการและผลกระทบทางนิเวศวิทยาของมัน

การค้นพบเชื้อราซอมบี้แมงมุม

เชื้อราสายพันธุ์นี้อยู่ในกลุ่มของเชื้อราที่ติดเชื้อเฉพาะในแมงมุมเท่านั้น ก่อนหน้านี้เคยมีการสังเกตเชื้อรา Gibellula aurea ในบราซิล ซึ่งอาจสามารถควบคุมให้แมงมุมเคลื่อนที่ไปยังใต้ใบไม้ก่อนตาย แต่ลักษณะพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดยังไม่เด่นชัดเท่ากับเชื้อรา Gibellula attenboroughii ที่พบในแมงมุมถ้ำ

นักวิทยาศาสตร์พบว่า เชื้อรานี้สามารถติดเชื้อในแมงมุมสองสายพันธุ์คือ Metellina merianae และ Meta menardi ซึ่งเป็นแมงมุมที่สร้างใยอยู่ในถ้ำของยุโรป การพบเชื้อรา G. attenboroughii ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2021 เมื่อลูกเรือถ่ายทำรายการโทรทัศน์พบเชื้อราบนแมงมุมภายในห้องเก็บดินปืนร้างที่ Castle Espie Wetland Centre ในไอร์แลนด์เหนือ ทีมงานสังเกตว่าแมงมุมมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ มันเคลื่อนที่ออกจากใยของตัวเองไปยังพื้นที่เปิดก่อนจะเสียชีวิต ซึ่งบ่งบอกว่าเชื้อราอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของแมงมุม หลังจากนั้น นักวิจัยพบแมงมุมที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในถ้ำต่าง ๆ ทั่วไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่เปิดโล่งของเพดานหรือผนังถ้ำ

ปริศนาของเชื้อราและผลกระทบทางนิเวศวิทยา

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเชื้อรานี้ทำงานอย่างไรภายในร่างกายของแมงมุม อย่างไรก็ตาม มีการตั้งสมมุติฐานว่า เชื้อราสามารถล่อให้แมงมุมออกจากรังของมันไปยังพื้นที่ที่ลมพัดผ่านได้ง่าย ซึ่งช่วยให้สปอร์ของเชื้อราแพร่กระจายได้ดีขึ้น

นักวิจัยยังไม่สามารถระบุได้ว่าเชื้อรานี้ผลิตสารเมตาโบไลต์ชนิดใดที่มีผลต่อสมองของแมงมุม การศึกษาต่อไปจะมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจผลกระทบทางนิเวศวิทยาของเชื้อรา แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ นักวิทยาศาสตร์ไม่คิดว่าเชื้อรานี้จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชากรแมงมุม เชื้อราต่าง ๆ มีการวิวัฒนาการมานานกว่าร้อยล้านปี และสามารถอยู่ร่วมกับแมงมุมและแมลงอื่น ๆ ได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อระบบนิเวศ เชื้อราซอมบี้ เช่น เชื้อราที่ติดเชื้อมด ยังมีบทบาทในการควบคุมประชากรของแมลงบางชนิด ทำให้เกิดความสมดุลในธรรมชาติ

โลกของเชื้อราที่ยังรอการค้นพบ

ปัจจุบันมีเชื้อราที่ถูกระบุสายพันธุ์แล้วประมาณ 150,000 สายพันธุ์ แต่คาดว่าจำนวนดังกล่าวเป็นเพียง 5% ของจำนวนเชื้อราทั้งหมดที่มีอยู่บนโลก การศึกษานี้ช่วยกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ทำการสำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหลากหลายของเชื้อรา นักวิจัยยังพบหลักฐานว่าเชื้อราบางชนิดสามารถกินเชื้อราซอมบี้ที่ติดแมงมุมได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแมงมุมเหล่านี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญสำหรับเชื้อราอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดระบบนิเวศที่ซับซ้อนและน่าทึ่งมากขึ้น

ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์

แนวคิดของเชื้อราซอมบี้อาจฟังดูเหมือนเรื่องราวจากภาพยนตร์ไซไฟ เช่น ซีรีส์ The Last of Us ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเชื้อราซอมบี้ที่ติดเชื้อมด อย่างไรก็ตาม เชื้อรา Gibellula attenboroughii ติดเชื้อเฉพาะแมงมุมเท่านั้น และไม่มีความสามารถในการแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ นักวิจัยระบุว่า สำหรับเชื้อราจะสามารถติดเชื้อมนุษย์ได้ จะต้องสามารถทนต่ออุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ และสามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากสำหรับเชื้อรากลุ่มนี้

การเข้าใจเชื้อราเหล่านี้ให้ดีขึ้นอาจนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในด้านการเกษตร หรือแม้กระทั่งการแพทย์สำหรับมนุษย์ เช่น การศึกษาเกี่ยวกับสารเมตาโบไลต์ที่เชื้อราผลิตขึ้นในสมองของแมงมุม อาจเปิดประตูสู่แนวทางใหม่ในการรักษาโรคทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์ และโรคเสื่อมสภาพของสมองอื่น ๆ การค้นพบเชื้อรา Gibellula attenboroughii เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความหลากหลายอันน่าทึ่งของสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งยังมีอีกมากที่รอการศึกษา เชื้อรานี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของเชื้อรากับแมงมุมมากขึ้น แต่ยังอาจนำไปสู่การค้นพบที่มีประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์ในอนาคตอีกด้วย.

References :

  1. วารสารวิชาการ Fungal Systematics and Evolution
    • บทความต้นฉบับเกี่ยวกับเชื้อรา Gibellula attenboroughii
      • วันที่เผยแพร่: มกราคม 2024
  2. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งเดนมาร์ก (Natural History Museum of Denmark)
    • นักวิจัย: ดร. João Araújo และทีมงาน
  3. Royal Botanic Gardens, Kew
    • ข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเชื้อราและผลกระทบทางนิเวศวิทยา
Posted on

อาชญากรรมทางไซเบอร์และวิธีรับมือ

อาชญากรรมทางไซเบอร์เป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุคดิจิทัล ปัจจุบัน ผู้ใช้เทคโนโลยีต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรมข้อมูล การฉ้อโกงทางการเงิน หรือการแฮ็กระบบคอมพิวเตอร์ ในบทความนี้ เราจะสำรวจประเภทของอาชญากรรมทางไซเบอร์ วิธีการป้องกัน และแนวทางการรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ประเภทของอาชญากรรมทางไซเบอร์

  1. การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล (Identity Theft)
    • การขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต รหัสผ่าน และข้อมูลบัญชีธนาคาร
    • อาชญากรใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการเข้าถึงบัญชีของเหยื่อหรือทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
  2. มัลแวร์และแรนซัมแวร์ (Malware & Ransomware)
    • มัลแวร์เป็นซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัสและโทรจัน ที่สามารถทำลายหรือขโมยข้อมูลจากอุปกรณ์ของผู้ใช้
    • แรนซัมแวร์เป็นรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ที่เข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อและเรียกค่าไถ่เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อีกครั้ง
  3. ฟิชชิง (Phishing)
    • เป็นการหลอกลวงผ่านอีเมลหรือเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้
    • เหยื่ออาจถูกลวงให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หรือรายละเอียดบัตรเครดิต
  4. การแฮ็กระบบ (Hacking)
    • การเจาะระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อขโมยข้อมูลหรือทำลายระบบ
    • บางครั้งการแฮ็กอาจใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือการก่อการร้ายทางไซเบอร์

วิธีป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์

  1. ใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง
    • ควรใช้รหัสผ่านที่มีความซับซ้อนและไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละบัญชี
    • ใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication: 2FA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
  2. อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ
    • การอัปเดตช่วยปิดช่องโหว่ที่อาชญากรทางไซเบอร์สามารถใช้โจมตีได้
    • ควรติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์เพื่อป้องกันภัยคุกคาม
  3. ระมัดระวังการใช้งานอินเทอร์เน็ต
    • หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่น่าสงสัยในอีเมลหรือข้อความ
    • ตรวจสอบความถูกต้องของเว็บไซต์ก่อนป้อนข้อมูลสำคัญ
  4. สำรองข้อมูลเป็นประจำ
    • ควรสำรองข้อมูลที่สำคัญลงในฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกหรือระบบคลาวด์
    • หากเกิดการโจมตีจากแรนซัมแวร์ ผู้ใช้จะสามารถกู้คืนข้อมูลได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่

วิธีรับมือเมื่อเกิดอาชญากรรมทางไซเบอร์

  1. รายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    • หากเป็นการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ควรแจ้งธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    • สำหรับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอีเมลหลอกลวง สามารถรายงานไปยังศูนย์ต่อต้านฟิชชิง
  2. เปลี่ยนรหัสผ่านและตรวจสอบบัญชีของคุณ
    • หากสงสัยว่ารหัสผ่านถูกขโมย ให้เปลี่ยนรหัสผ่านทั้งหมดทันที
    • ตรวจสอบธุรกรรมที่ไม่รู้จักในบัญชีธนาคารหรือบัญชีออนไลน์ของคุณ
  3. ใช้เครื่องมือป้องกันและวิเคราะห์ความปลอดภัย
    • ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่สามารถตรวจจับและกำจัดมัลแวร์ได้
    • ใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลระหว่างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

อาชญากรรมทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อบุคคลและองค์กรในปัจจุบัน การตระหนักถึงภัยคุกคามและปฏิบัติตามแนวทางป้องกันจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องข้อมูลของคุณจากการถูกโจมตีได้ นอกจากนี้ การรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสียหายและป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอย.

References:

  1. U.S. Cybersecurity & Infrastructure Security Agency (CISA) – www.cisa.gov
  2. Federal Bureau of Investigation (FBI) – www.fbi.gov/investigate/cyber
  3. National Cyber Security Centre (NCSC) – www.ncsc.gov.uk
  4. Center for Internet Security (CIS) – www.cisecurity.org
Posted on

วิธีป้องกันตัวเองจากอาชญากรรมไซเบอร์ยุคใหม่

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การใช้งานอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันต่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็เปิดโอกาสให้อาชญากรไซเบอร์พัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ ในการหลอกลวงและขโมยข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวง เช่น การปลอมแปลงใบหน้า (Deepfake) และการเลียนเสียง ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น คำถามที่สำคัญคือ เราในฐานะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปจะป้องกันตัวเองอย่างไรเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามเหล่านี้? ทางแคสเปอร์สกี้ได้แนะนำวิธีปฏิบัติ 7 ประการที่สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในปี 2568 ดังนี้:

1. เรียนรู้การใช้ AI อย่างปลอดภัย

AI ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบผู้ช่วยเสมือน (AI Assistant) หรือแชทบ็อตที่ตอบคำถามและช่วยแก้ปัญหาต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:

  • ตรวจสอบคำแนะนำของ AI: อย่าเชื่อข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับยา การลงทุน หรือคำแนะนำที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ
  • ไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับ AI: หลีกเลี่ยงการอัปโหลดข้อมูลสำคัญ เช่น ภาพถ่ายเอกสาร รายละเอียดทางการเงิน หรือข้อมูลทางการแพทย์ เพราะอาจเกิดการรั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

2. ใช้พาสคีย์แทนพาสเวิร์ด

พาสคีย์ (Passkey) กำลังเข้ามาแทนที่พาสเวิร์ดแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น เพราะใช้การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพหรือรหัส PIN แทนการจดจำรหัสผ่านยาวๆ ที่อาจถูกแฮ็กได้ง่าย

  • ข้อดีของพาสคีย์: เทคโนโลยีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบฟิชชิ่งและการขโมยรหัสผ่าน อีกทั้งยังใช้งานง่ายและรวดเร็วกว่าการใช้พาสเวิร์ดและ OTP รวมกัน

3. เปลี่ยนพาสเวิร์ดเก่าทั้งหมด

แม้จะเริ่มมีการใช้งานพาสคีย์แล้ว แต่พาสเวิร์ดที่เคยใช้งานยังคงเป็นจุดอ่อนที่อาจถูกแฮ็กได้ หากต้องการเพิ่มความปลอดภัย คุณควร:

  • รีเซ็ตรหัสผ่านที่สั้นและเก่า: รหัสผ่านควรมีความยาวอย่างน้อย 12 ตัวอักษร และไม่ควรใช้พาสเวิร์ดซ้ำกันในหลายบัญชี
  • ใช้โปรแกรมจัดการพาสเวิร์ด: โปรแกรมเหล่านี้ช่วยให้คุณสร้างและจัดเก็บพาสเวิร์ดที่ปลอดภัยโดยไม่ต้องจดจำเอง

4. รู้จักวิธีตรวจจับ Deepfake

เทคโนโลยี Deepfake ทำให้มิจฉาชีพสามารถสร้างวิดีโอปลอมที่มีความสมจริงสูง เพื่อใช้ในการหลอกลวงหรือข่มขู่เป้าหมาย ดังนั้นจึงควรเรียนรู้วิธีตรวจจับและรับมือ:

  • ตรวจสอบคำขอที่ผิดปกติ: หากได้รับคำขอจากคนรู้จักผ่านวิดีโอหรือเสียงที่ดูน่าเชื่อถือ ให้ตรวจสอบซ้ำด้วยการติดต่อบุคคลนั้นผ่านช่องทางอื่น
  • หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลส่วนตัว: ไม่ควรแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่น่าเชื่อถือ

5. ใช้โปรแกรมส่งข้อความส่วนตัว

เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวในปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้โปรแกรมส่งข้อความที่มีการเข้ารหัสแบบ End-to-End ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวได้ดีกว่าแอปพลิเคชันทั่วไป

  • เลือกแอปพลิเคชันที่ปลอดภัย: แอปอย่าง Signal หรือ Telegram ที่มีการเข้ารหัสแบบสมบูรณ์สามารถช่วยป้องกันข้อมูลของคุณจากการถูกดักฟัง

6. สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

การสำรองข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องข้อมูลในกรณีที่อุปกรณ์ของคุณถูกโจมตีหรือเกิดปัญหาอื่นๆ เช่น อุปกรณ์เสียหายหรือถูกขโมย

  • ตั้งตารางสำรองข้อมูล: คุณสามารถตั้งเวลาสำรองข้อมูลเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน
  • ใช้การสำรองข้อมูลแบบสองทาง: สำรองข้อมูลทั้งในอุปกรณ์และบนคลาวด์เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่สูญหาย

7. ลดการป้อนหมายเลขบัตรธนาคาร

ข้อมูลทางการเงินเป็นเป้าหมายหลักของอาชญากรไซเบอร์ การลดการป้อนข้อมูลบัตรธนาคารในเว็บไซต์ต่างๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

  • ใช้บริการชำระเงินที่ปลอดภัย: เช่น PayPal, Google Pay หรือ Apple Pay ซึ่งมีระบบความปลอดภัยสูง
  • เลี่ยงการใช้บัตรในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ: และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ที่ใช้งานมีการเข้ารหัส SSL (แสดงเป็นสัญลักษณ์กุญแจล็อกใน URL)

สรุป

ภัยคุกคามในโลกไซเบอร์มีความซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้นเรื่อยๆ การป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจึงต้องอาศัยการเรียนรู้และการปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจเทคโนโลยีที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน และใช้มาตรการป้องกันที่แนะนำในบทความนี้ การลงมือป้องกันตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงจากการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์ และสามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจในอนาคต

Posted on

ควรมีเครื่องสำรองไฟฟ้าเพื่อป้องกันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เสียหายหรือไม่?

เครื่องสำรองไฟฟ้ามีความสำคัญอย่างมากในการป้องกันกระแสไฟฟ้าที่ไม่สม่ำเสมอที่จะทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคเสียหายได้ โดยปกติกระแสไฟฟ้าที่ใช้ทั่วไปในแต่ละวันจะมีกระแสไฟที่ไม่คงที่ เช่น กระแสไฟฟ้าตก กระแสไฟฟ้ากระชาก หรือกระแสไฟฟ้าเกิน สาเหตุเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายได้ง่าย วิธีการป้องกันที่ดีก็ควรจะมีอุปกรณ์สำรองไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น

เครื่องสำรองไฟฟ้า ZIRCON UPS Raptor-X

เครื่องสำรองไฟ Zircon Raptor-X 1000VA/550W ชุดสำรองไฟที่เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ พีซีตั้งโต๊ะ และ คอมพิวเตอร์ ออลอินวัน ให้พีซีของคุณปลอดภัยจากไฟตก ไฟเกิน ด้วยตัวควบคุมการทำงานอย่างแม่นยำ และระบบ Stabilizer (AVR) สำหรับปรับแรงดันอัตโนมัติ ทำให้ทำงานได้ในสภาวะแรงดันไฟเกินและไฟตก เพื่อปองกันความเสียหายจากเหตุการ์ณที่คาดไม่ถึง

  • ความจุแบตเตอรี่: 1000 VA / 550 W
  • รูปแบบสัญญาณไฟ: Line Interactive With Stabilizer
  • ป้องกันไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชาก

เครื่องสำรองไฟ Zircon Raptor-X 1000VA/550W ชุดสำรองไฟที่เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ พีซีตั้งโต๊ะ และ คอมพิวเตอร์ ออลอินวัน ให้พีซีของคุณปลอดภัยจากไฟตก ไฟเกิน ด้วยตัวควบคุมการทำงานอย่างแม่นยำ และระบบ Stabilizer (AVR) สำหรับปรับแรงดันอัตโนมัติ ทำให้ทำงานได้ในสภาวะแรงดันไฟเกินและไฟตก เพื่อปองกันความเสียหายจากเหตุการ์ณที่คาดไม่ถึง

คุณสมบัติ Raptor-X : 1000VA

• Line Interactive With Stabilizer
• มีระบบ AVS ชดเชยเพื่อปรับระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่สม่ำเสมอ (Buck & Boost)
• เครื่องสามารถเปิดใช้งานได้แม้ไม่มีไฟฟ้าต้นทางจ่ายให้ (ตามระยะเวลาที่กำหนด) (DC Start)
• มีระบบป้องกันไฟตกไฟเกินพิกัดด้านกำลังไฟฟ้าขาเข้า (Over & Under Voltage)
• มีระบบป้องกันไฟลัดวงจรด้วย Circuit Breaker reset fuse
• มีระบบป้องกันการจ่ายเกินกำลังและลัดวงจรด้านขาออก (Overload)
• LCD Display มีหน้าจอแสดงผลการทำงานได้มากสูงสุดถึง 11 สถานะไฟฟ้า
• มีระบบชาร์จรักษาระดับแรงดันแบตเตอรี่อัตโนมัติ (Auto Constant)
• ใช้แบตเตอรี่ชนิดแห้งที่ไม่ต้องดูแลรักษา (Maintenance free)
• ระบบแจ้งเตือนแบตเตอรี่เสื่อม (Replace Battery)
• มีระบบป้องกันแบตเตอรี่เสื่อมเมื่อมีแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (Deep Discharge Protection)
• สามารถสำรองไฟฟ้าได้ 15-30 นาที (Depend on load)
• มี SOFTWARE ควบคุมคอมพิวเตอร์ผ่านช่องเสียบ USB
• มีช่องเสียบจ่ายไฟด้านหลังรวม 4 ช่อง (รวมช่องเสียบ Printer และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น 1 ช่อง)
• Onsite Service & PM (เป็นไปตามเงื่อนไขบริษัท Zircon Thailand)
• ได้รับมาตรฐาน มอก.1291-2553(1), มอก.1291-2553(2), มอก.1291-2555(3) ISO 9001, ISO 14001, CE, EN, FCC, RoHS

คุณสมบัติสินค้า

Rated Capacity1000 VA / 550 W
Norminal Input Voltage220 Vac +/- 25%
Input Frequency50 Hz +/- 10%
Input ConnectionsPlug AC 3-pin
Cord Length1.5 m
Battery TypeSealed Lead-Acid Battery
Technical Recharge time4-6 hours (90% affer fully discharged)
Waveform TypeModified Sine Wave
Output Frequency Sync to Mains50 Hz +/- 1%
ColorBlack
Weight4.5 Kg
Warranty2 Years
OptionN/A
Posted on

Groundbreaking Study Proposes Guiding Principles to Tackle Algorithm Bias and Promote Health Equity

Panel of Experts Offers Framework to Address Racial and Ethnic Disparities in Health Care Algorithms

Date: December 17, 2023

In a significant stride toward combating algorithmic bias and fostering health equity, a diverse panel of experts assembled by the Agency for Healthcare Research and Quality (AHRQ) and the National Institute for Minority Health and Health Disparities (NIMHD) has put forth guiding principles. These principles aim to mitigate and prevent bias in health care algorithms, particularly in relation to racial and ethnic disparities.

Study Overview:

The comprehensive study, titled “Guiding Principles to Address the Impact of Algorithm Bias on Racial and Ethnic Disparities in Health and Health Care,” sheds light on the crucial role algorithms play in healthcare, from diagnosis and treatment to resource allocation. The study emphasizes that biased algorithms can lead to adverse outcomes, especially for minoritized groups and historically marginalized populations.

Key Findings:

The panel’s findings resulted in the development of a conceptual framework and five guiding principles applicable across the life cycle of health care algorithms. The principles are strategically designed to promote health and health care equity, ensuring transparency, authentic community engagement, and accountability for fairness.

Five Guiding Principles:

  1. Promote Health and Health Care Equity: The study advocates for the integration of health equity goals throughout the algorithm’s life cycle, emphasizing the importance of problem formulation, data selection, algorithm development, deployment, and monitoring.
  2. Ensure Transparency and Explainability: Stakeholders, including developers, institutions, users, and regulators, are urged to make algorithms transparent, explainable, and interpretable to diverse audiences, fostering informed decision-making.
  3. Authentically Engage Patients and Communities: The study stresses the ethical imperative of involving patients and communities in all phases of the algorithm life cycle, earning trustworthiness through transparency, ethical practices, and timely disclosures.
  4. Identify Algorithmic Fairness Issues and Trade-offs: Recognizing that fairness issues arise from ethical choices and technical decisions, the study advocates for explicit identification, transparency, and explainability of health care algorithmic fairness issues and trade-offs.
  5. Establish Accountability for Equity and Fairness: Model developers and users are called upon to accept responsibility for achieving equity and fairness in algorithm outcomes, with organizations urged to establish processes and accountability metrics throughout the algorithm life cycle.

Conclusion:

The study concludes by highlighting the need for collaborative efforts among stakeholders to create systems, regulations, and policies that effectively mitigate and prevent algorithm bias in health care. It underscores the importance of dedicated resources, public support, and a commitment to avoiding the mistakes of the past in algorithm usage.

This groundbreaking study represents a pivotal step toward ensuring that health care algorithms prioritize equity, transparency, and fairness, ultimately benefiting patients and communities alike.

Credit: JAMA Network Open, Marshall H. Chin

Posted on

Lunar Anthropocene: Scientists Declare a New Epoch as Humans Transform the Moon

Researchers have declared a new epoch for the moon, known as the lunar Anthropocene, signifying the significant alterations that humans have made and plan to make to the lunar surface. In a comment article published in Nature Geoscience, scientists argue that the moon’s landscape is changing due to human activities, marking the start of a distinct era.

The lunar Anthropocene is suggested to have commenced in 1959 when Russia’s Luna 2 spacecraft became the first to land on the moon. The researchers emphasize the importance of officially recognizing the changes made by humanity to dispel the notion that the lunar surface is static and unaffected.

Lead author Justin Holcomb, a geological researcher at the University of Kansas, draws parallels with the discussion of the Anthropocene on Earth, highlighting the significant impact humans have had on the planet. The goal is to avoid delaying the recognition of the Lunar Anthropocene until observable lunar halos caused by human activities become apparent.

Human activities on the moon have left traces, including the iconic golf balls and flags from the first lunar landing, as well as less glamorous items like human excrement and litter. As humanity looks towards the moon with plans to dig into its surface and potentially establish a presence, the researchers stress that cultural processes are surpassing natural geological processes on the moon.

Holcomb points out that rovers, landers, and human movement are disturbing the lunar regolith (surface material), leading to substantial changes. With multiple countries gearing up for lunar exploration, the researchers aim to initiate discussions about humanity’s impact on the moon’s surface before irreversible changes occur.

As the new space race unfolds, the lunar landscape is expected to undergo significant transformations in the coming decades, raising challenges and highlighting the need to acknowledge and address the human impact on Earth’s celestial neighbor.

Credit: Nature Geoscience

Posted on

US Strengthens Export Controls on AI Chips in Escalating Tech Conflict with China

The Biden administration is intensifying the technological standoff with China by imposing stricter export controls on specific semiconductors, notably advanced artificial intelligence chips. The US Commerce Department has introduced new regulations that limit the export of these chips to China and extend these restrictions to 21 other nations under arms embargoes, such as Iran and Russia. These measures are designed to obstruct China’s acquisition of advanced computing chips for military and weaponry applications, excluding chips used in phones, video games, and electric vehicles. This move has resulted in a decline in the stock prices of prominent American chip manufacturers, including Nvidia, Intel, and AMD. China has voiced criticism of the new rules, while the US has emphasized its commitment to national security and its efforts to impede China’s military progress. The ongoing tech rivalry between the US and China has also encompassed constraints on sales of chipmaking equipment and exports of vital semiconductor materials. The US Semiconductor Industry Association has called for enhanced collaboration with allies to safeguard the US semiconductor sector. European firms like ASML are currently assessing the ramifications of these rules, which may impact their business with China. Additionally, the US Department of Commerce has included 13 Chinese entities on a list of firms prohibited from doing business with US companies due to national security concerns, citing their involvement in the development of advanced computing chips.

Posted on Leave a comment

Scientists Unravel Solar System’s Puzzling Spin: A Force Beyond Physics at Play

Breakthrough Research Reveals the Mysterious Mechanism Governing Inner Solar System’s Rotation

In a significant scientific breakthrough, researchers believe they have finally cracked the enigma of why the inner solar system defies the laws of physics by spinning at a much slower rate than theory suggests. This baffling phenomenon, which has puzzled astronomers for decades, has now been unveiled as a complex interplay between charged particles and magnetic forces.

At the heart of this mystery lies the inner ring of the solar system, a region teeming with thin layers of gas and dust known as accretion disks. These disks gracefully spiral around young stars, gradually moving inward over time. According to the laws of angular momentum, this spiraling motion should cause the inner part of the disk to spin faster, much like a figure skater twirling faster when drawing their arms in.

However, observations have consistently revealed that the inner portion of these accretion disks, although spinning faster than the outer part, does not rotate as swiftly as anticipated. Researchers had proposed several explanations, including friction between the inner and outer components of the disk or the presence of magnetic fields generating a “magnetorotational instability.” Yet, these theories fell short of providing a satisfactory answer.

Enter Paul Bellan, a professor of applied physics at Caltech, who embarked on a quest to unveil the underlying mechanism driving this intriguing phenomenon. Bellan’s research took a novel approach by analyzing the trajectories of individual atoms, electrons, and ions within the gas making up the accretion disk.

Using a complex simulation involving approximately 40,000 neutral particles and about 1,000 charged particles subject to gravity and magnetism, Bellan discovered a crucial detail. The simulation revealed that collisions between neutral atoms and charged particles led to positively charged ions spiraling inward while negatively charged electrons spiraled outward. This behavior disrupted the conservation of angular momentum but introduced a new force called “canonical angular momentum.”

Canonical angular momentum encompasses the original angular momentum along with an added quantity reliant on the charge of a particle and the surrounding magnetic field. For neutral particles, these forces are indistinguishable, but charged particles are profoundly impacted by the magnetic field.

The disparity in charge causes both positive and negative particles to accumulate canonical angular momentum, resulting in neutral particles losing angular momentum and shifting inward. Although seemingly small in scale, this minute distinction has a profound impact on the solar system’s rotation. Remarkably, only one in a billion particles needs to be charged to account for the observed loss of angular momentum in neutral particles.

This discovery transforms the accretion disk into a colossal battery, with a positive terminal near the center and a negative terminal at the edge. This generates a substantial electric flow, energizing astrophysical jets that extend in both directions, a phenomenon long observed by astronomers without knowledge of its origin.

The groundbreaking research, titled “Neutral-charged-particle Collisions as the Mechanism for Accretion Disk Angular Momentum Transport,” has been published in the prestigious Astrophysical Journal. This newfound understanding of the inner solar system’s peculiar rotation sheds light on the intricate interplay between charged particles, magnetic forces, and the forces governing our celestial neighborhood.