Posted on

Study Suggests Healthy Lifestyle Mitigates Genetic Risk for Early Death by 60%

A groundbreaking study published in the journal BMJ Evidence-Based Medicine reveals that maintaining a healthy lifestyle can significantly reduce the risk of early death, even for individuals with a genetic predisposition to shorter lifespans. Led by Dr. Xue Li, the study conducted by the School of Public Health at Zhejiang University School of Medicine in China analyzed data from over 350,000 individuals with European ancestry.

The research found that individuals with genetic risks for early death could mitigate that risk by approximately 60% through adhering to a healthy lifestyle. Dr. Li emphasized that the study underscores the powerful impact of lifestyle choices on longevity, particularly in light of genetic predispositions.

The study participants were evaluated based on their adherence to various healthy lifestyle factors, including abstaining from smoking, engaging in regular physical activity, ensuring adequate sleep duration (7-8 hours per night), and maintaining a healthy diet, predominantly plant-based. Remarkably, individuals who followed these lifestyle guidelines were able to extend their lifespan by up to 5.5 years, irrespective of their genetic risks.

Dr. Aladdin Shadyab, associate professor of public health and medicine at the University of California San Diego, hailed the study’s robust methodology but cautioned that its applicability may be limited to populations of European ancestry.

The study highlights four key lifestyle factors—no current smoking, regular physical activity, adequate sleep, and a healthy diet—that significantly reduced the risk of early death. Embracing these lifestyle changes offers tangible benefits for prolonging human lifespan, according to Dr. Li.

For individuals looking to adopt a healthier lifestyle, various resources are available, including tobacco cessation hotlines, support groups, and apps to assist with smoking cessation. Additionally, strategies such as participating in alcohol-free challenges, embracing the Mediterranean diet, and prioritizing sleep hygiene can contribute to improved health outcomes and longevity.

While the study underscores the critical role of lifestyle choices in mitigating genetic risks for early death, it also emphasizes the need for ongoing public health efforts to promote healthier behaviors and reduce premature mortality rates worldwide.

Posted on

กาแฟไม่ควรดื่มพร้อมกับอาหารชนิดใดบ้าง?

มีอาหารหลายชนิดที่ไม่ควรรับประทานร่วมกับกาแฟ เนื่องจากอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น

  1. เนื้อสัตว์: กาแฟมีแทนนิน ซึ่งสามารถจับตัวกับแร่ธาตุในอาหารและทำให้ร่างกายขับสังกะสี ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในเนื้อสัตว์ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์หลังจากดื่มกาแฟ
  2. นมและผลิตภัณฑ์จากนม: กาแฟสามารถส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย ทำให้มีการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้น การบริโภคนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมร่วมกับกาแฟสามารถทำให้ผลกระทบนี้รุนแรงขึ้น
  3. อาหารทอด: อาหารทอดมีไขมันและคอเลสเตอรอลไม่ดีสูง เมื่อรวมกับคาเฟอีนในกาแฟแล้ว อาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  4. อาหารรสเผ็ด: อาหารรสเผ็ดสามารถขัดขวางรสชาติและผลของกาแฟ
  5. อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง: ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ถั่วธัญพืช และผักใบเขียว เมื่อดื่มชาร้อน เนื่องจากอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก
  6. ชีสกระท่อม (Paneer): คาเฟอีนสามารถยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมและเพิ่มการขับแคลเซียม ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลเซียมเมื่อดื่มกาแฟ
  7. อัลมอนด์: อัลมอนด์เป็นอีกแหล่งของแคลเซียม ควรหลีกเลี่ยงก่อน ระหว่าง หรือหลังดื่มกาแฟ
  8. เนื้อแดง สัตว์ปีก และถั่ว: อาหารเหล่านี้มีสังกะสีสูง และกาแฟมีแทนนินที่อาจทำให้ร่างกายหยุดดูดซึมสังกะสีได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านี้ร่วมกับกาแฟ
  9. ข้าวโอ๊ตและไข่: ทั้งสองอย่างเป็นแหล่งของสังกะสี ไม่ควรรับประทานเมื่อคุณดื่มกาแฟหรือกำลังจะดื่มกาแฟ
  10. ถั่วลันเตา ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง: อาหารเหล่านี้มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูง และผลิตภัณฑ์ที่มีธาตุเหล็กต้องบริโภคแยกจากกาแฟ เนื่องจากแทนนินในกรณีนี้ยัง “ย่อยสลาย” ทุกอย่าง
  11. อาหารรสเผ็ด: ไม่แนะนำให้รับประทานเครื่องเทศหรืออาหารรสเผ็ดร่วมกับกาแฟหรือในช่วงที่ดื่มกาแฟ เนื่องจากจะขัดขวางรสชาติและผลของกาแฟ

นอกจากนี้ ยังควรสังเกตว่า แม้ว่าจะไม่ได้ระบุไว้โดยเฉพาะในผลการค้นหา แต่โดยทั่วไปแล้วขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลหรืออาหารแปรรูปสูงร่วมกับกาแฟ เนื่องจากอาจทำให้เกิดพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวม

Q9

Posted on

ประโยชน์ของสับปะรด

สับปะรดเป็นผลไม้เขตร้อนที่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ต่อไปนี้คือประโยชน์ที่สำคัญบางประการของสับปะรด:

  1. ช่วยย่อยอาหาร

สับปะรดมีเอนไซม์โบรมีเลน ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน เอนไซม์นี้ช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากนม

  1. ลดการอักเสบ

โบรมีเลนยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ การอักเสบเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคข้ออักเสบ และโรคมะเร็ง

  1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

สับปะรดเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรที่สามารถนำไปสู่โรคเรื้อรังได้

  1. บำรุงผิว

วิตามินซีในสับปะรดยังช่วยบำรุงผิวอีกด้วย วิตามินซีจำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่น

  1. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

สับปะรดมีเส้นใยอาหารสูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เส้นใยอาหารช่วยจับคอเลสเตอรอลในระบบย่อยอาหารและขับออกจากร่างกาย

  1. ช่วยลดน้ำหนัก

สับปะรดมีแคลอรีต่ำและมีเส้นใยอาหารสูง ซึ่งทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น เส้นใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและตกต่ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่ความหิวและการกินมากเกินไป

  1. ป้องกันโรคมะเร็ง

สับปะรดมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคมะเร็งได้

  1. บรรเทาอาการปวดข้อ

โบรมีเลนในสับปะรดอาจช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ มีการศึกษาบางชิ้นที่แสดงว่าโบรมีเลนมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ

  1. ป้องกันโรคมาลาเรีย

สับปะรดมีเอนไซม์ที่เรียกว่า papain ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมาลาเรีย Papain ช่วยย่อยโปรตีนในเซลล์ของเชื้อมาลาเรีย ซึ่งทำให้เชื้อมาลาเรียไม่สามารถเจริญเติบโตได้

  1. บำรุงสายตา

สับปะรดมีวิตามินเอสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นสำหรับการมองเห็น วิตามินเอช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากแสงและช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนในที่แสงน้อย

สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การรับประทานสับปะรดเป็นประจำสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้

Posted on

Study Reveals Accelerated Aging Linked to Increased Cancer Risk in Younger Adults

A groundbreaking study presented at the American Association of Cancer Research’s annual conference sheds light on a concerning trend: a correlation between accelerated biological aging and heightened cancer risk among younger adults. Dr. Yin Cao, the senior author of the research and an associate professor of surgery at the Washington University School of Medicine in St. Louis, spearheaded the investigation, aiming to unravel the mystery behind the surge in certain cancer types among the younger population.

Traditionally, cancer has been viewed as an ailment primarily affecting older individuals, with age being a significant risk factor. However, this study delves deeper, highlighting the concept of biological aging—factors beyond mere chronological age, such as lifestyle, stress, and genetics. By analyzing data from the UK Biobank, which encompassed 148,724 individuals aged 37 to 54, researchers identified nine blood-based markers associated with biological age.

These markers, ranging from albumin levels to white blood cell counts, were utilized in an algorithm called PhenoAge to calculate each person’s biological age. Comparing this data with participants’ chronological ages revealed a startling discovery: individuals born in 1965 or later exhibited a 17% higher likelihood of accelerated aging compared to those born between 1950 and 1954.

Moreover, the study found a significant association between accelerated aging and elevated cancer risk, particularly for early-onset cancers diagnosed before age 55. The strongest correlations were observed in lung, stomach and intestinal, and uterine cancers. Dr. Ruiyi Tian, the graduate student leading the research, postulates that certain tissues, like the lungs, may be more susceptible to aging due to limited regenerative capacity, while inflammation could exacerbate the risk of stomach and intestinal cancers.

Despite the robust findings, the study acknowledges limitations, including the lack of longitudinal data and the necessity for further exploration in diverse populations. However, experts like Dr. Anne Blaes from the University of Minnesota emphasize the potential implications of these findings. Identifying individuals at higher risk due to accelerated aging could revolutionize cancer screening protocols, enabling early intervention and targeted lifestyle modifications.

Excitingly, the study opens avenues for potential interventions, with medications known as senolytics showing promise in combating accelerated aging. While further research is needed to delineate the precise beneficiaries of such treatments, assessments like PhenoAge offer a glimpse into personalized medicine’s future, where individuals’ unique biological profiles guide therapeutic decisions.

In essence, this research underscores the intricate interplay between aging and cancer, heralding a paradigm shift in cancer prevention and treatment strategies tailored to individual biological age.

Posted on Leave a comment

อากาศร้อนมีผลกับผิวหนังมนุษย์อย่างไร

อากาศร้อนจัดสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวหนังของเราได้หลายประการ ต่อไปนี้คือผลกระทบที่พบบ่อยที่สุดบางประการ:

  • ผิวแห้งและคัน: อากาศร้อนสามารถดึงความชื้นออกจากผิว ทำให้ผิวแห้งและคันได้ ผิวแห้งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตัว
  • ผิวไหม้แดด: อากาศร้อนสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผิวไหม้แดดได้ เนื่องจากรังสียูวีจากดวงอาทิตย์สามารถซึมผ่านผิวได้ง่ายขึ้นเมื่อผิวแห้ง
  • ผื่นร้อน: ผื่นร้อนเป็นผื่นแดงที่เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันด้วยเหงื่อ ผื่นร้อนมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น ลำคอ หน้าอก และหลัง
  • การติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา: อากาศร้อนและชื้นสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อผิวหนังได้
  • การเห่อของโรคผิวหนังเรื้อรัง: อากาศร้อนอาจทำให้โรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น กลากและโรคสะเก็ดเงิน แย่ลงได้

วิธีป้องกันผลกระทบของอากาศร้อนต่อผิวหนัง

มีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อป้องกันผลกระทบของอากาศร้อนต่อผิวหนังของคุณ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางประการ:

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและป้องกันไม่ให้แห้ง
  • ใช้ครีมกันแดด: การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่าจะช่วยปกป้องผิวของคุณจากรังสียูวีที่เป็นอันตราย
  • สวมเสื้อผ้าหลวมๆ และระบายอากาศได้ดี: เสื้อผ้าหลวมๆ และระบายอากาศได้ดีจะช่วยให้ผิวของคุณหายใจได้และป้องกันไม่ให้เหงื่อสะสม
  • อาบน้ำเย็น: การอาบน้ำเย็นจะช่วยให้ผิวของคุณเย็นลงและบรรเทาอาการระคายเคือง
  • ใช้มอยเจอไรเซอร์: การใช้มอยเจอไรเซอร์หลังอาบน้ำจะช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและป้องกันไม่ให้แห้ง

หากคุณมีอาการผิวหนังใดๆ ที่รุนแรงหรือไม่หายไป ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

Posted on

น้ำอัดลมคืออะไร?

น้ำอัดลมคือเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ซึ่งมีการเติมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป ทำให้เกิดฟองซ่าเมื่อเปิดขวดหรือกระป๋อง

ส่วนประกอบ

ส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม ได้แก่

  • น้ำ
  • น้ำตาลหรือสารให้ความหวาน
  • สารแต่งกลิ่นรส
  • ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ประเภท

น้ำอัดลมมีหลายประเภท ได้แก่

  • น้ำอัดลมปกติ: มีปริมาณน้ำตาลสูง
  • น้ำอัดลมไดเอท: มีปริมาณน้ำตาลต่ำหรือไม่มีน้ำตาลเลย
  • น้ำอัดลมรสผลไม้: มีการเติมสารแต่งกลิ่นรสผลไม้
  • น้ำอัดลมรสโซดา: มีรสชาติซ่าและไม่มีรสหวาน
  • น้ำอัดลมเพื่อสุขภาพ: มีการเติมวิตามินหรือแร่ธาตุ

กระบวนการผลิต

น้ำอัดลมผลิตโดยการผสมส่วนประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกันในถังผสม จากนั้นเติมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปจนได้ระดับความอัดลมที่ต้องการ สุดท้ายจึงบรรจุลงในขวดหรือกระป๋อง

ผลกระทบต่อสุขภาพ

การบริโภคน้ำอัดลมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่

  • น้ำหนักเพิ่ม: น้ำอัดลมปกติมีปริมาณน้ำตาลสูงซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนัก
  • ฟันผุ: น้ำตาลในน้ำอัดลมสามารถทำลายเคลือบฟันและทำให้เกิดฟันผุ
  • โรคหัวใจ: การบริโภคน้ำอัดลมปกติเป็นประจำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2: การบริโภคน้ำอัดลมไดเอทอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2

คำแนะนำ

เพื่อสุขภาพที่ดี แนะนำให้จำกัดการบริโภคน้ำอัดลมและเลือกน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอื่นๆ แทน หากต้องการดื่มน้ำอัดลม ควรเลือกน้ำอัดลมไดเอทหรือน้ำอัดลมรสโซดาที่ไม่มีน้ำตาล

Posted on Leave a comment

โรคที่มักจะมาพร้อมกับฤดูร้อน

เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน โรคบางชนิดก็มีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดมากขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและพาหะนำโรค ต่อไปนี้คือโรคที่มักจะมาพร้อมกับฤดูร้อน:

  1. โรคอุจจาระร่วง

โรคอุจจาระร่วงเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต สภาพอากาศร้อนและชื้นในช่วงฤดูร้อนเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเหล่านี้ และการปนเปื้อนอาหารและน้ำก็เป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดของโรคอุจจาระร่วง

  1. โรคอาหารเป็นพิษ

โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียหรือสารพิษ สภาพอากาศร้อนทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้เร็วขึ้นในอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เน่าเสียง่าย เช่น เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม และอาหารทะเล

  1. โรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกแพร่กระจายโดยยุงลายที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี ไข้เลือดออกเป็นโรคที่รุนแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น ภาวะช็อกและเลือดออกในอวัยวะต่างๆ สภาพอากาศร้อนและชื้นในช่วงฤดูร้อนเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการแพร่พันธุ์ของยุงลาย

  1. โรคตาแดง

โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบติดต่อเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย สภาพอากาศร้อนและแห้งในช่วงฤดูร้อนทำให้เยื่อบุตาแห้งและระคายเคือง ซึ่งทำให้ไวต่อการติดเชื้อมากขึ้น

  1. โรคผิวหนังอักเสบจากความร้อน

โรคผิวหนังอักเสบจากความร้อนเกิดจากการที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อนและความชื้นเป็นเวลานาน สภาพอากาศร้อนจัดในช่วงฤดูร้อนทำให้เหงื่อออกมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและผื่นแดงบนผิวหนังได้

  1. โรคลมแดด

โรคลมแดดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิของตัวเอง สภาพอากาศร้อนจัดในช่วงฤดูร้อนอาจทำให้เกิดโรคลมแดดได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นเวลานานหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

การป้องกันโรคในช่วงฤดูร้อน

เพื่อป้องกันโรคที่มักจะมาพร้อมกับฤดูร้อน นายท่านสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารจากแหล่งที่ไม่สะอาด
  • ใช้สารไล่ยุงและสวมเสื้อผ้าแขนยาวเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • ปกป้องดวงตาโดยสวมแว่นกันแดด
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัด
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันการขาดน้ำ

* หากมีอาการของโรคใดๆ ให้รีบปรึกษาแพทย์

Posted on Leave a comment

โรคฮีสโตรคกับฤดูร้อน

โรคฮีสโตรคเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิของตัวเอง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในสภาพอากาศร้อนจัดโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน

สาเหตุของโรคฮีสโตรค

  • การสัมผัสกับอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน
  • การออกกำลังกายหนักในสภาพอากาศร้อน
  • การขาดน้ำ
  • การสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาหรือไม่ระบายอากาศ
  • การมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคไต

อาการของโรคฮีสโตรค

  • อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส
  • ผิวหนังร้อนและแห้ง
  • อาการปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ชัก
  • หมดสติ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคฮีสโตรค

  • ผู้สูงอายุ
  • เด็กเล็ก
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว
  • ผู้ที่ทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นเวลานาน
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน

การป้องกันโรคฮีสโตรค

  • หลีกเลี่ยงการออกไปกลางแจ้งในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัด
  • หากต้องออกไปกลางแจ้ง ให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีและดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • พักเป็นระยะๆ ในที่ร่มและเย็น
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
  • หากรู้สึกไม่สบาย ให้รีบเข้าไปในที่ร่มและดื่มน้ำ

การรักษาโรคฮีสโตรค

  • นำผู้ป่วยเข้าไปในที่ร่มและเย็น
  • ถอดเสื้อผ้าที่หนาหรือไม่ระบายอากาศ
  • ประคบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ
  • ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มเกลือแร่
  • หากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล

ภาวะแทรกซ้อนของโรคฮีสโตรค

  • ความเสียหายของอวัยวะ เช่น สมอง ไต และหัวใจ
  • โคม่า
  • เสียชีวิต

ข้อสรุป

โรคฮีสโตรคเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในสภาพอากาศร้อนจัด การป้องกันและรักษาโรคฮีสโตรคอย่างถูกต้องสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตได้

Posted on Leave a comment

อาหารที่ควรรับประทานในฤดูร้อน

เมื่ออุณหภูมิตั้งสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน ร่างกายของเราจะต้องการอาหารที่ช่วยให้เราเย็นและชุ่มชื่นได้ อาหารบางชนิดมีคุณสมบัติตามธรรมชาติที่ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและให้ความชุ่มชื้นแก่เราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือรายการอาหารที่ควรรับประทานในฤดูร้อน:

  1. แตงโม

แตงโมประกอบด้วยน้ำถึง 92% ซึ่งช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่นได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด

  1. แตงกวา

แตงกวามีน้ำมากเช่นเดียวกับแตงโม และยังอุดมไปด้วยอิเล็กโทรไลต์ที่จำเป็นต่อการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย

  1. มะเขือเทศ

มะเขือเทศมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด นอกจากนี้ยังมีน้ำมากซึ่งช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่น

  1. สับปะรด

สับปะรดมีเอนไซม์โบรมีเลนซึ่งช่วยย่อยโปรตีนและลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

  1. มะม่วง

มะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีน้ำมากซึ่งช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่น

  1. ผักใบเขียว

ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และผักกาดหอม มีน้ำมากและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพโดยรวม

  1. ผลเบอร์รี่

ผลเบอร์รี่ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ มีน้ำมากและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย

  1. น้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ชุ่มชื่นอย่างเป็นธรรมชาติและอุดมไปด้วยอิเล็กโทรไลต์ที่จำเป็นต่อการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย

  1. โยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นอาหารที่ให้ความเย็นและชุ่มชื่น นอกจากนี้ยังมีโปรไบโอติกส์ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพของลำไส้

  1. ไอศกรีม

ไอศกรีมเป็นของหวานที่ช่วยให้เย็นลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเนื่องจากมีแคลอรีและน้ำตาลสูง

โดยการรับประทานอาหารเหล่านี้ในฤดูร้อน นายท่านจะสามารถรักษาความชุ่มชื่นและความเย็นของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้มีสุขภาพที่ดีโดยรวมอีกด้วย

Posted on Leave a comment

ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆ มากมาย มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น

  1. ช่วยให้ชุ่มชื่น

น้ำมะพร้าวมีปริมาณน้ำสูงถึง 95% จึงช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่นได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่สูญเสียน้ำ เช่น หลังออกกำลังกายหรือในวันที่อากาศร้อน

  1. อุดมไปด้วยอิเล็กโทรไลต์

น้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยอิเล็กโทรไลต์สำคัญ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย โดยเฉพาะหลังจากการออกกำลังกายหรือสูญเสียน้ำ

  1. ช่วยลดความดันโลหิต

โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต โดยการขยายหลอดเลือดและลดแรงต้านทานของหลอดเลือด

  1. ช่วยบำรุงหัวใจ

น้ำมะพร้าวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์หัวใจจากความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีกรดลอริก ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

  1. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

น้ำมะพร้าวมีดัชนีน้ำตาลต่ำ จึงไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการควบคุมน้ำหนัก

  1. ช่วยบำรุงผิว

น้ำมะพร้าวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายของแสงแดดและมลภาวะ นอกจากนี้ยังมีกรดลอริกซึ่งช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและมีสุขภาพดี

  1. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

น้ำมะพร้าวมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านเชื้อแบคทีเรียที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

  1. ช่วยลดอาการท้องผูก

น้ำมะพร้าวมีเส้นใยอาหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และช่วยลดอาการท้องผูก

ข้อควรระวัง

แม้ว่าน้ำมะพร้าวจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการ เช่น

  • ผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วอาจแพ้น้ำมะพร้าวได้
  • ผู้ที่เป็นโรคไตควรจำกัดการดื่มน้ำมะพร้าว เนื่องจากมีปริมาณโพแทสเซียมสูง

* น้ำมะพร้าวอาจมีปริมาณน้ำตาลสูงได้ในบางกรณี จึงควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ