Posted on

The Future of Energy Wars: The Battle Beneath the Sea

As the world grapples with the urgent need to decarbonize, a new battleground is emerging beneath the ocean’s surface. Energy wars of the future will be fought over the control of subsea energy interconnectors, crucial for transmitting renewable energy across continents.

The Transatlantic Interconnector: A Game-Changer

A proposed transatlantic interconnector between Europe and North America aims to revolutionize energy distribution. The project, dubbed NATO-L, would span over 2,000 miles, connecting the United Kingdom to eastern Canada and potentially New York to western France. This interconnector would enable the exchange of renewable energy, taking advantage of the sun’s diurnal journey across the globe.

Geopolitical Implications: A New Era of Alliances

Subsea energy cables are not merely infrastructure projects; they are reshaping the geopolitical landscape. By fostering energy interdependence, these interconnectors force nations to reconsider their alliances and diplomatic strategies. The NATO-L project, in particular, is seen as a countermeasure to Russia’s aggression and China’s dominance in clean energy technology.

Russia’s Gray-Zone Attacks: A Threat to Energy Security

Russia has been escalating its gray-zone attacks at sea, targeting energy infrastructure such as subsea cables and pipelines. These attacks aim to intimidate and disrupt Europe’s energy supply, exploiting the vulnerability of cables in shallow waters.

The Appeal of Attacks at Sea: Weakening Rivals

The appeal of attacks at sea for Russia lies in the fact that it is where its European rivals are strengthening their energy connections and transitioning to renewables. By disrupting these interconnectors, Russia seeks to undermine the energy security of its adversaries and maintain its influence in the global energy market.

The Future of Energy Wars: A Shift in Power

The future of energy wars will be characterized by a shift in power away from fossil fuel-dependent nations towards those investing in renewable energy. Subsea energy interconnectors will play a pivotal role in this transition, enabling the sharing of green energy and reducing geopolitical tensions. However, the vulnerability of these cables to sabotage and attack remains a significant concern that must be addressed to ensure the stability of the global energy system.

One&All ครีมกันแดด Sun Fun SPF50+ PA+++ 65 มล.

เข้าดูโปรโมชั่น

Posted on

ไขมันในเลือดสูง: ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ

ไขมันในเลือดสูงเป็นภาวะที่ระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคตับ ไขมันในเลือดสูงมักไม่มีอาการใดๆ จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “ภัยเงียบ”

ประเภทของไขมันในเลือด

มีไขมันสองประเภทหลักในเลือด ได้แก่

  • ไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) หรือที่เรียกว่า “ไขมันเลว” LDL จะขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย เมื่อมี LDL ในเลือดมากเกินไป อาจเกาะติดกับผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดการอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  • ไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) หรือที่เรียกว่า “ไขมันดี” HDL จะขนส่งคอเลสเตอรอลจากเซลล์กลับไปยังตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย เมื่อมี HDL ในเลือดมากขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

สาเหตุของไขมันในเลือดสูง

ไขมันในเลือดสูงอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่

  • พันธุกรรม: บางคนมีแนวโน้มที่จะมีไขมันในเลือดสูงกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากพันธุกรรม
  • อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน เนย ชีส และอาหารทอด สามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้
  • การออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำสามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้
  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน: ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมีแนวโน้มที่จะมีไขมันในเลือดสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ
  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่สามารถลดระดับ HDL และเพิ่มระดับ LDL
  • โรคเบาหวาน: ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมักจะมีระดับไขมันในเลือดสูง
  • ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ: ภาวะนี้สามารถลดระดับ HDL และเพิ่มระดับ LDL
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์และยาคุมกำเนิด สามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้

อาการของไขมันในเลือดสูง

ไขมันในเลือดสูงมักไม่มีอาการใดๆ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี อาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดหน้าอก
  • หายใจลำบาก
  • เวียนหัวหรือเป็นลม
  • ปวดหรือชาที่แขนขา
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง

การวินิจฉัยไขมันในเลือดสูง

การวินิจฉัยไขมันในเลือดสูงทำได้โดยการตรวจเลือด แพทย์จะตรวจวัดระดับไขมันในเลือด รวมถึงคอเลสเตอรอลทั้งหมด ไขมัน LDL ไขมัน HDL และไตรกลีเซอไรด์

การรักษาไขมันในเลือดสูง

การรักษาไขมันในเลือดสูงมุ่งเน้นไปที่การลดระดับไขมัน LDL และเพิ่มระดับไขมัน HDL วิธีการรักษาอาจรวมถึง

  • การเปลี่ยนแปลงอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ต่ำ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และเนื้อปลา สามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้
  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถเพิ่มระดับไขมัน HDL และลดระดับไขมัน LDL
  • การลดน้ำหนัก: ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนควรลดน้ำหนักเพื่อลดระดับไขมันในเลือด
  • การเลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่สามารถเพิ่มระดับไขมัน HDL และลดระดับไขมัน LDL
  • ยา: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งจ่ายยาเพื่อลดระดับไขมันในเลือด ยาเหล่านี้อาจรวมถึงสแตติน ไนอาซินและไฟเบรต

การป้องกันไขมันในเลือดสูง

มีหลายวิธีในการป้องกันไขมันในเลือดสูง ได้แก่

  • รับประทานอาหารที่มีสุขภาพดี: รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ต่ำ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และเนื้อปลา
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม: หากมีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ให้ลดน้ำหนักเพื่อลดระดับไขมันในเลือด
  • เลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่สามารถเพิ่มระดับไขมัน HDL และลดระดับไขมัน LDL
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจสอบระดับไขมันในเลือดและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สำหรับโรคหัวใจ

ไขมันในเลือดสูงเป็นภาวะที่สามารถป้องกันและรักษาได้ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัว การออกกำลังกายเป็นประจำ และการเลิกสูบบุหรี่ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจที่เกี่ยวข้องได้.

วีว่าเช็ค แฟด เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด พร้อมแถบวัดค่าและเข็มเจาะนิ้ว

เข้าดูโปรโมชั่น

เครื่องวัดความดันโลหิตดิจิตอลYUWELL รุ่นYE660F

เข้าดูโปรโมชั่น

BOSO เครื่องวัดความดัน BOSO MedicusSystem

เข้าดูโปรโมชั่น

Posted on

แมวกับพาหะนำโรคสู่คน

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่ได้รับความรักและความเอ็นดูจากผู้คนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม นอกจากความน่ารักและความซุกซนแล้ว แมวยังอาจเป็นพาหะนำโรคต่างๆ ที่สามารถแพร่สู่คนได้อีกด้วย

โรคที่แมวสามารถแพร่สู่คนได้

โรคที่แมวสามารถแพร่สู่คนได้นั้นมีหลากหลาย โดยโรคที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

  • โรคข่วนแมว (Cat Scratch Disease) เกิดจากแบคทีเรีย Bartonella henselae ซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำลายของแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางรอยขีดข่วนหรือกัดของแมว อาการของโรค ได้แก่ ไข้ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต และอาจมีผื่นแดงบริเวณที่ถูกขีดข่วน
  • โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เกิดจากเชื้อไวรัส Rabies virus ซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด รวมถึงแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางรอยขีดข่วนหรือกัดของสัตว์ที่ติดเชื้อ อาการของโรค ได้แก่ ไข้ ปวดหัว คลื่นไส้ และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา
  • โรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) เกิดจากปรสิต Toxoplasma gondii ซึ่งอาศัยอยู่ในอุจจาระของแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางการสัมผัสกับอุจจาระของแมวที่ติดเชื้อหรือการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก อาการของโรค ได้แก่ ไข้ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • โรคหอยโข่ง (Ringworm) เกิดจากเชื้อราหลายชนิด ซึ่งอาศัยอยู่บนผิวหนังและขนของแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางการสัมผัสกับแมวที่ติดเชื้อหรือการสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อรา อาการของโรค ได้แก่ ผื่นแดงเป็นวงกลมที่มีขอบยกสูงและมีอาการคัน
  • โรคแพ้ขนแมว (Cat Allergy) เกิดจากการแพ้โปรตีนที่พบในน้ำลาย ขน และผิวหนังของแมว อาการของโรค ได้แก่ จาม น้ำมูกไหล ตาแดง คัน และอาจมีอาการหอบหืดได้

วิธีป้องกันการติดโรคจากแมว

แม้ว่าแมวอาจเป็นพาหะนำโรคต่างๆ ได้ แต่ก็มีวิธีป้องกันการติดโรคเหล่านี้ได้ โดยวิธีที่สำคัญ ได้แก่

  • ล้างมือให้สะอาด ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำหลังจากสัมผัสกับแมวหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนอุจจาระของแมว
  • หลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนหรือกัด หลีกเลี่ยงการเล่นกับแมวอย่างรุนแรงหรือการเข้าใกล้แมวที่ไม่คุ้นเคย
  • ฉีดวัคซีนให้แมว ฉีดวัคซีนให้แมวเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคพิษสุนัขบ้าและโรคหอยโข่ง
  • ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำโดยเฉพาะบริเวณที่แมวชอบอยู่ เพื่อกำจัดขนและอุจจาระของแมว
  • ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุก ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกก่อนรับประทานเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนอยู่

การดูแลแมวอย่างปลอดภัย

การดูแลแมวอย่างปลอดภัยสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคจากแมวได้ โดยวิธีที่สำคัญ ได้แก่

  • พาแมวไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ พาแมวไปตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาโรคต่างๆ และรับการรักษาอย่างทันท่วงที
  • รักษาสุขอนามัยของแมว รักษาสุขอนามัยของแมวโดยการแปรงขน อาบน้ำ และตัดเล็บเป็นประจำ
  • จัดหาอาหารและน้ำที่สะอาด จัดหาอาหารและน้ำที่สะอาดให้แมวอยู่เสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
  • หลีกเลี่ยงการให้แมวออกไปนอกบ้าน หลีกเลี่ยงการให้แมวออกไปนอกบ้านเพื่อป้องกันการสัมผัสกับสัตว์อื่นๆ ที่อาจติดเชื้อโรค

ข้อสรุป

แมวอาจเป็นพาหะนำโรคต่างๆ ที่สามารถแพร่สู่คนได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยการป้องกันและการดูแลแมวอย่างถูกวิธี ก็สามารถลดความเสี่ยงในการติดโรคจากแมวได้ โดยการล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนหรือกัด ฉีดวัคซีนให้แมว และดูแลสุขอนามัยของแมวอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลใดๆ เกี่ยวกับโรคที่แมวสามารถแพร่สู่คนได้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์หรือแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม.

มีโอ อาหารแมว ปลาแซลมอน 1 กก.

ดูโปรโมชั่น

มีโอ โกลด์ อาหารแมวโต แมวเลี้ยงในบ้าน ขนาด 1.2 กก.

ดูโปรโมชั่น

Posted on

วิตามิน B: ประโยชน์ต่อสุขภาพและแหล่งอาหาร(ประโยชน์ของวิตามิน B)

วิตามิน B เป็นกลุ่มวิตามินที่ละลายในน้ำ ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพและการทำงานของร่างกายโดยรวม วิตามิน B มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีบทบาทเฉพาะตัวในการรักษาสุขภาพที่เหมาะสม

ประโยชน์ของวิตามิน B

  • วิตามิน B1 (ไทอามีน) ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน) ช่วยในการเผาผลาญพลังงานและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B3 (ไนอาซิน) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน และการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B5 (กรดแพนโทธีนิก) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต และการผลิตฮอร์โมน
  • วิตามิน B6 (ไพริดอกซีน) ช่วยในการเผาผลาญโปรตีนและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B7 (ไบโอติน) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต และการเจริญเติบโตของผมและเล็บ
  • วิตามิน B9 (โฟเลต) ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B12 (โคบาลามิน) ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน B

วิตามิน B พบได้ในอาหารหลากหลายชนิด รวมถึง:

  • เนื้อสัตว์
  • ปลา
  • ไข่
  • ผลิตภัณฑ์จากนม
  • ผักใบเขียว
  • ถั่ว
  • เมล็ดธัญพืช

การขาดวิตามิน B

การขาดวิตามิน B อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการมีภาวะทางการแพทย์บางอย่าง อาการของการขาดวิตามิน B อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของวิตามินที่ขาด แต่โดยทั่วไปแล้วอาจรวมถึง:

  • ความเหนื่อยล้า
  • อ่อนแอ
  • ปัญหาทางระบบประสาท
  • ปัญหาทางผิวหนัง
  • ปัญหาทางเดินอาหาร

ข้อควรระวัง

แม้ว่าวิตามิน B จะมีความสำคัญต่อสุขภาพ แต่การรับประทานวิตามิน B มากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะวิตามิน B6 และ B12 การรับประทานวิตามิน B6 มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น ชาและเสียวซ่า ส่วนการรับประทานวิตามิน B12 มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการแพ้และปัญหาทางระบบประสาท

หากคุณกังวลว่าคุณอาจขาดวิตามิน B หรือต้องการรับประทานอาหารเสริมวิตามิน B ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร(วิตามินบี)

Dary Vit วิตามินบี คอมเพล็ก บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Morikami วิตามินบีรวม บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

SWISSE มัลติวิตามินผสมวิตามินบี บรรจุ 30 เม็ด

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Gleanline วิตามินบี คอมเพล็กซ์ บรรจุ 60 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Amado ซิลเวอร์ ทู คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม วิตามินบี 100 กรัม

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Posted on

ผลกระทบจากการใช้สายตาเพ่งกับจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ผลกระทบจากการใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานานคือกลุ่มอาการทางตาที่เรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) กลุ่มอาการนี้เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยมีอาการที่อาจเกิดขึ้นรวมทั้งปวดเมื่อยตา ตาแห้ง แสบตา เคืองตา ตาพร่ามัว โฟกัสได้ช้าลง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ และบางครั้งอาจมีอาการปวดหลัง ไหล่ หรือต้นคอร่วมด้วย

CVS เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยมีปัจจัยหลายประการที่อาจก่อให้เกิดอาการรวมทั้ง:

  1. การจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่กระพริบตา
  2. แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม รวมทั้งการมีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
  3. การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือการมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เราต้องพยายามในการโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น
  4. ระยะห่างจากหน้าจอ ระดับสายตาในการมองจอคอมพิวเตอร์ หรือท่าทางในการในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม

แม้ว่า CVS ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อดวงตาหรือการมองเห็น แต่มักก่อให้เกิดความไม่สบายตา และอาจเป็นปัญหารบกวนการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันได้ เพื่อป้องกันหรือหลีกเลี่ยง CVS สามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ปรับระดับการมองเห็นและปรับท่านั่งในการทำงานให้เหมาะสม ปรับแสงสว่างจากภายนอกและจากจอคอมพิวเตอร์ พักสายตาระหว่างการทำงาน กระพริบตาบ่อยขึ้น หรือหยอดน้ำตาเทียม และพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตา


References:

  • https://bangkokpattayahospital.com/th/health-articles-th/eye-th/computer-vision-syndrome-th/
  • https://bpk9internationalhospital.com/care_blog/content/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B
  • https://www.phyathai.com/th/article/3070-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%86_%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94

อาหารเสริมบำรุงสายตาสำหรับผู้ที่ใช้สายตาเพ่งจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือผู้ที่อ่านหนังสือติดต่อกันเป็นเวลานาน

IMMOR ลูทีนจากสารสกัดดอกดาวเรือง บรรจุ 30 แคปซูล (แพ็ก 2 กระปุก)

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Gleanline ลูทีนสารสกัดจากดอกดาวเรือง บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

BLACKMORES บิลเบอร์รี่ 2500 บรรจุ 60 เม็ด

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Posted on

สารไลโคปีน(Lycopene) คืออะไร?

สารไลโคปีน(Lycopene)เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในพืชบางชนิด เช่น มะเขือเทศ แตงโม พีช และเกรปฟรุต สารนี้มีสีแดงสดและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง

ประโยชน์ของสารไลโคปีน

สารไลโคปีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ได้แก่

  • ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง: สารไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • ปกป้องหัวใจ: สารไลโคปีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยลดระดับคอเลสเตอรอลและป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
  • บำรุงสายตา: สารไลโคปีนช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ โดยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: สารไลโคปีนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว
  • ลดการอักเสบ: สารไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยช่วยลดการผลิตสารอักเสบในร่างกาย

แหล่งของสารไลโคปีน

แหล่งที่ดีที่สุดของสารไลโคปีนคือมะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้ว เช่น ซอสมะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศ แหล่งอื่นๆ ของสารไลโคปีน ได้แก่

  • แตงโม
  • พีช
  • เกรปฟรุต
  • ส้ม
  • แอปริคอต
  • กุยช่าย
  • ผักโขม
  • บรอกโคลี

ข้อควรระวัง

สารไลโคปีนโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่การบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงได้

สรุป : สารไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ปกป้องหัวใจ บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ การรับประทานอาหารที่มีสารไลโคปีนสูงเป็นวิธีที่ดีในการส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

แนะนำผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไลโคปีน(Lycopene)

IMMOR ไลโคปีนจากสารสกัดมะเขือเทศ บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ 120 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Sprege ถั่งเช่าผสมไลโคปีน บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ บรรจุ 5 แคปซูล แพ็ก 3 แผง

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Amsel ไลโคปีน พลัส บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Posted on

บทบาทสำคัญของสารไลโคปีน (Lycopene)

สารไลโคปีน (Lycopene)เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังซึ่งพบได้ในผลไม้และผักสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม และเกรปฟรุต มีบทบาทสำคัญหลายประการต่อสุขภาพของมนุษย์

ป้องกันโรคมะเร็ง

สารไลโคปีนมีคุณสมบัติต้านมะเร็งที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร สารนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งโดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง

ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

สารไลโคปีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยการลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL (คอเลสเตอรอลที่ดี) นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดแดง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ

ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม

สารไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญสำหรับสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมที่เกี่ยวข้องกับอายุ (AMD) สารนี้ช่วยปกป้องเซลล์จอประสาทตาจากความเสียหายของอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็น

เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

สารไลโคปีนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยการกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ

การดูดซึมสารไลโคปีน

การดูดซึมสารไลโคปีนจะดีขึ้นเมื่อรับประทานร่วมกับไขมัน เช่น น้ำมันมะกอกหรืออะโวคาโด การปรุงอาหารด้วยความร้อน เช่น การต้มหรือทอด ก็ช่วยเพิ่มการดูดซึมได้เช่นกัน

ข้อควรระวัง

แม้ว่าสารไลโคปีนจะเป็นสารอาหารที่ปลอดภัย แต่การรับประทานในปริมาณมากอาจทำให้เกิดภาวะไฮเปอร์ไลโคปีเนีย ซึ่งเป็นภาวะที่ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือสีแดง อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายและจะหายไปเมื่อหยุดรับประทานสารไลโคปีน

สรุป: สารไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคจอประสาทตาเสื่อม และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน การรับประทานอาหารที่มีสารไลโคปีนสูง เช่น มะเขือเทศ แตงโม และเกรปฟรุต เป็นวิธีง่ายๆ ในการส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

แนะนำผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไลโคปีน(Lycopene)

IMMOR ไลโคปีนจากสารสกัดมะเขือเทศ บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ 120 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Sprege ถั่งเช่าผสมไลโคปีน บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ บรรจุ 5 แคปซูล แพ็ก 3 แผง

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Amsel ไลโคปีน พลัส บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Posted on

Study Reveals Cows Can Catch and Transmit Bird Flu, Posing Potential Risks to Public Health

Recent research has uncovered a startling revelation in the ongoing battle against avian influenza: cows can become infected with and potentially spread the H5N1 virus. This discovery, detailed in a preprint study, has sent shockwaves through the dairy industry and prompted urgent calls for increased vigilance and research efforts.

The investigation was prompted by an unusual surge in cases of mastitis among dairy cattle in Texas, with milk showing abnormal characteristics that couldn’t be explained by known causes. Subsequent testing revealed a high presence of the H5N1 virus in affected animals, signaling a concerning development in the spread of avian flu.

Researchers from the United States and Denmark delved into the mechanism of infection, uncovering a startling finding: cows possess receptors for flu viruses that are similar to those found in humans and birds. This discovery raises the possibility of cows serving as potential hosts for the virus to adapt and evolve, potentially leading to increased transmission between species.

Dr. Lars Larsen from the University of Copenhagen highlighted the unique concentration of the H5N1 virus in the milk of infected cows, presenting a novel pathway for transmission. Moreover, studies conducted by the US Food and Drug Administration found traces of the virus in milk samples purchased from grocery stores, underscoring the potential widespread distribution of the virus.

The implications of this discovery are profound, with significant economic and public health ramifications. Milk and dairy products rank among the top agricultural commodities in the US, making the health of dairy cattle a critical concern for both industry stakeholders and consumers.

Experts warn of the potential for reassortment, a process by which flu viruses exchange genetic material and potentially create hybrid strains capable of causing pandemics. While the current risk to public health is deemed low, the emergence of H5N1 in dairy cattle underscores the need for increased surveillance and protective measures.

Dr. Sam Scarpino from Northeastern University emphasized the urgency of the situation, calling for enhanced efforts to contain transmission in dairy cattle and bolster research into influenza in cows. As the scientific community grapples with this new threat, swift action and collaboration will be essential to mitigate the risks posed by avian flu in dairy farming.

Posted on

New Findings Suggest Alzheimer’s May Be More Inherited Than Previously Believed

In a groundbreaking study published in Nature Medicine, researchers reveal that Alzheimer’s disease might have a stronger inherited component than previously understood. Traditionally, Alzheimer’s has been categorized into familial and sporadic forms, with familial cases attributed to mutations in specific genes and accounting for only about 2% of diagnoses. However, this new research challenges existing notions, suggesting that a significant portion of Alzheimer’s cases could be attributed to inherited factors.

The study focuses on the role of the APOE gene, which has long been associated with Alzheimer’s risk. While one variant of the gene, APOE4, is known to elevate the risk of developing the disease, the study suggests that having two copies of the APOE4 gene may virtually ensure the onset of Alzheimer’s-related brain changes. Researchers found that individuals with two copies of APOE4 were almost certain to develop the biological hallmarks of Alzheimer’s by the age of 82, shedding light on the gene’s profound impact on disease progression.

Moreover, the study highlights that Alzheimer’s cases associated with APOE4 tend to exhibit earlier onset and more severe symptoms compared to other forms of the disease. This suggests that APOE4 carriers may require personalized treatment approaches tailored to their genetic profile.

The findings have significant implications for Alzheimer’s research and clinical practice. They underscore the need for precision medicine approaches that consider genetic factors in diagnosing and treating the disease. While genetic testing for APOE4 is not currently routine, the study suggests that this may need to change to facilitate early detection and personalized care.

Furthermore, the study prompts a reevaluation of Alzheimer’s clinical trials to account for participants’ APOE4 status. Understanding how APOE4 influences disease progression could lead to more targeted and effective interventions, potentially transforming the landscape of Alzheimer’s treatment.

Overall, the study represents a pivotal step in unraveling the complexities of Alzheimer’s disease and underscores the importance of genetic factors in its development and progression.

Posted on

ผลวิจัยบ่งชี้ว่าฟ้าทะลายโจรไม่สามารถช่วยลดอาการปอดอักเสบและเชื้อโควิด 19

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เผยผลวิจัย ยาหรือสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร ช่วยลดปอดอักเสบ-เชื้อโควิด 19 ไม่ได้ หากกินติดต่อกัน 5 วัน เสี่ยงตับพัง ไม่แนะนำให้จ่ายยากับผู้ป่วยอาการน้อย

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดผลวิจัยกรณีศึกษาชุดโครงการประสิทธิศักย์และความปลอดภัยของการใช้ยาหรือสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร เพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลในการป้องกันการอักเสบของปอด อาการข้างเคียง รวมถึงการลดปริมาณเชื้อในผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างใน 2 จังหวัด คือ จ.สระบุรี และ จ.ปราจีนบุรี ภายใต้กระบวนการวิจัยทางคลินิกที่เป็นตามมาตรฐานสากล ซึ่งจังหวัดสระบุรี มีผู้ป่วยเข้าโครงการวิจัย 396 คน และ จ.ปราจีนบุรี มีผู้ป่วยเข้าโครงการวิจัย 271 คน โดยจะมีวิธีการเก็บข้อมูลที่หมือนกัน แต่มีการใช้รูปแบบยาที่ต่างกัน แบ่งเป็น จ.สระบุรี ใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจร ส่วน จ.ปราจีนบุรี ใช้ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร แม้ใน 2 พื้นที่จะมีขนาดในการใช้ยาที่แตกต่างกัน แต่จากการศึกษาปรากฏว่าได้ผลวิจัยเดียวกัน คือ ยาหรือสารสะกัดจากฟ้าทะลายโจร “ไม่สามารถ” ลดอัตราการเกิดปอดอักเสบ ลดอาการ หรือลดปริมาณของเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ เมื่อเทียบกับยาหลอก (สารที่มีลักษณะเหมือนยาจริง แต่ไม่มีตัวยาเป็นส่วนประกอบอยู่เลย)
และพบว่า เมื่อรับยาฟ้าทะลายโจรติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน จะเกิดผลแทรกซ้อนต่อการทำงานของตับ ซึ่งเป็นผลวิจัยที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ สามารถนำไปอ้างอิงและเป็นข้อควรระวังในการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยโรคโควิดได้ต่อไปในอนาคตด้วย

ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้จ่ายยาที่เป็นสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรให้ผู้ป่วยโควิดที่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อย เพราะนอกจากไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยแล้ว ยังอาจส่งผลต่อการทำงานของตับอีกด้วย และถ้าประชาชนยังรับยาฟ้าทะลายโจรอยู่หรือรับประทานต่อเนื่อง ควรหยุดก่อนและเข้าไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ

อ้างอิงข้อมูล : สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)