Posted on

วิธีป้องกันตัวเองจากอาชญากรรมไซเบอร์ยุคใหม่

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การใช้งานอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันต่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็เปิดโอกาสให้อาชญากรไซเบอร์พัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ ในการหลอกลวงและขโมยข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวง เช่น การปลอมแปลงใบหน้า (Deepfake) และการเลียนเสียง ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น คำถามที่สำคัญคือ เราในฐานะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปจะป้องกันตัวเองอย่างไรเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามเหล่านี้? ทางแคสเปอร์สกี้ได้แนะนำวิธีปฏิบัติ 7 ประการที่สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในปี 2568 ดังนี้:

1. เรียนรู้การใช้ AI อย่างปลอดภัย

AI ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบผู้ช่วยเสมือน (AI Assistant) หรือแชทบ็อตที่ตอบคำถามและช่วยแก้ปัญหาต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:

  • ตรวจสอบคำแนะนำของ AI: อย่าเชื่อข้อมูลที่ได้รับจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับยา การลงทุน หรือคำแนะนำที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ
  • ไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับ AI: หลีกเลี่ยงการอัปโหลดข้อมูลสำคัญ เช่น ภาพถ่ายเอกสาร รายละเอียดทางการเงิน หรือข้อมูลทางการแพทย์ เพราะอาจเกิดการรั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

2. ใช้พาสคีย์แทนพาสเวิร์ด

พาสคีย์ (Passkey) กำลังเข้ามาแทนที่พาสเวิร์ดแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น เพราะใช้การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพหรือรหัส PIN แทนการจดจำรหัสผ่านยาวๆ ที่อาจถูกแฮ็กได้ง่าย

  • ข้อดีของพาสคีย์: เทคโนโลยีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบฟิชชิ่งและการขโมยรหัสผ่าน อีกทั้งยังใช้งานง่ายและรวดเร็วกว่าการใช้พาสเวิร์ดและ OTP รวมกัน

3. เปลี่ยนพาสเวิร์ดเก่าทั้งหมด

แม้จะเริ่มมีการใช้งานพาสคีย์แล้ว แต่พาสเวิร์ดที่เคยใช้งานยังคงเป็นจุดอ่อนที่อาจถูกแฮ็กได้ หากต้องการเพิ่มความปลอดภัย คุณควร:

  • รีเซ็ตรหัสผ่านที่สั้นและเก่า: รหัสผ่านควรมีความยาวอย่างน้อย 12 ตัวอักษร และไม่ควรใช้พาสเวิร์ดซ้ำกันในหลายบัญชี
  • ใช้โปรแกรมจัดการพาสเวิร์ด: โปรแกรมเหล่านี้ช่วยให้คุณสร้างและจัดเก็บพาสเวิร์ดที่ปลอดภัยโดยไม่ต้องจดจำเอง

4. รู้จักวิธีตรวจจับ Deepfake

เทคโนโลยี Deepfake ทำให้มิจฉาชีพสามารถสร้างวิดีโอปลอมที่มีความสมจริงสูง เพื่อใช้ในการหลอกลวงหรือข่มขู่เป้าหมาย ดังนั้นจึงควรเรียนรู้วิธีตรวจจับและรับมือ:

  • ตรวจสอบคำขอที่ผิดปกติ: หากได้รับคำขอจากคนรู้จักผ่านวิดีโอหรือเสียงที่ดูน่าเชื่อถือ ให้ตรวจสอบซ้ำด้วยการติดต่อบุคคลนั้นผ่านช่องทางอื่น
  • หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลส่วนตัว: ไม่ควรแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่น่าเชื่อถือ

5. ใช้โปรแกรมส่งข้อความส่วนตัว

เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวในปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้โปรแกรมส่งข้อความที่มีการเข้ารหัสแบบ End-to-End ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวได้ดีกว่าแอปพลิเคชันทั่วไป

  • เลือกแอปพลิเคชันที่ปลอดภัย: แอปอย่าง Signal หรือ Telegram ที่มีการเข้ารหัสแบบสมบูรณ์สามารถช่วยป้องกันข้อมูลของคุณจากการถูกดักฟัง

6. สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

การสำรองข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องข้อมูลในกรณีที่อุปกรณ์ของคุณถูกโจมตีหรือเกิดปัญหาอื่นๆ เช่น อุปกรณ์เสียหายหรือถูกขโมย

  • ตั้งตารางสำรองข้อมูล: คุณสามารถตั้งเวลาสำรองข้อมูลเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน
  • ใช้การสำรองข้อมูลแบบสองทาง: สำรองข้อมูลทั้งในอุปกรณ์และบนคลาวด์เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่สูญหาย

7. ลดการป้อนหมายเลขบัตรธนาคาร

ข้อมูลทางการเงินเป็นเป้าหมายหลักของอาชญากรไซเบอร์ การลดการป้อนข้อมูลบัตรธนาคารในเว็บไซต์ต่างๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

  • ใช้บริการชำระเงินที่ปลอดภัย: เช่น PayPal, Google Pay หรือ Apple Pay ซึ่งมีระบบความปลอดภัยสูง
  • เลี่ยงการใช้บัตรในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ: และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ที่ใช้งานมีการเข้ารหัส SSL (แสดงเป็นสัญลักษณ์กุญแจล็อกใน URL)

สรุป

ภัยคุกคามในโลกไซเบอร์มีความซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้นเรื่อยๆ การป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจึงต้องอาศัยการเรียนรู้และการปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจเทคโนโลยีที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน และใช้มาตรการป้องกันที่แนะนำในบทความนี้ การลงมือป้องกันตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงจากการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์ และสามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจในอนาคต

Posted on

อาหารเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสเส้นเลือดสมองตีบ แตก ตัน ซึ่งควรหลีกเลี่ยง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อโรคหลอดเลือดสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ แตก หรือตัน มักเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และภาวะอ้วน ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เราสามารถควบคุมได้คือ “พฤติกรรมการกิน” วันนี้เราจะพาไปดู 5 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง

1. ปาท่องโก๋

แม้ว่าจะเป็นเมนูอาหารเช้าแสนอร่อยที่หลายคนชื่นชอบ แต่ แป้งทอดในน้ำมันพืช สามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือดและคอเลสเตอรอล เมื่อรับประทานควบคู่กับนมข้นหวานหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคอ้วนและเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง

ทางเลือกที่ดีขึ้น: ควรลดปริมาณการบริโภคหรือเลือกกินขนมปังโฮลวีตแทน และหลีกเลี่ยงการจิ้มกับนมข้นหวานเพื่อลดปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายได้รับ

2. อาหารแปรรูป: เบคอน แฮม ไส้กรอก

อาหารประเภทแปรรูป เช่น เบคอน แฮม และไส้กรอก มีปริมาณโซเดียมสูง ซึ่งส่งผลต่อความดันโลหิต นอกจากนี้ กระบวนการทอดโดยใช้น้ำมันเก่าหรือน้ำมันพืชที่ผ่านการใช้งานซ้ำหลายครั้ง ยังเพิ่มระดับ โอเมก้า-6 ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เส้นเลือดอักเสบและตีบตันได้ง่ายขึ้น

ทางเลือกที่ดีขึ้น: หากต้องการรับประทาน ควรเปลี่ยนจากการทอดเป็นการ อุ่น หรือนึ่ง แทน เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัวที่อาจก่อให้เกิดปัญหาหลอดเลือด

3. พิซซ่า โดนัท และแฮมเบอร์เกอร์

อาหารเหล่านี้มี ไขมันทรานส์สูง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดแข็งตัวและเพิ่มโอกาสเส้นเลือดอุดตัน การบริโภคในปริมาณมาก และเป็นเวลานานสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ

ทางเลือกที่ดีขึ้น: หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทนี้บ่อย ๆ หากต้องการกินพิซซ่า ควรเลือกแบบ แป้งบาง หน้าเบา และลดปริมาณชีส ส่วนเบอร์เกอร์ควรเลือกแบบที่ใช้ขนมปังโฮลวีตและเพิ่มปริมาณผัก

4. ของทอดที่ผ่านน้ำมันซ้ำ

อาหารทอด เช่น ไก่ทอด ลูกชิ้นทอด มักใช้น้ำมันพืชที่ผ่านการทอดซ้ำ ซึ่งอาจมีสารไฮโดรคาร์บอนที่ก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด การบริโภคไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูงยังทำให้ระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมอง

ทางเลือกที่ดีขึ้น: แนะนำให้ปรับเปลี่ยนเป็นการ ย่าง อบ หรือต้ม แทน รวมถึงเลือกใช้น้ำมันเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันรำข้าว

5. ชานมไข่มุก

แม้จะเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม แต่ชานมไข่มุกมักมี น้ำตาลสูงถึง 12 ช้อนชา ต่อแก้ว และยังมีครีมเทียมที่เป็นไขมันทรานส์ ซึ่งทำให้ระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงของเส้นเลือดสมองตีบแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง

ทางเลือกที่ดีขึ้น: หากต้องการดื่ม ควรลดปริมาณน้ำตาลหรือเลือกชาที่ไม่มีครีมเทียม เช่น ชาดำ ชาเขียว หรือเลือกใช้นมทางเลือก เช่น นมอัลมอนด์

สรุป

อาหารทั้ง 5 ประเภทนี้ แม้จะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น หลีกเลี่ยงของทอด ลดปริมาณน้ำตาล และเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานอาหารที่สมดุล ร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดสมอง และส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว.

Posted on

อาหารที่ส่งผลต่ออายุขัย: เลือกอย่างไรให้ชีวิตยืนยาว?

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนชี้ให้เห็นว่า การบริโภคอาหารแปรรูปมากเกินไป อาจทำให้อายุขัยสั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น:

  • ฮอทดอก: การรับประทานเพียงหนึ่งมื้ออาจทำให้อายุขัยลดลงถึง 36 นาที
  • แซนวิชกับไข่: ลดอายุขัยลงประมาณ 13 นาที
  • เครื่องดื่มน้ำอัดลม: เช่น โค้ก ลดอายุขัยลง 12 นาที

อาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่ลดอายุขัย แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน หากบริโภคในปริมาณมาก นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า การบริโภคอาหารแปรรูปมากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ถึงร้อยละ 12 และปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล เพิ่มขึ้นร้อยละ 48-53

ผลกระทบระยะยาวของอาหารแปรรูป

การศึกษาเพิ่มเติมจากวารสารการแพทย์อังกฤษ (BMJ) ระบุว่า อาหารแปรรูปส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าที่คาดไว้ ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึงร้อยละ 50 แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น:

  • ภาวะซึมเศร้า
  • ปัญหาการนอนหลับ
  • คอเลสเตอรอลสูง
  • ปัญหาระบบทางเดินอาหาร

แม้ว่าการบริโภคอาหารแปรรูปในปริมาณที่เหมาะสมอาจไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่การลดการบริโภคและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

อาหารที่ช่วยให้อายุยืน

ในทางกลับกัน การเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสามารถเพิ่มอายุขัยได้อย่างน่าประทับใจ ตัวอย่างเช่น:

  • ปลาบางชนิด: การรับประทานปลา เช่น แซลมอน หรือแมคเคอเรล สามารถเพิ่มอายุขัยได้ถึง 32 นาที
  • ผลไม้ ผัก และธัญพืชไม่ขัดสี: เป็นแหล่งสารอาหารสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
  • ชีส: ชีสประเภทเชดดาร์และบรี อาจช่วยเพิ่มอายุขัยและลดความเสี่ยงต่อมะเร็งตับได้

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

ดร. โอลิเวียร์ โจลลิเอต์ หัวหน้าการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน โดยการปรับเปลี่ยนโภชนาการแม้เพียงเล็กน้อย เช่น การลดอาหารแปรรูปและเพิ่มอาหารที่มีประโยชน์ในเมนูประจำวัน สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว

สรุป

สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากจานอาหาร การหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงช่วยเพิ่มอายุขัย แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต หากคุณต้องการอายุที่ยืนยาวและสุขภาพที่ดี อย่าลืมใส่ใจในสิ่งที่คุณบริโภคในทุกๆ มื้ออาหาร.

Posted on

ศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐเตือนอันตรายของแอลกอฮอล์: เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

ดร.วิเวก เมอร์ธี ศัลยแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ ออกคำเตือนเมื่อวันศุกร์เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคแอลกอฮอล์และความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง พร้อมเรียกร้องให้ปรับปรุงฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์

คำเตือนครั้งนี้มุ่งเน้นให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของแอลกอฮอล์ ซึ่งในอดีตเคยถูกมองว่าอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกรณีของไวน์แดง

แอลกอฮอล์: สาเหตุป้องกันได้ของมะเร็งหลายชนิด
แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุป้องกันได้ของมะเร็งกว่า 100,000 รายและการเสียชีวิตจากมะเร็ง 20,000 รายในสหรัฐฯ ทุกปี ซึ่งมากกว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ถึง 13,500 รายต่อปี อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่ามีเพียง 45% ของชาวอเมริกันที่ตระหนักว่าแอลกอฮอล์สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้

ความเสี่ยงของมะเร็งจากแอลกอฮอล์
รายงานระบุว่าแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งอย่างน้อย 7 ชนิด เช่น มะเร็งเต้านม ลำไส้ หลอดอาหาร ตับ และปาก ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นไม่ว่าประเภทของแอลกอฮอล์จะเป็นแบบใด และเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่บริโภค

แอลกอฮอล์ก่อให้เกิดมะเร็งผ่านกระบวนการหลายรูปแบบ เช่น

  • เปลี่ยนเป็นสารอะเซตัลดีไฮด์ที่ทำลายดีเอ็นเอ
  • สร้างโมเลกุลที่ไม่เสถียรที่ทำลายเซลล์
  • เปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน เช่น เอสโตรเจน และเทสโทสเตอโรน
  • ลดระดับสารอาหารที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เช่น วิตามินบีและโฟเลต

นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลเสริมฤทธิ์สารก่อมะเร็งในผลิตภัณฑ์ยาสูบ ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้หญิงเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย
ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าเนื่องจากขนาดตัวที่เล็กกว่า การมีไขมันในร่างกายมากกว่า และฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปจากแอลกอฮอล์

ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่ดื่มน้อยกว่า 1 แก้วต่อสัปดาห์มีความเสี่ยง 17% ที่จะเป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ความเสี่ยงนี้เพิ่มเป็น 19% เมื่อดื่มวันละ 1 แก้ว และ 22% สำหรับการดื่ม 2 แก้วต่อวัน ในขณะที่ความเสี่ยงของผู้ชายในระดับเดียวกันคือ 10%, 11% และ 13% ตามลำดับ

การลดการบริโภคแอลกอฮอล์
ดร.เดวิด กรีนเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง กล่าวว่าเขารู้สึกยินดีที่เห็นคำเตือนนี้ออกมา และชี้ว่าความตระหนักถึงความเสี่ยงของแอลกอฮอล์ในหมู่ประชาชนยังคงต่ำ

แม้จะไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ “ปลอดภัย” แต่การบริโภคอย่างพอเหมาะพอควรและการลดความถี่อาจช่วยลดความเสี่ยงได้ ปัจจุบันเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น ม็อกเทล กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น

คำแนะนำล่าสุดจากศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐฯ นี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงมุมมองเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ โดยเน้นถึงความจำเป็นในการเพิ่มความตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น.

Posted on

New Study Suggests Coffee Could Offer More Than Just a Morning Boost

September 20, 2024 — Global

A new study reveals that your morning cup of coffee may do more than simply wake you up—it could help protect against a range of heart and metabolic diseases. According to the research, moderate consumption of coffee or tea, defined as around three cups a day, is associated with a reduced risk of developing cardiometabolic multimorbidity (CM), a condition where an individual has two or more cardiometabolic diseases such as heart disease, stroke, or type 2 diabetes.

The study, led by Dr. Chaofu Ke, associate professor of epidemiology and biostatistics at Soochow University in Suzhou, China, analyzed data from approximately 180,000 participants in the UK Biobank, a biomedical research database that follows individuals over time. None of the participants had cardiometabolic diseases at the start of the study.

“Coffee and caffeine consumption may play an important protective role in almost all phases of CM development,” Dr. Ke said.

A Lower Risk with Moderate Consumption

The findings, published in the Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism, suggest that those who consumed moderate amounts of caffeine had a significantly lower risk of developing CM. Specifically, individuals who drank three cups of coffee or tea daily saw a 48.1% reduced risk of new onset cardiometabolic multimorbidity, compared to those who consumed less than one cup. Consuming 200 to 300 milligrams of caffeine per day also lowered the risk by 40.7%.

Dr. Gregory Marcus, a cardiologist and professor of medicine at the University of California, San Francisco, who was not involved in the study, said these results align with the growing body of evidence that caffeine-containing beverages may support heart health. “These observations add to the growing body of evidence that caffeine, and commonly consumed natural substances that contain caffeine such as tea and coffee, may enhance cardiovascular health,” Marcus stated.

Questions Remain About Caffeine’s Role

While the study highlights a potential link between caffeine and improved heart health, experts caution against making definitive conclusions. As Dr. Marcus points out, the study is observational, meaning it can only show a correlation, not causation. “It remains possible that the apparent protective effects do not truly exist and that positive associations are explained by other, unknown factors,” Marcus explained. For instance, those who consume coffee may also maintain healthier lifestyles, which could be responsible for the improved heart health outcomes.

Additionally, the study did not examine caffeine consumption from sources like energy drinks or sodas, raising questions about whether all forms of caffeine would have similar benefits.

Should You Drink More Coffee?

Despite the promising results, experts warn against overindulging. While moderate caffeine intake may offer health benefits, high doses, particularly from energy drinks or artificial sources, can have negative effects. “More is not necessarily better,” Marcus emphasized, citing research that links excessive caffeine consumption with dangerous heart rhythm issues.

For now, those who enjoy their daily coffee or tea can take comfort in the possibility that their habit may support long-term heart health. However, Marcus advises against starting a caffeine routine purely based on this study, noting that the best approach is moderation.

With more research needed to clarify caffeine’s exact impact on cardiometabolic health, the findings offer an intriguing look into how a common morning ritual might be providing more than just an energy boost.

Posted on

The Future of Energy Wars: The Battle Beneath the Sea

As the world grapples with the urgent need to decarbonize, a new battleground is emerging beneath the ocean’s surface. Energy wars of the future will be fought over the control of subsea energy interconnectors, crucial for transmitting renewable energy across continents.

The Transatlantic Interconnector: A Game-Changer

A proposed transatlantic interconnector between Europe and North America aims to revolutionize energy distribution. The project, dubbed NATO-L, would span over 2,000 miles, connecting the United Kingdom to eastern Canada and potentially New York to western France. This interconnector would enable the exchange of renewable energy, taking advantage of the sun’s diurnal journey across the globe.

Geopolitical Implications: A New Era of Alliances

Subsea energy cables are not merely infrastructure projects; they are reshaping the geopolitical landscape. By fostering energy interdependence, these interconnectors force nations to reconsider their alliances and diplomatic strategies. The NATO-L project, in particular, is seen as a countermeasure to Russia’s aggression and China’s dominance in clean energy technology.

Russia’s Gray-Zone Attacks: A Threat to Energy Security

Russia has been escalating its gray-zone attacks at sea, targeting energy infrastructure such as subsea cables and pipelines. These attacks aim to intimidate and disrupt Europe’s energy supply, exploiting the vulnerability of cables in shallow waters.

The Appeal of Attacks at Sea: Weakening Rivals

The appeal of attacks at sea for Russia lies in the fact that it is where its European rivals are strengthening their energy connections and transitioning to renewables. By disrupting these interconnectors, Russia seeks to undermine the energy security of its adversaries and maintain its influence in the global energy market.

The Future of Energy Wars: A Shift in Power

The future of energy wars will be characterized by a shift in power away from fossil fuel-dependent nations towards those investing in renewable energy. Subsea energy interconnectors will play a pivotal role in this transition, enabling the sharing of green energy and reducing geopolitical tensions. However, the vulnerability of these cables to sabotage and attack remains a significant concern that must be addressed to ensure the stability of the global energy system.

One&All ครีมกันแดด Sun Fun SPF50+ PA+++ 65 มล.

เข้าดูโปรโมชั่น

Posted on

ไขมันในเลือดสูง: ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ

ไขมันในเลือดสูงเป็นภาวะที่ระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคตับ ไขมันในเลือดสูงมักไม่มีอาการใดๆ จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “ภัยเงียบ”

ประเภทของไขมันในเลือด

มีไขมันสองประเภทหลักในเลือด ได้แก่

  • ไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) หรือที่เรียกว่า “ไขมันเลว” LDL จะขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย เมื่อมี LDL ในเลือดมากเกินไป อาจเกาะติดกับผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดการอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  • ไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) หรือที่เรียกว่า “ไขมันดี” HDL จะขนส่งคอเลสเตอรอลจากเซลล์กลับไปยังตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย เมื่อมี HDL ในเลือดมากขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

สาเหตุของไขมันในเลือดสูง

ไขมันในเลือดสูงอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่

  • พันธุกรรม: บางคนมีแนวโน้มที่จะมีไขมันในเลือดสูงกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากพันธุกรรม
  • อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน เนย ชีส และอาหารทอด สามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้
  • การออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำสามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้
  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน: ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมีแนวโน้มที่จะมีไขมันในเลือดสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ
  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่สามารถลดระดับ HDL และเพิ่มระดับ LDL
  • โรคเบาหวาน: ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมักจะมีระดับไขมันในเลือดสูง
  • ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ: ภาวะนี้สามารถลดระดับ HDL และเพิ่มระดับ LDL
  • ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์และยาคุมกำเนิด สามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้

อาการของไขมันในเลือดสูง

ไขมันในเลือดสูงมักไม่มีอาการใดๆ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี อาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดหน้าอก
  • หายใจลำบาก
  • เวียนหัวหรือเป็นลม
  • ปวดหรือชาที่แขนขา
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง

การวินิจฉัยไขมันในเลือดสูง

การวินิจฉัยไขมันในเลือดสูงทำได้โดยการตรวจเลือด แพทย์จะตรวจวัดระดับไขมันในเลือด รวมถึงคอเลสเตอรอลทั้งหมด ไขมัน LDL ไขมัน HDL และไตรกลีเซอไรด์

การรักษาไขมันในเลือดสูง

การรักษาไขมันในเลือดสูงมุ่งเน้นไปที่การลดระดับไขมัน LDL และเพิ่มระดับไขมัน HDL วิธีการรักษาอาจรวมถึง

  • การเปลี่ยนแปลงอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ต่ำ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และเนื้อปลา สามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้
  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถเพิ่มระดับไขมัน HDL และลดระดับไขมัน LDL
  • การลดน้ำหนัก: ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนควรลดน้ำหนักเพื่อลดระดับไขมันในเลือด
  • การเลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่สามารถเพิ่มระดับไขมัน HDL และลดระดับไขมัน LDL
  • ยา: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งจ่ายยาเพื่อลดระดับไขมันในเลือด ยาเหล่านี้อาจรวมถึงสแตติน ไนอาซินและไฟเบรต

การป้องกันไขมันในเลือดสูง

มีหลายวิธีในการป้องกันไขมันในเลือดสูง ได้แก่

  • รับประทานอาหารที่มีสุขภาพดี: รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ต่ำ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และเนื้อปลา
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม: หากมีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ให้ลดน้ำหนักเพื่อลดระดับไขมันในเลือด
  • เลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่สามารถเพิ่มระดับไขมัน HDL และลดระดับไขมัน LDL
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจสอบระดับไขมันในเลือดและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สำหรับโรคหัวใจ

ไขมันในเลือดสูงเป็นภาวะที่สามารถป้องกันและรักษาได้ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัว การออกกำลังกายเป็นประจำ และการเลิกสูบบุหรี่ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจที่เกี่ยวข้องได้.

วีว่าเช็ค แฟด เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด พร้อมแถบวัดค่าและเข็มเจาะนิ้ว

เข้าดูโปรโมชั่น

เครื่องวัดความดันโลหิตดิจิตอลYUWELL รุ่นYE660F

เข้าดูโปรโมชั่น

BOSO เครื่องวัดความดัน BOSO MedicusSystem

เข้าดูโปรโมชั่น

Posted on

แมวกับพาหะนำโรคสู่คน

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่ได้รับความรักและความเอ็นดูจากผู้คนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม นอกจากความน่ารักและความซุกซนแล้ว แมวยังอาจเป็นพาหะนำโรคต่างๆ ที่สามารถแพร่สู่คนได้อีกด้วย

โรคที่แมวสามารถแพร่สู่คนได้

โรคที่แมวสามารถแพร่สู่คนได้นั้นมีหลากหลาย โดยโรคที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

  • โรคข่วนแมว (Cat Scratch Disease) เกิดจากแบคทีเรีย Bartonella henselae ซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำลายของแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางรอยขีดข่วนหรือกัดของแมว อาการของโรค ได้แก่ ไข้ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต และอาจมีผื่นแดงบริเวณที่ถูกขีดข่วน
  • โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เกิดจากเชื้อไวรัส Rabies virus ซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด รวมถึงแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางรอยขีดข่วนหรือกัดของสัตว์ที่ติดเชื้อ อาการของโรค ได้แก่ ไข้ ปวดหัว คลื่นไส้ และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษา
  • โรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) เกิดจากปรสิต Toxoplasma gondii ซึ่งอาศัยอยู่ในอุจจาระของแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางการสัมผัสกับอุจจาระของแมวที่ติดเชื้อหรือการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก อาการของโรค ได้แก่ ไข้ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • โรคหอยโข่ง (Ringworm) เกิดจากเชื้อราหลายชนิด ซึ่งอาศัยอยู่บนผิวหนังและขนของแมว โรคนี้แพร่สู่คนผ่านทางการสัมผัสกับแมวที่ติดเชื้อหรือการสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อรา อาการของโรค ได้แก่ ผื่นแดงเป็นวงกลมที่มีขอบยกสูงและมีอาการคัน
  • โรคแพ้ขนแมว (Cat Allergy) เกิดจากการแพ้โปรตีนที่พบในน้ำลาย ขน และผิวหนังของแมว อาการของโรค ได้แก่ จาม น้ำมูกไหล ตาแดง คัน และอาจมีอาการหอบหืดได้

วิธีป้องกันการติดโรคจากแมว

แม้ว่าแมวอาจเป็นพาหะนำโรคต่างๆ ได้ แต่ก็มีวิธีป้องกันการติดโรคเหล่านี้ได้ โดยวิธีที่สำคัญ ได้แก่

  • ล้างมือให้สะอาด ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำหลังจากสัมผัสกับแมวหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนอุจจาระของแมว
  • หลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนหรือกัด หลีกเลี่ยงการเล่นกับแมวอย่างรุนแรงหรือการเข้าใกล้แมวที่ไม่คุ้นเคย
  • ฉีดวัคซีนให้แมว ฉีดวัคซีนให้แมวเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคพิษสุนัขบ้าและโรคหอยโข่ง
  • ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำโดยเฉพาะบริเวณที่แมวชอบอยู่ เพื่อกำจัดขนและอุจจาระของแมว
  • ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุก ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกก่อนรับประทานเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนอยู่

การดูแลแมวอย่างปลอดภัย

การดูแลแมวอย่างปลอดภัยสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคจากแมวได้ โดยวิธีที่สำคัญ ได้แก่

  • พาแมวไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ พาแมวไปตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาโรคต่างๆ และรับการรักษาอย่างทันท่วงที
  • รักษาสุขอนามัยของแมว รักษาสุขอนามัยของแมวโดยการแปรงขน อาบน้ำ และตัดเล็บเป็นประจำ
  • จัดหาอาหารและน้ำที่สะอาด จัดหาอาหารและน้ำที่สะอาดให้แมวอยู่เสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
  • หลีกเลี่ยงการให้แมวออกไปนอกบ้าน หลีกเลี่ยงการให้แมวออกไปนอกบ้านเพื่อป้องกันการสัมผัสกับสัตว์อื่นๆ ที่อาจติดเชื้อโรค

ข้อสรุป

แมวอาจเป็นพาหะนำโรคต่างๆ ที่สามารถแพร่สู่คนได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยการป้องกันและการดูแลแมวอย่างถูกวิธี ก็สามารถลดความเสี่ยงในการติดโรคจากแมวได้ โดยการล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการถูกขีดข่วนหรือกัด ฉีดวัคซีนให้แมว และดูแลสุขอนามัยของแมวอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยหรือกังวลใดๆ เกี่ยวกับโรคที่แมวสามารถแพร่สู่คนได้ ควรปรึกษาสัตวแพทย์หรือแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม.

มีโอ อาหารแมว ปลาแซลมอน 1 กก.

ดูโปรโมชั่น

มีโอ โกลด์ อาหารแมวโต แมวเลี้ยงในบ้าน ขนาด 1.2 กก.

ดูโปรโมชั่น

Posted on

วิตามิน B: ประโยชน์ต่อสุขภาพและแหล่งอาหาร(ประโยชน์ของวิตามิน B)

วิตามิน B เป็นกลุ่มวิตามินที่ละลายในน้ำ ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพและการทำงานของร่างกายโดยรวม วิตามิน B มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีบทบาทเฉพาะตัวในการรักษาสุขภาพที่เหมาะสม

ประโยชน์ของวิตามิน B

  • วิตามิน B1 (ไทอามีน) ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน) ช่วยในการเผาผลาญพลังงานและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B3 (ไนอาซิน) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน และการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B5 (กรดแพนโทธีนิก) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต และการผลิตฮอร์โมน
  • วิตามิน B6 (ไพริดอกซีน) ช่วยในการเผาผลาญโปรตีนและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B7 (ไบโอติน) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต และการเจริญเติบโตของผมและเล็บ
  • วิตามิน B9 (โฟเลต) ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามิน B12 (โคบาลามิน) ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน B

วิตามิน B พบได้ในอาหารหลากหลายชนิด รวมถึง:

  • เนื้อสัตว์
  • ปลา
  • ไข่
  • ผลิตภัณฑ์จากนม
  • ผักใบเขียว
  • ถั่ว
  • เมล็ดธัญพืช

การขาดวิตามิน B

การขาดวิตามิน B อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการมีภาวะทางการแพทย์บางอย่าง อาการของการขาดวิตามิน B อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของวิตามินที่ขาด แต่โดยทั่วไปแล้วอาจรวมถึง:

  • ความเหนื่อยล้า
  • อ่อนแอ
  • ปัญหาทางระบบประสาท
  • ปัญหาทางผิวหนัง
  • ปัญหาทางเดินอาหาร

ข้อควรระวัง

แม้ว่าวิตามิน B จะมีความสำคัญต่อสุขภาพ แต่การรับประทานวิตามิน B มากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะวิตามิน B6 และ B12 การรับประทานวิตามิน B6 มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น ชาและเสียวซ่า ส่วนการรับประทานวิตามิน B12 มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการแพ้และปัญหาทางระบบประสาท

หากคุณกังวลว่าคุณอาจขาดวิตามิน B หรือต้องการรับประทานอาหารเสริมวิตามิน B ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร(วิตามินบี)

Dary Vit วิตามินบี คอมเพล็ก บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Morikami วิตามินบีรวม บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

SWISSE มัลติวิตามินผสมวิตามินบี บรรจุ 30 เม็ด

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Gleanline วิตามินบี คอมเพล็กซ์ บรรจุ 60 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Amado ซิลเวอร์ ทู คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม วิตามินบี 100 กรัม

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Posted on

ผลกระทบจากการใช้สายตาเพ่งกับจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ผลกระทบจากการใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานานคือกลุ่มอาการทางตาที่เรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) กลุ่มอาการนี้เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยมีอาการที่อาจเกิดขึ้นรวมทั้งปวดเมื่อยตา ตาแห้ง แสบตา เคืองตา ตาพร่ามัว โฟกัสได้ช้าลง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ และบางครั้งอาจมีอาการปวดหลัง ไหล่ หรือต้นคอร่วมด้วย

CVS เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยมีปัจจัยหลายประการที่อาจก่อให้เกิดอาการรวมทั้ง:

  1. การจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่กระพริบตา
  2. แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม รวมทั้งการมีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
  3. การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือการมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เราต้องพยายามในการโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น
  4. ระยะห่างจากหน้าจอ ระดับสายตาในการมองจอคอมพิวเตอร์ หรือท่าทางในการในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม

แม้ว่า CVS ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อดวงตาหรือการมองเห็น แต่มักก่อให้เกิดความไม่สบายตา และอาจเป็นปัญหารบกวนการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันได้ เพื่อป้องกันหรือหลีกเลี่ยง CVS สามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ปรับระดับการมองเห็นและปรับท่านั่งในการทำงานให้เหมาะสม ปรับแสงสว่างจากภายนอกและจากจอคอมพิวเตอร์ พักสายตาระหว่างการทำงาน กระพริบตาบ่อยขึ้น หรือหยอดน้ำตาเทียม และพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตา


References:

  • https://bangkokpattayahospital.com/th/health-articles-th/eye-th/computer-vision-syndrome-th/
  • https://bpk9internationalhospital.com/care_blog/content/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B
  • https://www.phyathai.com/th/article/3070-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%86_%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94

อาหารเสริมบำรุงสายตาสำหรับผู้ที่ใช้สายตาเพ่งจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือผู้ที่อ่านหนังสือติดต่อกันเป็นเวลานาน

IMMOR ลูทีนจากสารสกัดดอกดาวเรือง บรรจุ 30 แคปซูล (แพ็ก 2 กระปุก)

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Gleanline ลูทีนสารสกัดจากดอกดาวเรือง บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

BLACKMORES บิลเบอร์รี่ 2500 บรรจุ 60 เม็ด

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น