
แนวทางการเลือกหุ้นในปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่นักลงทุนใช้วิเคราะห์คุณภาพและมูลค่าของหุ้น หนึ่งในอัตราส่วนที่สำคัญคือ ค่า P/B (Price-to-Book Ratio) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นในตลาดกับมูลค่าทางบัญชีของกิจการ โดยค่า P/B จะสะท้อนถึงว่าหุ้นตัวนั้นกำลังถูกประเมินมูลค่าสูงหรือต่ำเกินจริงหรือไม่ หาก P/B ต่ำกว่า 1 เท่า อาจหมายความว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ซึ่งนักลงทุนแบบ “Value Investor” มักมองว่าเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาถูกเพื่อถือครองระยะยาว
แตกต่างจากค่า P/E (Price-to-Earnings Ratio) ที่เป็นการวัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นกับกำไรสุทธิต่อหุ้น ค่า P/E บ่งชี้ถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อการเติบโตของกำไรในอนาคต ในขณะที่ค่า P/B มักใช้ประเมินหุ้นที่มีสินทรัพย์ถาวรสูง เช่น กลุ่มธนาคาร ประกัน หรืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าทางบัญชีที่จับต้องได้ชัดเจน จึงมักจะสะท้อนความมั่นคงของกิจการมากกว่าผลกำไรในระยะสั้น
ตัวอย่างหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ให้ผลตอบแทนดีในระยะยาวและเข้าข่ายหุ้นคุณค่า ได้แก่กลุ่มธนาคาร เช่น KBANK, SCB, BBL ซึ่งมักมีค่า P/B ต่ำและปันผลสม่ำเสมอ กลุ่มพลังงาน เช่น PTTEP, PTT ที่มีทรัพย์สินและรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น LH, SPALI ที่รายได้มั่นคงและมีทรัพย์สินเป็นที่ดินหรือโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าประเมินได้
การลงทุนในหุ้นคุณค่าเช่นนี้ต้องพิจารณากฎหมายและข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งถูกควบคุมโดย พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน ส่งเสริมความโปร่งใสของกิจการจดทะเบียน และป้องกันการปั่นหุ้นหรือข้อมูลเท็จ นักลงทุนควรศึกษาและใช้ข้อมูลจากระบบของตลาดหลักทรัพย์ เช่น SETTRADE หรือ SETSMART ซึ่งพัฒนามาจากระบบการซื้อขายแบบกระดานในอดีต ที่ต้องผ่านโบรกเกอร์หรือโทรศัพท์ ปัจจุบันเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพสูง สะดวก และโปร่งใสมากกว่าเดิม
เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ จะพบว่าหุ้นให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยระยะยาวที่ดีกว่า กล่าวคือหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 8–12% ต่อปี (รวมปันผล) ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ให้ค่าเช่าและการปรับตัวของราคาที่รวมกันแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 3–6% ต่อปี อีกทั้งการลงทุนในหุ้นมีความคล่องตัวสูงกว่า เนื่องจากสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์ใช้เวลานานในการขายและมีต้นทุนแฝง เช่น ภาษี ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ หรือค่าซ่อมแซม
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีข้อดีในแง่ของความเสี่ยงที่ต่ำกว่าในบางสถานการณ์ เพราะราคามักไม่ผันผวนรุนแรงเหมือนตลาดหุ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากการถือครอง เช่น ปล่อยเช่าหรืออยู่อาศัยได้
ในแวดวงนักลงทุนไทย มีนักลงทุนที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในแนวทาง Value Investment คือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และถือหุ้นระยะยาวโดยมองหุ้นเป็น “การเป็นเจ้าของกิจการ” มากกว่าการเก็งกำไร แนวคิดนี้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีต้นทุนเริ่มต้นไม่มาก เพราะเน้นการศึกษากิจการอย่างถี่ถ้วน ใช้เวลาแทนทุน และเน้นการเติบโตระยะยาวมากกว่าผลตอบแทนฉาบฉวย
ผู้ลงทุนสามารถเริ่มจากการสะสมหุ้นอย่างสม่ำเสมอผ่านวิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) และเรียนรู้การอ่านงบการเงิน วิเคราะห์อัตราส่วนต่าง ๆ เช่น ROE, P/B, P/E เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคง ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนมาก แต่ต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและมีวินัยในการลงทุน
กล่าวโดยสรุป ค่า P/B เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการค้นหาหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่า พื้นฐาน โดยเฉพาะเมื่อใช้ควบคู่กับแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า การเลือกหุ้นจากกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตและปันผลสม่ำเสมอในตลาดหลักทรัพย์เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นอย่างการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่อาจต้องใช้ทุนสูงและมีภาระการจัดการมากกว่า.
แหล่งอ้างอิง:
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย: https://www.set.or.th
- นิเวศน์ เหมวชิรวรากร. ตีแตกหุ้นไทย และบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ
- กองทุนบัวหลวง. คู่มือลงทุนหุ้นคุณค่า
- Benjamin Graham. The Intelligent Investor
- SETSMART และ SETTRADE – ข้อมูลหุ้นย้อนหลังและมูลค่าทางบัญชี