
นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022 เศรษฐกิจของรัสเซียได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก แต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมากลับไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดการณ์ไว้ บางรายงานชี้ว่าในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจรัสเซียเติบโตเร็วกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรปหลักๆ หลายประเทศ อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะมีงบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ผลกระทบต่อการใช้จ่ายด้านอื่นๆ ดูเหมือนจะเป็นเพียงชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนกลับมองว่าความสำเร็จที่ปรากฏนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่รัฐบาลรัสเซียสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความเข้มแข็ง ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อสองเป้าหมายหลัก ได้แก่ การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนภายในประเทศว่า “เรายังคงยืนหยัดอยู่ได้” และการส่งสัญญาณไปยังพันธมิตรของยูเครนว่า “เราสามารถอยู่รอดได้นานกว่าคุณ”
ภาพลวงตาของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์เปรียบเปรยการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียว่าเหมือนกับการใช้สเตียรอยด์ – มันอาจช่วยสร้างกล้ามเนื้อในช่วงแรก แต่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว Elina Ribakova จากสถาบัน Peterson Institute for International Economics ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความมั่นคงอย่างแท้จริง แต่เปรียบเสมือนการ “วิ่งพล่านด้วยพลังงานที่ไม่ยั่งยืน”
ปัญหาสำคัญที่เริ่มปรากฏชัดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คือข้อจำกัดในการผลิตที่เริ่มถึงขีดสุด ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นในปีที่ผ่านมา แม้ธนาคารกลางจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 21% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสองทศวรรษ การขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวยิ่งสร้างแรงกดดันต่อบริษัทและผู้บริโภคในประเทศ
การใช้กลยุทธ์ “งบประมาณเงา”
หนึ่งในกลยุทธ์ที่รัฐบาลรัสเซียใช้เพื่อซ่อนต้นทุนที่แท้จริงของสงคราม คือการพึ่งพา “งบประมาณเงา” โดยกำหนดให้ธนาคารปล่อยกู้ให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสงครามบนเงื่อนไขที่รัฐกำหนด ซึ่งตามรายงานของ Craig Kennedy จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าการกู้ยืมในรูปแบบนี้เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติถึง 71% ระหว่างกลางปี 2022 ถึงปลายปี 2024 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 19.4% ของ GDP รัสเซีย โดยประมาณ 60% ของเงินกู้ดังกล่าวถูกปล่อยให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสงคราม
Kennedy เตือนว่ากลยุทธ์นี้อาจนำไปสู่ปัญหาวิกฤตสินเชื่อครั้งใหญ่ในอนาคต เนื่องจากบริษัทที่ได้รับเงินกู้ส่วนใหญ่อาจไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้คืน ทำให้ธนาคารต้องเผชิญกับปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น
ความท้าทายที่เริ่มปรากฏ
แม้เศรษฐกิจรัสเซียจะดูเหมือนยังคงเดินหน้าต่อไปได้ แต่ปัญหาและความท้าทายเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยมีตัวอย่างสำคัญดังนี้:
- เงินเฟ้อและการขาดแคลนสินค้า
แม้ค่าจ้างเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงถึง 9.5% ในปีที่แล้วทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง ร้านค้าบางแห่งถึงกับต้องล็อกตู้แช่เนยเพื่อป้องกันการขโมย ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดในสังคม - ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
อัตราการว่างงานที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 2.3% ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง แต่แสดงถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง บริษัทต้องจ่ายค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดพนักงาน สาเหตุสำคัญมาจากการสูญเสียกำลังคนในสงคราม ซึ่งมีรายงานว่ารัสเซียสูญเสียกำลังพลกว่า 800,000 คนตั้งแต่เริ่มสงคราม - ความไม่แน่นอนในระบบการเงิน
ข่าวลือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะอายัดเงินฝากของประชาชน ทำให้เกิดความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน ถึงแม้ธนาคารกลางจะออกมาปฏิเสธ แต่ความเชื่อมั่นที่ลดลงสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบการเงินในประเทศ - แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตร
มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกเริ่มส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซที่เคยเป็นแหล่งรายได้หลักของรัสเซีย การปิดกั้นการส่งออกก๊าซผ่านยูเครนและความยากลำบากในการใช้งานกองเรือ “shadow fleet” ทำให้รายได้ของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง Gazprom ลดลงอย่างมาก
ผลกระทบต่อสัญญาสังคมรัสเซีย
ในอดีต ชาวรัสเซียส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลไม่สามารถมอบความยุติธรรมได้ แต่คาดหวังการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐบาลแทน อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านสงครามที่เพิ่มขึ้นทำให้งบประมาณด้านบริการอื่นๆ ถูกลดทอนลง ความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ “สัญญาสังคม” ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนสั่นคลอน
บทสรุป
เศรษฐกิจรัสเซียที่ดูเหมือนจะมั่นคงในช่วงแรกของสงครามกำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น ภาพลวงตาของความเข้มแข็งที่รัฐบาลสร้างขึ้นอาจไม่สามารถปกปิดความเปราะบางที่แท้จริงได้ในระยะยาว ด้วยแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตร การขาดแคลนแรงงาน และปัญหาภายในระบบการเงิน เศรษฐกิจรัสเซียอาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วงมากขึ้นในอนาคต.