

การปลดพนักงานครั้งใหญ่ในสำนักงานสิทธิพลเมืองของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ (Civil Rights Office)ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระบวนการคุ้มครองสิทธิพลเมืองในระบบการศึกษา การลดจำนวนพนักงานเกือบครึ่งหนึ่งทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลกลางในการปกป้องนักเรียนจากการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ และความพิการ
การปลดพนักงานมากกว่า 1,000 ตำแหน่งในกระทรวงศึกษาธิการ ส่งผลให้สำนักงานใน 7 เมืองหลัก รวมถึงนิวยอร์ก ชิคาโก และดัลลัส ต้องปิดตัวลง นอกจากนี้ จำนวนพนักงานที่เหลืออยู่ทั่วประเทศลดลงอย่างมาก ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณคดีร้องเรียนจำนวนมากที่ยังรอการพิจารณา ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานแต่ละคนต้องรับผิดชอบคดีจำนวนมากอยู่แล้ว การลดจำนวนเจ้าหน้าที่ลงเช่นนี้หมายความว่า การร้องเรียนของนักเรียนและครอบครัวเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ไข
สำนักงานสิทธิพลเมืองมีบทบาทสำคัญในการรับเรื่องร้องเรียนจากนักเรียนและครอบครัวเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น
แม้ว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์จะอ้างว่า การลดจำนวนพนักงานครั้งนี้เป็น “การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์” ที่จะช่วยให้สำนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง การลดทรัพยากรที่ใช้ในการบังคับใช้กฎหมายสิทธิพลเมืองอาจทำให้โรงเรียนมีแนวโน้มละเมิดกฎหมายมากขึ้น โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวดจากรัฐบาลกลาง
นักกฎหมายอาวุโสของสำนักงานสิทธิพลเมืองรายหนึ่ง ระบุว่า การสืบสวนคดีสิทธิพลเมืองมักต้องอาศัยการลงพื้นที่ตรวจสอบจริง เช่น การประเมินว่าพื้นที่โรงเรียนสามารถรองรับนักเรียนที่มีความพิการได้หรือไม่ หากไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ การตรวจสอบเหล่านี้จะทำได้ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้โรงเรียนบางแห่งละเลยการปฏิบัติตามกฎหมาย
การปลดพนักงานครั้งนี้สะท้อนถึงแนวทางของทรัมป์ที่ต้องการลดบทบาทของรัฐบาลกลางในภาคการศึกษา โดยทรัมป์เคยกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการเป็น “ความหลอกลวง” และควรส่งอำนาจไปที่แต่ละรัฐแทน แนวทางนี้มีความเสี่ยงสูงที่การบังคับใช้กฎหมายสิทธิพลเมืองจะกลายเป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันในการคุ้มครองนักเรียนในแต่ละพื้นที่
แม้จะมีคำมั่นจากรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ลินดา แม็คมาฮอน ว่าสิทธิพลเมืองจะยังคงได้รับการคุ้มครอง แต่ข้อเสนอในการย้ายบทบาทของสำนักงานสิทธิพลเมืองไปอยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม ก็อาจทำให้การดำเนินงานของหน่วยงานล่าช้าและซับซ้อนขึ้น เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมมีภาระงานด้านสิทธิพลเมืองในหลายภาคส่วน ไม่ใช่แค่ด้านการศึกษา
ด้วยจำนวนพนักงานที่ลดลงอย่างมาก คำถามสำคัญคือ สำนักงานสิทธิพลเมืองจะสามารถจัดการกับคดีที่ค้างอยู่จำนวนมากนี้ได้อย่างไร และจะสามารถรับมือกับคดีใหม่ที่เพิ่มขึ้นทุกปีได้หรือไม่ หากไม่มีมาตรการรองรับที่เพียงพอ ความเป็นไปได้ที่นักเรียนจำนวนมากจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการร้องเรียนก็จะสูงขึ้น ครอบครัวอาจต้องหันไปพึ่งการดำเนินคดีทางกฎหมายแทน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้กลุ่มผู้เสียเปรียบทางเศรษฐกิจอาจไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม
นอกจากนี้ การที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ให้ความสำคัญกับการสืบสวนกรณีต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัยมากกว่าประเด็นสิทธิพลเมืองอื่นๆ เช่น ความรุนแรงทางเพศและการเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิม ก็อาจสะท้อนถึงการเมืองเชิงอุดมการณ์ที่เข้ามามีบทบาทในการบังคับใช้กฎหมายสิทธิพลเมือง
การปลดพนักงานจำนวนมากในสำนักงานสิทธิพลเมืองของกระทรวงศึกษาธิการเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงต่ออนาคตของการคุ้มครองสิทธิพลเมืองในภาคการศึกษา แม้ว่าจะมีการอ้างว่าเป็นการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ การลดจำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย อาจทำให้การคุ้มครองสิทธิของนักเรียนอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงที่โรงเรียนจะละเลยข้อบังคับด้านสิทธิพลเมือง หากไม่มีมาตรการรองรับที่เหมาะสม การปรับโครงสร้างครั้งนี้อาจนำไปสู่ความล่าช้าและการละเลยคดีร้องเรียน ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออนาคตของนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง ความท้าทายต่อไปคือ การหาทางออกเพื่อให้ระบบการศึกษาของสหรัฐฯ ยังคงรักษาความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน.
Reference: Coohfey.com
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้เปิดเผยถึงแนวทางการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 และ 1 พฤษภาคม 2568
สำหรับบัญชีอัตราเงินเดือนของคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง มีการปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้:
ทั้งนี้ การปรับเงินเดือนดังกล่าวจะช่วยให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีรายได้ที่เหมาะสมกับค่าครองชีพในปัจจุบัน และสามารถสร้างแรงจูงใจในการประกอบอาชีพครูให้มากขึ้น ถือเป็นข่าวดีสำหรับบุคลากรด้านการศึกษาที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการปรับฐานเงินเดือนใหม่ในครั้งนี้.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต และสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ แจ้งสถานศึกษาในสังกัด กำชับตามมาตรการความปลอดภัยของนักเรียนเรื่องการเน้นย้ำความปลอดภัยในการลักพาตัวนักเรียน โดยให้ป้องกัน ระวังภัยจากเหตุการลักพาตัวเด็กนักเรียน เฝ้าระวังความปลอดภัยบริเวณโรงเรียน กำชับครูเวรประจำวัน นักการภารโรงในการปิด – เปิดประตูโรงเรียน เพื่อป้องกันการเข้า – ออกสถานศึกษาของบุคคลภายนอกและคัดกรองบุคคลที่มารับนักเรียนโดยเคร่งครัด
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตและสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เน้นย้ำมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทและการใช้ความรุนแรงภายในโรงเรียน โดยใช้มาตรการ 3 ป (ป้องกัน ปลูกฝัง ปราบปราม) ให้สถานศึกษาในสังกัดปฏิบัติตามมาตรการและแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และเน้นย้ำเพิ่มเติม ดังนี้
1. กรณีการจัดการเหตุความรุนแรง ขอให้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางการแก้ไข ปัญหาเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทและการใช้ความรุนแรงภายในโรงเรียน โดยใช้มาตรการ 3 ป (ป้องกัน ปลูกฝังปราบปราม) อย่างจริงจัง โดยดำเนินการให้ครบทุกมิติตามที่ สพฐ, สั่งการและทำรายงานทุกระยะ
2. การจัดการเรียนรู้ กรณีู้ก่อเหตุต้องจัดการให้เกิดการเรียนรู้ผลของการกระทำความรุนแรง เช่น การรักษาพยาบาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจากการถูกทำร้ายในทุกรูปแบบ การได้รับบาดเจ็บต่าง ๆและมีการทำ RCA (Root Cause Analysis) เพื่อให้นักเรียนสามารถสะท้อนย้อนคิดและเรียนรู้ใหม่
3. การดำเนินการต้องให้ต่อเนื่องโดยการทำไทมไลน์การเกิดเหตุการณ์ทุกครั้ง และให้จัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับโรงเรียน เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนเผชิญเหตุที่ได้เตรียมไว้แล้ว พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการระดับเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบการปฏิบัติงานของสถานศึกษาให้เป็นไปตามขั้นตอนจนเกิดผลสำเร็จ
4. การรายงานการดำเนินการให้จัดทำรายงานถึงเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและคณะผู้บริหารระดับสูงที่กำกับติดตามดูแลพื้นที่ ๆ อยู่ในความรับผิดชอบรับทราบ โดยมีผู้อำนวยการศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย ดูแลเรื่องประสานงานการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ทะเลาะ วิวาทและการใช้ความรุนแรงภายในโรงเรียนดังกล่าวในภาพรวมของ สพฐ. ต่อไป
การดำเนินการของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการรื้อกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ถือเป็นนโยบายสำคัญที่สะท้อนถึงแนวคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ต้องการลดบทบาทของรัฐบาลกลางในภาคการศึกษา การเคลื่อนไหวนี้ได้รับทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ซึ่งจะส่งผลต่อระบบการศึกษาของสหรัฐฯ ในระยะยาว
ทรัมป์และทีมงานของเขามองว่าการมีบทบาทของรัฐบาลกลางในภาคการศึกษาเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาทางระบบ เช่น โครงสร้างที่เทอะทะ การบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการแทรกแซงนโยบายของรัฐและท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่ากระทรวงศึกษาธิการมีบทบาทในการผลักดันแนวคิดทางการเมืองและวัฒนธรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้สนับสนุนของทรัมป์
เอกสารคำสั่งบริหารที่ร่างขึ้นระบุว่า “การควบคุมการศึกษาของอเมริกาผ่านโครงการของรัฐบาลกลางและงบประมาณ—รวมถึงระบบข้าราชการที่ไม่มีความรับผิดชอบ—เป็นความล้มเหลวต่อเด็ก ครู และครอบครัวของเรา” โดยมีเป้าหมายให้รัฐและท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบระบบการศึกษาของตนเอง
แม้ว่าทรัมป์จะสามารถออกคำสั่งบริหารให้เริ่มกระบวนการรื้อถอนกระทรวงศึกษาธิการได้ แต่การยกเลิกอย่างเป็นทางการต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งในอดีต การพยายามปิดกระทรวงดังกล่าวล้มเหลวเนื่องจากขาดเสียงสนับสนุนที่เพียงพอ
วุฒิสมาชิกซูซาน คอลลินส์ (พรรครีพับลิกัน) ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการสำคัญที่อาจได้รับผลกระทบ เช่น โครงการช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และการสนับสนุนโรงเรียนที่มีนักเรียนจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย นอกจากนี้ วุฒิสมาชิกบิล แคสซิดี้ (พรรครีพับลิกัน) ก็แสดงความเห็นว่าควรมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนดังกล่าวก่อนที่จะมีการตัดสินใจ
ในขณะเดียวกัน พรรคเดโมแครตมองว่าการรื้อกระทรวงศึกษาธิการเป็นความพยายามที่จะลดคุณภาพของการศึกษา และทำให้รัฐบาลกลางไม่สามารถกำกับดูแลมาตรฐานการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส.ส.มาดีลีน ดีน (พรรคเดโมแครต) กล่าวหาว่าการกระทำของทรัมป์มีเป้าหมายเพื่อทำให้ประชาชนมีการศึกษาน้อยลง เพื่อให้พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากทรัมป์สามารถยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการได้จริง ระบบการศึกษาของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยหน้าที่บางอย่างของกระทรวงอาจถูกโอนไปยังหน่วยงานอื่น หรือให้รัฐและท้องถิ่นเป็นผู้บริหารจัดการเอง ซึ่งอาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้:
ข้อดี
ข้อเสีย
แม้ว่าทรัมป์จะเดินหน้าผลักดันนโยบายนี้อย่างจริงจัง แต่โอกาสในการยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการอย่างสมบูรณ์ยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากหลายฝ่าย รวมถึงนักการเมืองภายในพรรครีพับลิกันเอง อย่างไรก็ตาม ความพยายามของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของแนวคิดที่ต้องการให้รัฐและท้องถิ่นมีอำนาจมากขึ้นในการบริหารจัดการการศึกษา
หากแผนของทรัมป์ไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด อาจมีการลดขนาดและอำนาจของกระทรวงศึกษาธิการแทน ซึ่งจะส่งผลให้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลางต่อระบบการศึกษาลดลง และรัฐมีอิสระในการดำเนินนโยบายมากขึ้น
การยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ เป็นแนวคิดที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน และในครั้งนี้ ทรัมป์ได้พยายามผลักดันให้เป็นจริงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวต้องเผชิญกับข้อกังวลหลายด้าน ทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันบางส่วน หากการปิดกระทรวงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เต็มรูปแบบ อาจมีการลดบทบาทและงบประมาณของกระทรวงแทน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการศึกษาของสหรัฐฯ ในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ.
Reference: Coohfey.com
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แจ้งหนังสือด่วนที่สุด (ที่ ศธ 04277/ว184 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่อง มาตรการเตรียมความพร้อมการปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567) โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต กำชับสถานศึกษาให้ดำเนินการเฝ้าระวังด้านความปลอดภัย ดังนี้
1. ด้านภัยพิบัติธรรมชาติ วางมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานที่ราชการ วางแผน รับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น น้ำท่วม อัคคีภัย ไฟป่า หมอกควัน ฝุ่น พายุฤดูร้อน เป็นต้นโดยขอให้ติดตามสถานการณ์ข่าวสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับเมื่อเกิดเหตุ
2. ด้านอาคารสถานที่ภายในสถานศึกษา ขอให้ดำเนินการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยต่อการใช้งาน สำรวจสภาพอาคารทั้งภายในและภายนอกอาคารให้เกิดความปลอดภัยพร้อมใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
3. ด้านความปลอดภัยของนักเรียนในการเดินทาง โดยเฉพาะในช่วงของการปิดภาคเรียน ในกรณีที่โรงเรียนจัดกิจกรรมในช่วงนี้ ขอให้มีระบบการรับ – ส่งนักเรียน โดยให้อยู่ในความดูแลของผู้ปกครองและโรงเรียนร่วมกัน
4. การเฝ้าระวังระงับเหตุการณ์การใช้ความรุนแรง รวมทั้งการทะเลาะวิวาท และการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักเรียนในช่วงปิดภาคเรียน โดยขอความร่วมมือผู้ปกครองในการสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด
5. การเฝ้าระวังป้องกันการจมน้ำในช่วงปิดภาคเรียน ซึ่งมักจะพบสถิตินักเรียนจมน้ำ จำนวนมากในช่วงนี้ ดังนั้นขอให้โรงเรียนประสานความร่วมมือกับผู้ปกครอง เครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าว
6. กรณีประสบเหตุ หรือได้รับแจ้งเหตุความไม่ปลอดภัยของนักเรียน ครูและบุคลากร ทางการศึกษา ให้ปฏิบัติตามมาตรการกำกับติดตามและรายงานเหตุความไม่ปลอดภัยของนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเคร่งครัด
7. การเฝ้าระวังสถานที่ราชการให้ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ
ในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หนึ่งในตัวชี้วัดที่นักลงทุนมักใช้เพื่อประเมินมูลค่าของหุ้นคือ ค่า P/E (Price-to-Earnings Ratio) ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่านักลงทุนยินดีจ่ายเงินจำนวนกี่บาทเพื่อแลกกับกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทนั้น ค่า P/E มีความสำคัญเพราะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าหุ้นมีมูลค่าถูกหรือแพงเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรที่บริษัทสร้างได้ ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับความหมายของค่า P/E วิธีการคำนวณ ประโยชน์ และข้อจำกัด รวมถึงการประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์หุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ค่า P/E เป็นอัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นของบริษัทหนึ่งๆ มีความสัมพันธ์กับกำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS) อย่างไร คำนวณได้จากสูตรดังนี้:
โดยที่:
ตัวอย่างเช่น หากราคาหุ้นของบริษัท A อยู่ที่ 50 บาทต่อหุ้น และ EPS อยู่ที่ 5 บาทต่อหุ้น ค่า P/E ของบริษัท A จะเป็น 10 เท่า (50 / 5) ซึ่งหมายความว่าหากบริษัทมีกำไรในอัตรานี้ต่อไป นักลงทุนจะต้องใช้เวลา 10 ปีในการคืนทุนจากกำไรที่ได้รับ (หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ EPS)
ค่า P/E สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่:
Forward P/E คือค่า P/E ที่คำนวณโดยใช้กำไรที่คาดการณ์ในอนาคต ซึ่งสามารถให้ภาพที่แม่นยำขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพในการเติบโตของบริษัท
Trailing P/E คือค่า P/E ที่คำนวณโดยใช้กำไรสุทธิย้อนหลัง 12 เดือน เป็นค่าที่ใช้กันทั่วไปและสะท้อนถึงผลประกอบการที่ผ่านมา
การแปลความหมายของค่า P/E นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ อุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจ ภาวะตลาด และแนวโน้มการเติบโต โดยทั่วไปแล้ว:
การดูค่า P/E ของหุ้นตัวเดียวไม่เพียงพอ ควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเพื่อดูว่าหุ้นมีมูลค่าสูงหรือต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
การดูแนวโน้มค่า P/E ของบริษัทในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมาอาจช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าหุ้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องหรือไม่
แม้ว่าค่า P/E จะเป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์ แต่ควรใช้ร่วมกับอัตราส่วนอื่นๆ เช่น P/BV (Price-to-Book Value) และ ROE (Return on Equity) เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการคำนวณค่า P/E ของตลาดโดยรวม ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ทิศทางตลาดโดยรวม นักลงทุนสามารถดูข้อมูลนี้ได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ซึ่งจะมีข้อมูลค่า P/E ของ SET Index และกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่อัปเดตเป็นประจำ
แม้ว่าค่า P/E จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่:
ค่า P/E เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น นักลงทุนสามารถใช้ค่า P/E ในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบหุ้นเพื่อหาหุ้นที่มีมูลค่าที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผู้ที่สนใจหรือนักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่า P/E และแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:
ค่า P/E เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุนเพื่อให้สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว.
Reference : Coohfey.com
พิธี Grand Howl เป็นพิธีสำคัญของลูกเสือสำรอง (Cub Scouts) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกเสือที่อยู่ในช่วงอายุ 7-11 ปี พิธีนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดของหนังสือ “The Jungle Book” ของ Rudyard Kipling และเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อผู้นำและความสามัคคีในหมู่ลูกเสือสำรอง บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนของพิธี Grand Howl อย่างละเอียด
พิธี Grand Howl เป็นส่วนสำคัญของการฝึกลูกเสือสำรอง และเป็นพิธีที่ช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณของลูกเสือในด้านความสามัคคีและความเคารพ การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องและมีความตั้งใจจริงจะช่วยให้พิธีนี้มีความหมายและเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อเด็กๆ ในการพัฒนาเป็นเยาวชนที่มีคุณธรรมและจิตวิญญาณของลูกเสือที่แท้จริง
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊กเพจทางการ ยืนยันว่า “สทศ. ไม่มีนโยบายการจัดอันดับโรงเรียนโดยใช้ผลคะแนน O-NET”
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับผลสอบ O-NET ของ 100 โรงเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567 ผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสถาบันเป็นผู้จัดทำการจัดอันดับดังกล่าว
สทศ. ยืนยันว่า ไม่มีนโยบายการจัดอันดับโรงเรียน เนื่องจากการจัดอันดับอาจส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และสร้างแรงกดดันที่ไม่จำเป็นให้กับโรงเรียนและนักเรียน
สทศ. ระบุว่า การนำเสนอผลสอบ O-NET จะเป็นไปตามแนวทางที่ชัดเจน โดยเน้นให้ผู้สอบ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยข้อมูลที่ สทศ. เผยแพร่จะประกอบด้วย:
สทศ. เน้นย้ำว่าผลสอบ O-NET ควรใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน มากกว่าการนำไปใช้เป็นเกณฑ์ในการจัดอันดับหรือเปรียบเทียบโรงเรียน เนื่องจากการจัดการศึกษาในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน และผลคะแนนอาจไม่ได้สะท้อนคุณภาพของโรงเรียนได้อย่างสมบูรณ์
สทศ. ยังคงมุ่งเน้นให้การประเมินผล O-NET เป็นไปเพื่อการพัฒนาการศึกษาอย่างแท้จริง และไม่สนับสนุนการใช้คะแนนสอบเพื่อจัดอันดับโรงเรียน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อระบบการศึกษาโดยรวม ผู้ปกครอง นักเรียน และหน่วยงานการศึกษาควรใช้ผลสอบ O-NET อย่างรอบคอบและคำนึงถึงแนวทางที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาทางการศึกษา.
Reference: Coohfey.com