Posted on

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้! เลิกบุหรี่ก่อนผ่าตัดช่วยลดความเสี่ยง

การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการรอดชีวิตและการฟื้นตัวของผู้ป่วย การศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่ใน JAMA Network Open วิเคราะห์ข้อมูลจาก 54 งานวิจัย และเมตา-วิเคราะห์ 24 งานวิจัย พบว่า การสูบบุหรี่ในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดถึง 31% เมื่อเทียบกับผู้ที่เลิกสูบมานานกว่า 4 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังพบว่าคนที่ยังสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัดมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ถึง 2.83 เท่า

ผลการศึกษา: การสูบบุหรี่และระยะเวลาการเลิกสูบ จากการศึกษาที่มีผู้ป่วยรวมกว่า 39,499 ราย มีการแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็นผู้ที่ยังสูบบุหรี่ในช่วงก่อนผ่าตัด (ภายใน 4 สัปดาห์) และผู้ที่เลิกสูบมานานกว่า 4 สัปดาห์ ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าการสูบบุหรี่ในระยะใกล้เคียงกับการผ่าตัดสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่สูงขึ้น

เมื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาที่หยุดสูบบุหรี่ นักวิจัยพบว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างผู้ที่หยุดสูบบุหรี่ภายใน 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัดกับผู้ที่หยุดสูบบุหรี่ในช่วง 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือนก่อนการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม คนที่หยุดสูบบุหรี่นานกว่า 1 ปี มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่ำกว่าผู้ที่ยังสูบบุหรี่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมา

ผลกระทบของการสูบบุหรี่ต่อภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนที่พบมากในผู้ที่สูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด ได้แก่

  • ปัญหาทางเดินหายใจ เช่น ปอดแฟบ (atelectasis) และปอดอักเสบ (pneumonia)
  • การติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
  • การหายของแผลล่าช้าเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดลดลง
  • ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ และลิ่มเลือดอุดตัน

ข้อจำกัดของการศึกษา แม้ว่าการศึกษานี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่ การพึ่งพาข้อมูลจากการรายงานตัวเองของผู้ป่วยเกี่ยวกับสถานะการสูบบุหรี่ และความหลากหลายของวิธีการกำหนดระยะเวลาการเลิกสูบบุหรี่ในแต่ละงานวิจัย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์โดยรวมยังคงยืนยันว่าการเลิกสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัดมีผลดีต่อการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

ข้อเสนอแนะและแนวทางปฏิบัติ จากผลการศึกษานี้ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความสำคัญกับการให้คำแนะนำและสนับสนุนให้ผู้ป่วยเลิกสูบบุหรี่โดยเร็วที่สุดก่อนการผ่าตัด โดยแนะนำแนวทางที่มีประสิทธิภาพ เช่น:

  • การบำบัดพฤติกรรมร่วมกับการใช้ยา เช่น นิโคตินทดแทน หรือยาลดความอยากบุหรี่
  • การสนับสนุนทางจิตใจและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเลิกสูบบุหรี่
  • การออกแบบโปรแกรมการเลิกบุหรี่เฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด

สรุป การเลิกสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัดมะเร็งเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดและช่วยเพิ่มโอกาสการฟื้นตัวของผู้ป่วย แม้ว่าการหยุดสูบในช่วงเวลาใกล้กับการผ่าตัดอาจไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจน แต่การเลิกสูบเป็นเวลานานขึ้นสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การบูรณาการโปรแกรมช่วยเลิกบุหรี่เข้ากับกระบวนการดูแลผู้ป่วยมะเร็งจึงเป็นกลยุทธ์ที่ควรได้รับการส่งเสริมในวงการแพทย์.

Reference : JAMA Network Open Journal, 2025.

Posted on

ไขปริศนา: กรุ๊ปเลือดส่งผลต่อสุขภาพสมองของเราจริงหรือ?

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตและพิการที่สำคัญทั่วโลก ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่ และพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม การศึกษาใหม่ชี้ให้เห็นว่ากรุ๊ปเลือดอาจมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มหรือลดความเสี่ยงของโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A

ความเชื่อมโยงระหว่างกรุ๊ปเลือดกับโรคหลอดเลือดสมอง

การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนวัยอันควร (ก่อนอายุ 60 ปี) มากกว่าผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดอื่น ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาด้านพันธุกรรม 48 รายการ ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 17,000 ราย และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เป็นโรคนี้เกือบ 600,000 ราย ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนอายุ 60 ปี มากกว่ากลุ่มที่มีกรุ๊ปเลือด O ประมาณ 16%

ทำไมกรุ๊ปเลือดจึงมีผลต่อโรคหลอดเลือดสมอง?

กลไกที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อมโยงนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านการแข็งตัวของเลือดและความสามารถในการไหลเวียนของเลือด คนที่มีกรุ๊ปเลือด A อาจมีแนวโน้มที่เลือดจะจับตัวเป็นลิ่มได้ง่ายกว่ากรุ๊ปเลือด O ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

แม้ว่ากรุ๊ปเลือดอาจมีบทบาทต่อความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง แต่ปัจจัยอื่น ๆ ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณา ได้แก่:

  • ความดันโลหิตสูง – เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้หลอดเลือดในสมองตีบตันหรือแตก
  • คอเลสเตอรอลสูง – อาจทำให้หลอดเลือดอุดตันและนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
  • เบาหวาน – ส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ – สามารถเพิ่มความเสี่ยงโดยทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัว

วิธีลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

ไม่ว่าคุณจะมีกรุ๊ปเลือดอะไร การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังนี้:

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด
  • ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดความดันโลหิตและรักษาสุขภาพของหลอดเลือด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือด
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

บทสรุป

แม้ว่ากรุ๊ปเลือดอาจมีบทบาทในความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อโรคนี้ การเข้าใจความเสี่ยงและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ไม่ว่าคุณจะมีกรุ๊ปเลือดใด การรักษาวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพยังคงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพในระยะยาว.

References :

  1. American Stroke Association. (2022). Blood Type and Stroke Risk: What You Need to Know.
  2. Neurology Journal. (2022). Blood Type and Early-Onset Stroke Risk: A Genetic Analysis.
  3. Harvard Medical School. (2022). The Role of Blood Types in Cardiovascular and Stroke Risk.

Posted on

โรคเก๊าท์ : โรคของคนรักเนื้อสัตว์? ความจริงที่คุณต้องรู้

โรคเก๊าท์คืออะไร?

โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกายจนก่อให้เกิดผลึกยูเรตในข้อต่อ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน มีอาการปวด บวม แดง และร้อนบริเวณข้อต่อ โดยส่วนใหญ่มักเกิดที่หัวแม่เท้า ข้อเท้า และเข่า

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์มีหลายปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเกิดโรค ได้แก่:

  1. อาหารและเครื่องดื่ม – การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะเบียร์) จะเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด
  2. พันธุกรรม – หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โอกาสเกิดโรคในรุ่นต่อไปก็สูงขึ้น
  3. โรคประจำตัว – ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคอ้วน และเบาหวาน มีแนวโน้มเป็นโรคเก๊าท์มากขึ้น
  4. ยาบางชนิด – ยาขับปัสสาวะบางชนิด (เช่น thiazide) และยารักษาโรคหัวใจอาจส่งผลให้ระดับกรดยูริกเพิ่มขึ้น
  5. พฤติกรรมการใช้ชีวิต – การใช้ชีวิตที่ไม่มีการออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์

ผลกระทบของโรคเก๊าท์

  1. อาการปวดข้ออย่างรุนแรง – มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการนอนหลับ
  2. ข้ออักเสบเรื้อรัง – หากไม่ได้รับการรักษา โรคเก๊าท์อาจทำให้เกิดข้อผิดรูปและสูญเสียการทำงานของข้อ
  3. นิ่วในไต – กรดยูริกที่ตกผลึกในไตอาจนำไปสู่การเกิดนิ่ว ซึ่งทำให้เกิดภาวะไตเสื่อม
  4. ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด – งานวิจัยบางชิ้นพบว่าผู้ป่วยโรคเก๊าท์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น

แนวทางการป้องกันและรักษา

  1. การควบคุมอาหาร
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง และอาหารทะเล
    • ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
    • เพิ่มการบริโภคอาหารที่ช่วยลดระดับกรดยูริก เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว นมไขมันต่ำ และธัญพืชเต็มเมล็ด
  2. การรักษาด้วยยา
    • ยาลดกรดยูริก เช่น Allopurinol และ Febuxostat ช่วยลดการผลิตกรดยูริก
    • ยาต้านการอักเสบ เช่น NSAIDs และ Colchicine ใช้ลดอาการอักเสบเฉียบพลัน
  3. การออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก
    • การออกกำลังกายช่วยลดระดับกรดยูริกและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
    • การลดน้ำหนักช่วยลดภาระของข้อต่อและลดโอกาสเกิดโรคเก๊าท์

บทสรุป

โรคเก๊าท์เป็นภาวะที่สามารถป้องกันและควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ควบคุมอาหาร และการใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ดังนั้น การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและแนวทางการดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคนี้

References:

  1. National Health Service (NHS). (2023). “Gout”. Retrieved from https://www.nhs.uk
  2. American College of Rheumatology. (2023). “Gout Guidelines”. Retrieved from https://www.rheumatology.org
  3. Choi, H. K., & Curhan, G. (2005). “Gout: Epidemiology and Risk Factors”. The New England Journal of Medicine.
Posted on

บุหรี่ไฟฟ้า: ภัยเงียบของเยาวชนและแนวทางควบคุมในสถานศึกษา

บทนำ

ในปัจจุบัน บุหรี่ไฟฟ้า (Electronic Cigarette หรือ E-Cigarette) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่น แม้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่ามีอันตรายต่อสุขภาพและผลกระทบต่อสังคมในหลายมิติ บทความนี้จะวิเคราะห์อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า ผลกระทบต่อสังคม และแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการได้นำมาใช้เพื่อควบคุมปัญหานี้

1. อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า

1.1 สารเคมีอันตรายในบุหรี่ไฟฟ้า

บุหรี่ไฟฟ้าทำงานโดยใช้แบตเตอรี่เพื่อให้ความร้อนกับน้ำยานิโคตินหรือสารแต่งกลิ่นต่าง ๆ ทำให้เกิดไอระเหยที่ผู้ใช้สูดเข้าไป แม้ว่าจะไม่มีการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติ แต่ยังมีสารเคมีอันตรายหลายชนิด เช่น:

  • นิโคติน: สารเสพติดที่ทำให้เกิดภาวะเสพติดและมีผลกระทบต่อสมอง
  • โพรพิลีนไกลคอล (Propylene Glycol) และ กลีเซอรีน (Glycerin): แม้จะใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร แต่การสูดดมอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองปอด
  • สารแต่งกลิ่นและรส: อาจมีสารที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบจากไอระเหย (EVALI)
  • โลหะหนัก: เช่น ตะกั่ว นิกเกิล และแคดเมียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

1.2 ผลกระทบต่อสุขภาพ

การสูบบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อร่างกายหลายด้าน ได้แก่:

  • ระบบทางเดินหายใจ: เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดเรื้อรังและมะเร็งปอด
  • ระบบหัวใจและหลอดเลือด: เพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
  • ผลกระทบต่อสมอง: โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ นิโคตินสามารถส่งผลต่อสมาธิ ความจำ และการตัดสินใจ
  • ผลกระทบต่อสตรีมีครรภ์: นิโคตินอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์

2. ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสังคม

2.1 เยาวชนและการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า

จากสถิติพบว่ามีเยาวชนไทยจำนวนมากที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าเนื่องจากความเข้าใจผิดว่าไม่มีอันตราย อีกทั้งการตลาดที่ทำให้ดูทันสมัยและกลิ่นรสที่หลากหลายทำให้เยาวชนติดง่ายขึ้น การเสพติดนิโคตินสามารถนำไปสู่การใช้สารเสพติดอื่นในอนาคต

2.2 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายผิดกฎหมาย ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีบุหรี่แบบดั้งเดิม

2.3 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ขยะจากบุหรี่ไฟฟ้า เช่น หัวพ่น แบตเตอรี่ และขวดน้ำยา เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีสารพิษที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ง่าย

3. นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ

3.1 การห้ามใช้และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายเข้มงวดในการป้องกันและควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา โดยมีมาตรการ เช่น:

  • การห้ามขายและพกพาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา
  • การให้ความรู้และรณรงค์ป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน
  • การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้กระทำผิด

3.2 การบูรณาการการเรียนรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า

มีการจัดทำหลักสูตรเพื่อส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เยาวชนเข้าใจถึงผลเสียต่อสุขภาพและหลีกเลี่ยงการใช้

3.3 การบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า

รัฐบาลไทยได้ออกกฎหมายควบคุมการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

บทสรุป

บุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่มีแนวโน้มตกเป็นเหยื่อของการตลาดและการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์นี้ ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญในการลดปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน.

References :

  1. World Health Organization. (2023). “E-Cigarettes: A Public Health Threat.” Retrieved from https://www.who.int
  2. กระทรวงสาธารณสุข. (2566). “ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพและสังคมไทย.” Retrieved from https://www.moph.go.th
  3. กระทรวงศึกษาธิการ. (2566). “นโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาไทย.” Retrieved from https://www.moe.go.th
  4. American Lung Association. (2023). “The Dangers of Vaping and E-Cigarettes.” Retrieved from https://www.lung.org
Posted on

ภาวะสุขภาพจิตหลังอุบัติเหตุ: ผลกระทบระยะยาวและปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้

การศึกษาเผยว่า 11.3% ของผู้ป่วยอุบัติเหตุมีพัฒนาการไปสู่โรคทางจิตเวชใหม่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาซ้ำ การฆ่าตัวตาย และการเสียชีวิต

การศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่ใน JAMA Network Open ได้แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาโรคทางจิตเวชใหม่ในระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและอัตราการเสียชีวิตของพวกเขา

ผลลัพธ์สำคัญจากการศึกษา

งานวิจัยนี้ศึกษาในกลุ่มประชากร 29,191 คน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยอุบัติเหตุในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียระหว่างปี 1994 ถึง 2020 โดยติดตามผลเป็นระยะเวลามัธยฐาน 99.8 เดือน และพบว่า:

  • 11.3% ของผู้ป่วยพัฒนาโรคทางจิตเวชใหม่หลังจากอุบัติเหตุ เช่น การพึ่งพายาเสพติด (8.2%) และโรควิตกกังวลรวมถึง PTSD (5.4%)
  • ภาวะสุขภาพจิตใหม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาซ้ำ การฆ่าตัวตาย และการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ โดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ:
    • โอกาสเข้ารับการรักษาซ้ำเนื่องจากอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 1.30 เท่า
    • ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 3.14 เท่า
    • ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุเพิ่มขึ้น 1.24 เท่า

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโรคทางจิตเวชหลังอุบัติเหตุ

การศึกษาได้ระบุปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสในการพัฒนาโรคทางจิตเวชหลังจากอุบัติเหตุ ได้แก่:

  • อายุน้อย – ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่ามีแนวโน้มพัฒนาโรคทางจิตเวชมากกว่าผู้สูงอายุ
  • ว่างงาน – การไม่มีงานทำเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและความเครียด
  • โสดหรือหย่าร้าง – สถานะสมรสมีความสัมพันธ์กับความมั่นคงทางอารมณ์
  • เชื้อสายชนพื้นเมือง – ผู้ที่มีเชื้อสายชนพื้นเมืองมีแนวโน้มพัฒนาโรคทางจิตเวชมากขึ้น
  • สถานะเศรษฐกิจและสังคมต่ำ – รายได้และการศึกษาที่ต่ำเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตที่ย่ำแย่
  • การบาดเจ็บทางสมอง – ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บที่สมองมีความเสี่ยงต่อการพัฒนาโรคทางจิตเวชสูงขึ้น

การดูแลสุขภาพจิตหลังอุบัติเหตุ: สิ่งที่ควรทำ

  1. ติดตามผลทางสุขภาพจิต – โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขควรมีระบบติดตามภาวะสุขภาพจิตของผู้ป่วยอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
  2. ให้การช่วยเหลือด้านจิตเวช – ผู้ป่วยที่พัฒนาโรคทางจิตเวชหลังอุบัติเหตุควรได้รับการสนับสนุน เช่น การให้คำปรึกษาและการบำบัด
  3. ป้องกันการใช้สารเสพติด – การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลิกใช้สารเสพติด โดยเฉพาะโอปิออยด์ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการพึ่งพายาเสพติด
  4. สนับสนุนการกลับเข้าสังคมและการทำงาน – โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพและช่วยเหลือด้านอาชีพสามารถช่วยลดผลกระทบทางจิตใจในระยะยาวได้

บทสรุป

งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบระยะยาวของอุบัติเหตุต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย โดยพบว่าผู้ป่วยบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงต่อการพัฒนาโรคทางจิตเวชใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้ารับการรักษาซ้ำ การฆ่าตัวตาย และการเสียชีวิต การให้ความสำคัญกับการติดตามสุขภาพจิตของผู้ป่วยอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเปราะบาง อาจช่วยลดผลกระทบเชิงลบและปรับปรุงคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้.

Reference : JAMA Network Open, 2025

Posted on

งานวิจัยพบว่าโปรไบโอติกช่วยลดระยะเวลามีไข้ในเด็กที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน

มิลาน, อิตาลี – ผลการศึกษาทางคลินิกแบบสุ่มที่ดำเนินการโดยคณะนักวิจัยจากโรงพยาบาล Ca’ Granda Ospedale Maggiore Policlinico ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี พบว่าโปรไบโอติกชนิดผสมสามารถช่วยลดระยะเวลามีไข้ในเด็กที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (URTIs) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โปรไบโอติกมีผลต่อไข้ของเด็กอย่างไร?

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรไบโอติกที่ประกอบด้วย Bifidobacterium breve M-16V, Bifidobacterium lactis HN019, และ Lactobacillus rhamnosus HN001 ต่อระยะเวลามีไข้ของเด็กที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน การศึกษาได้ดำเนินการระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ถึง 20 มิถุนายน 2566 ในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 28 วัน ถึง 4 ปี ที่เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลดังกล่าว

การออกแบบการศึกษา

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบสุ่ม ปกปิดทั้งสามฝ่าย และมีกลุ่มควบคุม โดยเด็กที่เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 128 คน ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติก: ได้รับโปรไบโอติกขนาด 0.5 มล. ต่อวัน เป็นเวลา 14 วัน
  • กลุ่มที่ได้รับยาหลอก: ได้รับยาหลอกที่มีลักษณะเหมือนโปรไบโอติก แต่ไม่มีจุลินทรีย์ที่มีชีวิต

ผลการศึกษา

ผลการศึกษาพบว่าเด็กที่ได้รับโปรไบโอติกมีระยะเวลามีไข้เฉลี่ย 3 วัน (ช่วงค่ากลางระหว่าง 2-4 วัน) ซึ่งสั้นกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งมีระยะเวลามีไข้เฉลี่ย 5 วัน (ช่วงค่ากลางระหว่าง 4-6 วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.001)

อัตราความเสี่ยงที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted Risk Ratio, ARR) เท่ากับ 0.64 (ช่วงความเชื่อมั่น 95%: 0.51-0.80) แสดงให้เห็นว่าการใช้โปรไบโอติกสามารถลดระยะเวลามีไข้ได้ประมาณ 2 วัน เมื่อเทียบกับยาหลอก

ความปลอดภัยของโปรไบโอติก

งานวิจัยยังพบว่าไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้โปรไบโอติก อาการข้างเคียงที่พบมีอัตราที่ใกล้เคียงกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติกและกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ได้แก่ ท้องผูก (16% เทียบกับ 12%) และปวดท้อง (8% เทียบกับ 4%) ซึ่งไม่มีความแตกต่างทางสถิติ

บทสรุปของการศึกษา

ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าโปรไบโอติกสามารถเป็นแนวทางเสริมในการรักษาไข้ในเด็กที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน โดยสามารถลดระยะเวลามีไข้ได้ประมาณ 2 วัน เมื่อเทียบกับการไม่ได้รับโปรไบโอติก ทั้งนี้ ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยในการใช้โปรไบโอติกในเด็ก ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กในอนาคต.

Reference : JAMA Network Open Journal.

Posted on

โปรไบโอติก: ทางเลือกใหม่ในการเสริมสร้างสุขภาพและภูมิคุ้มกัน

ในปัจจุบัน โปรไบโอติก (Probiotics) กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในวงการสุขภาพและโภชนาการ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าจุลินทรีย์ที่มีชีวิตเหล่านี้สามารถช่วยส่งเสริมระบบทางเดินอาหาร เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และอาจมีประโยชน์ในการรักษาโรคบางชนิดได้

โปรไบโอติกคืออะไร?

โปรไบโอติกคือจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมสุขภาพ โดยมักพบได้ในผลิตภัณฑ์หมักดอง เช่น โยเกิร์ต กิมจิ เทมเป้ และคอมบูชา รวมถึงมีจำหน่ายในรูปแบบอาหารเสริม โดยจุลินทรีย์ที่นิยมใช้เป็นโปรไบโอติก ได้แก่ Lactobacillus และ Bifidobacterium ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้

อาหารที่มีโปรไบโอติกสูง

อาหารที่มีโปรไบโอติกสามารถพบได้ในหลายแหล่งธรรมชาติ ได้แก่:

  • โยเกิร์ต – แหล่งโปรไบโอติกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
  • กิมจิ – ผักกาดดองแบบเกาหลีที่อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
  • มิโสะ – เครื่องปรุงญี่ปุ่นที่ทำจากถั่วเหลืองหมัก
  • คอมบูชา – ชาหมักที่เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ
  • เทมเป้ – ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองหมักที่เป็นแหล่งโปรตีนและโปรไบโอติก
  • ซาวเคราท์ – กะหล่ำปลีหมักที่มีจุลินทรีย์ที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้
  • นัตโตะ – ถั่วหมักญี่ปุ่นที่มีโปรไบโอติกสูง

ประโยชน์ของโปรไบโอติก

  1. เสริมสร้างระบบทางเดินอาหาร – โปรไบโอติกช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ลดปัญหาท้องเสีย อาการลำไส้แปรปรวน และช่วยในการย่อยอาหาร
  2. กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน – งานวิจัยพบว่าโปรไบโอติกสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และอาจลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  3. ช่วยลดอาการแพ้และอักเสบ – มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าโปรไบโอติกอาจช่วยลดอาการแพ้อาหาร ลดการอักเสบของผิวหนัง และช่วยบรรเทาอาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
  4. ส่งเสริมสุขภาพจิต – มีงานวิจัยเชื่อมโยงระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้กับสมอง โดยพบว่าโปรไบโอติกอาจช่วยลดภาวะเครียดและอาการซึมเศร้าได้

งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับโปรไบโอติก

ล่าสุดมีงานวิจัยที่ศึกษาผลของโปรไบโอติกต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (URTIs) ในเด็ก โดยพบว่าการใช้โปรไบโอติกที่ประกอบด้วย Bifidobacterium breve M-16V, Bifidobacterium lactis HN019, และ Lactobacillus rhamnosus HN001 สามารถช่วยลดระยะเวลาของไข้ได้ถึง 2 วันเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับโปรไบโอติก งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของโปรไบโอติกในการช่วยบรรเทาอาการของโรคติดเชื้อ และอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการดูแลสุขภาพของเด็ก (JAMA Network Open, 2025)

ข้อควรระวังในการใช้โปรไบโอติก

แม้ว่าโปรไบโอติกจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรับประทานได้โดยไม่มีความเสี่ยง ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคร้ายแรงบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน นอกจากนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้

บทสรุป

โปรไบโอติกเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านการดูแลระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม การบริโภคโปรไบโอติกควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพของคุณ.

References:

  1. JAMA Network Open. Effect of Probiotics on Fever Duration in Children With Upper Respiratory Tract Infections. 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.0669.
  2. National Institutes of Health (NIH). Probiotics: What You Need to Know. 2024. Available at: https://ods.od.nih.gov/factsheets/Probiotics-Consumer/.
  3. World Health Organization (WHO). Probiotics in Food: Health and Nutritional Properties. 2023. Available at: https://www.who.int/foodsafety/probiotics/.
Posted on

ลดความวิตกกังวลในเด็กด้วยสุนัขบำบัด: งานวิจัยเชิงทดลองในห้องฉุกเฉิน

ความวิตกกังวลเป็นปัญหาสำคัญที่เด็กมักเผชิญเมื่อเข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉิน (ED) ซึ่งอาจมาจากกระบวนการรักษาที่เจ็บปวดหรือความกลัวต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ความเครียดที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเด็กเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อผู้ปกครองที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ไปพร้อมกับลูกของตน การศึกษาล่าสุดได้เสนอว่าการใช้สุนัขบำบัดร่วมกับการดูแลตามปกติในแผนกฉุกเฉินเด็ก อาจช่วยลดความวิตกกังวลของเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญ ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ผลลัพธ์จากงานวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของสุนัขบำบัดในการช่วยลดความวิตกกังวลของเด็กและผู้ปกครองในแผนกฉุกเฉิน

แนวทางการศึกษา งานวิจัยนี้เป็นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มควบคุม (randomized clinical trial) โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2023 ถึง 30 มิถุนายน 2024 ในแผนกฉุกเฉินเด็กของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเด็กอายุ 5-17 ปี ที่ถูกคัดเลือกว่ามีระดับความวิตกกังวลปานกลางถึงสูง จำนวน 80 คน ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มควบคุม (รับการบำบัดด้วยนักจิตวิทยาเด็กตามปกติ) และกลุ่มทดลอง (ได้รับการบำบัดร่วมกับการสัมผัสสุนัขบำบัดและผู้ดูแลเป็นเวลา 10 นาที)

ผลลัพธ์ที่วัดได้ การศึกษาวัดระดับความวิตกกังวลของเด็กโดยใช้มาตรวัด FACES (คะแนน 0 หมายถึงไม่มีความวิตกกังวล และ 10 หมายถึงวิตกกังวลอย่างรุนแรง) รวมถึงวัดระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของเด็กและผู้ปกครองที่จุดเวลาต่าง ๆ ได้แก่ เริ่มต้น (T0) หลังจาก 45 นาที (T1) และหลังจาก 120 นาที (T2)

ผลการศึกษา ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่ได้รับการสัมผัสสุนัขบำบัดมีระดับความวิตกกังวลลดลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ากลุ่มควบคุม โดยเฉลี่ยระดับความวิตกกังวลของเด็กที่ได้รับการบำบัดด้วยสุนัขลดลง 2.7 คะแนน เมื่อเทียบกับ 1.5 คะแนนในกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ ผู้ปกครองที่อยู่ร่วมกับเด็กในระหว่างการรักษายังรายงานว่าความวิตกกังวลของลูกลดลงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้สัมผัสสุนัขบำบัด (ลดลง 3.2 คะแนน เทียบกับ 1.8 คะแนน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้สุนัขบำบัดสามารถช่วยบรรเทาความกังวลของทั้งเด็กและผู้ปกครองได้

ผลกระทบของระดับคอร์ติซอล ระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของเด็กและผู้ปกครองลดลงในช่วงเวลา T1 ถึง T2 ในทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ระดับคอร์ติซอลของผู้ปกครองยังคงสูงกว่าของเด็กอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจแสดงถึงระดับความเครียดที่สะสมมากกว่าของผู้ปกครองเอง

ผลกระทบต่อการใช้ยา งานวิจัยยังพบว่า เด็กในกลุ่มที่ได้รับสุนัขบำบัดมีแนวโน้มได้รับยาคลายเครียด เช่น midazolam หรือ ketamine น้อยกว่ากลุ่มควบคุม (18% เทียบกับ 35%) แม้ว่าความแตกต่างนี้จะไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าสุนัขบำบัดอาจช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาคลายเครียดในแผนกฉุกเฉินเด็ก

ข้อจำกัดของการศึกษา แม้ว่าผลการศึกษาจะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของสุนัขบำบัด แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น การทดลองนี้ดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่มีนักจิตวิทยาเด็กอยู่แล้ว ซึ่งอาจไม่สะท้อนถึงแผนกฉุกเฉินอื่น ๆ ที่ไม่มีการบำบัดรูปแบบนี้ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ เช่น ประสบการณ์ก่อนหน้าของเด็กกับสัตว์เลี้ยงที่อาจส่งผลต่อปฏิกิริยาต่อสุนัขบำบัด

ข้อเสนอแนะสำหรับอนาคต การศึกษาครั้งนี้สนับสนุนแนวคิดว่าการใช้สุนัขบำบัดสามารถเป็นเครื่องมือเสริมที่มีประสิทธิภาพในการลดความวิตกกังวลในเด็กและผู้ปกครองในแผนกฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นและในสภาพแวดล้อมทางการแพทย์ที่แตกต่างกันเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ในระยะยาว

สรุป ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สุนัขบำบัดสามารถช่วยลดความวิตกกังวลของเด็กและผู้ปกครองในแผนกฉุกเฉินเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถลดความจำเป็นในการใช้ยาคลายเครียดและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับเด็กในสถานพยาบาล ผลลัพธ์นี้สนับสนุนให้มีการพิจารณานำสุนัขบำบัดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดูแลเด็กในแผนกฉุกเฉินอย่างเป็นระบบต่อไป

Reference: JAMA Network Open Journal.

Posted on

ผลวิจัยบ่งชี้ถึงแนวโน้มการดื้อยาต้านจุลชีพ: เมื่อการรักษากลายเป็นความท้าทาย

การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance – AMR) เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบต่อระบบการรักษาทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลอาจทำให้การรักษามีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นและต้องใช้ทรัพยากรทางการแพทย์มากขึ้น งานวิจัยนี้วิเคราะห์แนวโน้มของการดื้อยาต้านจุลชีพในสหรัฐอเมริการะหว่างปี 2012 ถึง 2022 โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอัตราการติดเชื้อดื้อยา 6 ชนิด รวมถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่อการดื้อยาในโรงพยาบาล

แนวโน้มของการดื้อยาต้านจุลชีพ การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากโรงพยาบาล 332-606 แห่งต่อปีระหว่างปี 2012 ถึง 2022 รวมถึงวิเคราะห์ตัวอย่างเชื้อ 7,158,139 รายการ พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อดื้อยาต่อ 10,000 รายที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลลดลงระหว่างปี 2012 ถึง 2016 แต่กลับเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 โดยในปี 2022 พบว่ามีผู้ติดเชื้อดื้อยา 569,749 ราย (95% CI, 475,949-663,548) ซึ่งคิดเป็นอัตรา 179.6 รายต่อ 10,000 รายที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยแบ่งเป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในชุมชน (77%) และติดเชื้อในโรงพยาบาล (23%)

แนวโน้มของเชื้อดื้อยาที่สำคัญ การศึกษานี้วิเคราะห์เชื้อดื้อยาที่พบมากที่สุด 6 ชนิด ได้แก่:

  1. Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA) – พบว่าอัตราการติดเชื้อในชุมชนลดลง แต่ในโรงพยาบาลกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังปี 2019
  2. Vancomycin-resistant Enterococcus spp (VRE) – มีแนวโน้มลดลงในผู้ป่วยที่ติดเชื้อในชุมชน แต่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลช่วงปี 2020-2021
  3. Extended-spectrum cephalosporin-resistant Escherichia coli และ Klebsiella spp (ESCR-EK) – อัตราการติดเชื้อในชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2012 ถึง 2022
  4. Carbapenem-resistant Enterobacterales (CRE) – มีการลดลงของ Klebsiella pneumoniae ดื้อยา แต่ Escherichia coli และ Enterobacter cloacae complex ยังคงมีอัตราสูง
  5. Carbapenem-resistant Acinetobacter spp (CRAsp) – มีแนวโน้มลดลงก่อนปี 2020 แต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
  6. Multidrug-resistant Pseudomonas aeruginosa (MDR P. aeruginosa) – มีแนวโน้มลดลงในชุมชน แต่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาล

ผลกระทบของ COVID-19 ต่อการดื้อยา การระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราการติดเชื้อดื้อยา โดยเฉพาะการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของการดื้อยา ได้แก่:

  • การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยอาการรุนแรงในโรงพยาบาล
  • การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างแพร่หลายเพื่อรักษาการติดเชื้อร่วมที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19
  • การลดลงของมาตรการควบคุมการติดเชื้อ เช่น การแยกผู้ป่วยและการตรวจติดตามการใช้ยาปฏิชีวนะ

ข้อเสนอแนะและแนวทางป้องกัน แม้ว่าการดื้อยาจะมีแนวโน้มลดลงในบางช่วงเวลา แต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ทำให้สถานการณ์การติดเชื้อดื้อยากลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง การดำเนินมาตรการป้องกันที่เข้มข้นขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น โดยแนวทางที่แนะนำ ได้แก่:

  1. เสริมสร้างมาตรการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ – เพิ่มการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลและส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติตามแนวทางควบคุมการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
  2. ปรับปรุงแนวทางการใช้ยาปฏิชีวนะ – ส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล ลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็น
  3. พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการตรวจจับเชื้อดื้อยา – การใช้การวินิจฉัยที่รวดเร็วสามารถช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาที่เหมาะสมได้เร็วขึ้น
  4. วิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับเชื้อดื้อยาในชุมชน – เนื่องจาก ESCR-EK มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในชุมชน จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อในประชากรทั่วไป

บทสรุป การดื้อยาต้านจุลชีพยังคงเป็นปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุข แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการลดอัตราการติดเชื้อดื้อยาในบางช่วงเวลา แต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้สถานการณ์การดื้อยากลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนามาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลดอัตราการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลและในชุมชน.

Reference: JAMA Network Open Journal.

Posted on

อาหารและรอบเอว: ปัจจัยสำคัญที่กำหนดสุขภาพสมองของผู้สูงอายุ

ในยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมการบริโภคอาหารเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ความชุกของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะสมองเสื่อม องค์การอนามัยโลกแนะนำให้มีการบริโภคอาหารที่สมดุล โดยเน้นไปที่อาหารที่มีพืชเป็นหลัก เช่น อาหารเมดิเตอร์เรเนียน และการควบคุมน้ำหนักเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม

งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริโภคอาหารกับสุขภาพสมอง อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาจำนวนน้อยที่ตรวจสอบผลกระทบของคุณภาพอาหารและสัดส่วนรอบเอวต่อสะโพก (WHR) ต่อการเชื่อมโยงของสมอง โดยเฉพาะบริเวณฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นบริเวณที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานของความจำและการรับรู้

วัตถุประสงค์ของการศึกษา

การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอาหารและ WHR ในช่วงวัยกลางคนกับการเชื่อมโยงของสมองและการทำงานของสมองในวัยชรา โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษา Whitehall II Study และ Whitehall II Imaging Substudy ซึ่งเป็นการศึกษาระยะยาวของกลุ่มประชากรที่ได้รับการติดตามมานานกว่า 30 ปี

วิธีการศึกษา

การศึกษานี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมจำนวน 512 คนในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพอาหาร และ 664 คนในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ WHR ผู้เข้าร่วมมีอายุเฉลี่ย 48 ปีในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา และได้รับการติดตามไปจนถึงอายุเฉลี่ย 70 ปี โดยมีการวัดคุณภาพอาหารโดยใช้ดัชนี Alternative Healthy Eating Index–2010 (AHEI-2010) และมีการวัด WHR เป็นระยะเวลานานกว่า 21 ปี การเชื่อมโยงของสมองถูกประเมินโดยการสแกน MRI และการทำแบบทดสอบทางปัญญา

ผลการศึกษา

  • คุณภาพอาหารและสุขภาพสมอง
    • ผู้ที่มีคุณภาพอาหารดีในวัยกลางคนและมีการปรับปรุงคุณภาพอาหารจากวัยกลางคนไปสู่วัยชรามีการเชื่อมโยงที่ดีขึ้นของฮิปโปแคมปัสกับสมองส่วนอื่นๆ เช่น กลีบออกซิพิทอลและซีรีเบลลัม
    • การมีคุณภาพอาหารที่ดีขึ้นสัมพันธ์กับการเชื่อมต่อของเนื้อเยื่อสมองสีขาวที่ดีขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงโครงสร้างสมองที่แข็งแรง
  • WHR และผลกระทบต่อสมอง
    • WHR ที่สูงในวัยกลางคนสัมพันธ์กับการทำงานของความจำและหน้าที่บริหารที่แย่ลง
    • การเชื่อมต่อของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำและการควบคุมความคิด เช่น inferior longitudinal fasciculus และ cingulum มีความเสียหายมากขึ้นในผู้ที่มีค่า WHR สูง
    • ความสัมพันธ์ระหว่าง WHR ในวัยกลางคนและการทำงานของสมองถูกอธิบายบางส่วนผ่านการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสมองสีขาว

การอภิปราย

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า คุณภาพอาหารและ WHR ในช่วงวัยกลางคนมีผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างและการทำงานของสมองในวัยชรา การรักษาคุณภาพอาหารที่ดีและการควบคุม WHR อาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมและช่วยคงไว้ซึ่งสมรรถภาพทางปัญญา

ข้อจำกัดของการศึกษา

แม้ว่าผลการศึกษาจะมีความน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น

  • การวัดคุณภาพอาหารโดยใช้แบบสอบถาม อาจมีข้อผิดพลาดจากการรายงานตนเอง
  • กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นชายผิวขาว ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สามารถนำไปใช้กับประชากรทั่วไปได้อย่างสมบูรณ์
  • ปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคเรื้อรัง ยา และพฤติกรรมสุขภาพอื่นๆ อาจมีบทบาทต่อความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและสมอง

สรุป

การศึกษานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาคุณภาพอาหารที่ดีและการควบคุม WHR ในช่วงวัยกลางคนเพื่อสนับสนุนสุขภาพสมองในวัยชรา การแทรกแซงในช่วงอายุ 48-70 ปี อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการป้องกันการเสื่อมของสมองและภาวะสมองเสื่อมในอนาคต ดังนั้น การส่งเสริมให้ประชากรทั่วไปมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดีและควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพสมองในระยะยาว.

Reference : JAMA Network Open Journal.