ผลการศึกษาวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยตาร์ตู(Tartu) ในประเทศเอสโตเนีย พบว่าผู้ปกครองที่ใช้สมาร์ทโฟนบ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางภาษาของบุตรหลาน การวิจัยนี้ได้ดำเนินการกับเด็กชาวเอสโตเนียจำนวน 421 คนที่มีอายุระหว่าง 2.5 ปี ถึง 4 ปี ผลการวิจัยพบว่าเมื่อผู้ปกครองใช้เวลาอยู่หน้าจอโทรศัพท์มากขึ้น ลูก ๆ ของพวกเขาก็มักจะทำแบบเดียวกัน และในทางกลับกันพฤติกรรมดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับทักษะด้านการใช้ไวยากรณ์และและการใช้คำศัพท์ในเด็กลดต่ำลง
การศึกษานี้เผยแพร่ในนิตยสาร “ขอบเขตจิตวิทยาพัฒนาการ” (Frontiers in Developmental Psychology) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิสัมพันธ์ทางวาจาระหว่างพ่อแม่และลูกๆในการเรียนรู้ด้านภาษา ดร.เทียร์ ทูล์วิส (Dr.Tiia Tulviste) ผู้นำในการศึกษาวิจัยเน้นย้ำถึงบทบาทและนิสัยของผู้ปกครองที่ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ โดยเน้นถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางหรือวิธีการจัดการเวลาการใช้สมาร์ทโฟนของครอบครัว
ดร. เจนนี่ ราเดสกี ผู้อำนวยการร่วมด้านการแพทย์แห่งสถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน (American Academy of Pediatrics) ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าเมื่อพ่อแม่หรือลูกๆหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนจะมีผลต่อ กิจกรรมสำคัญๆที่เกี่ยวกับการสื่อสาร เช่น การพูด การสอน และการอ่าน ผลการศึกษายังพบว่าเมื่อผู้ปกครองและเด็กดูหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ด้วยกันนั้นไม่ได้ช่วยในการพัฒนาด้านภาษาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่สอดคล้องกับผลการวิจัยในอดีตที่แสดงให้เห็นว่าเด็กเล็กไม่ได้เกิดการเรียนรู้ในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพจากการเล่นสมาร์ทโฟนหรืออยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนเพียงอย่างเดียว
นอกเหนือจากพัฒนาการด้านภาษาแล้ว การใช้โทรศัพท์มากเกินไปของผู้ปกครองยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กเล็กอีกด้วย ผลการศึกษาที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าเมื่อผู้ดูแลเด็กใช้เวลาส่วนใหญ่กับสมาร์ทโฟนเด็กเล็กที่อยู่ในความดูแลก็อาจอุบัติเหตุให้บาดเจ็บได้เพิ่มมากขึ้น เช่น การศึกษาวิจัยในปี พ.ศ.2560 ที่บ่งชี้ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบได้รับอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นถึง 9% นับตั้งแต่มีการใช้เครือข่ายระบบ 3G เป็นต้นมาโดยชี้ให้เห็นว่าการเลี้ยงดูเด็กเล็กโดยผู้ดูแลใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนมากเกินไปอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ปกครองกำหนดขอบเขตการใช้สมาร์ทโฟนของตนเองและเด็กเล็ก ลอเรน เทเทนบัม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตมารดากล่าวว่า “การแบ่งเวลาเพียง 15 นาทีให้เป็นช่วงว่างในหนึ่งวันโดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก แม้จะเป็นเพียง 15 นาทีก็ตาม” สิ่งนี้จะสามารถช่วยให้เป็นแบบอย่างด้านพฤติกรรมที่ดีสำหรับเด็กๆและช่วยแก้ไขปรับปรุงการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันภายในครอบครัวได้
ในปัจจุบันที่การใช้สมาร์ทโฟนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมู่เด็กที่เข้าเรียนในชั้นเรียนแบบออนไลน์ นักวิจัยอย่าง ดร.ตูล์วิสท์ กำลังวางแผนการศึกษาวิจัยติดตามผลเพื่อสำรวจเพิ่มเติมว่าการเพิ่มเวลาในการใช้สมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรหรือเป็นไปในลักษณะใดเพิ่มเติม สำหรับผู้ปกครองที่มีความกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของบุตรหลาน ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าไม่เคยสายเกินไปที่จะปรับแก้พฤติกรรมดังกล่าวโดยกำหนดช่วงเวลาการใช้โทรศัพท์ เช่น ช่วงระหว่างมื้ออาหารและการให้ความสำคัญกับเวลาที่เกิดประโยชน์ด้านการสื่อสารที่มีคุณภาพกับเด็กๆ ผ่านการอ่านหนังสือและการสนทนาจะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบด้านลบจากการใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปได้.