Posted on

🥤🧠 ดื่มหวานแต่ไม่ใช่น้ำตาล? งานวิจัยชี้สารให้ความหวานเทียมอาจทำให้สมองเสื่อมเร็ว

งานวิจัยตามกลุ่มประชากรบราซิลกว่า 12,700 คน ตีพิมพ์ในวารสาร Neurology พบความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภค สารให้ความหวานพลังงานต่ำ/ไม่มีพลังงาน (Low- and No-Calorie Sweeteners: LNCSs) ในระดับสูง กับ อัตราการเสื่อมลงของความสามารถด้านความคิดและความจำที่เร็วกว่า 62% เมื่อเทียบกับผู้บริโภคระดับต่ำ ซึ่ง เทียบเท่ากับ “สมองแก่ขึ้น” ราว 1.6 ปี ตลอดช่วงติดตามโดยเฉลี่ย 8 ปี (เป็นความเชื่อมโยง ไม่ใช่เหตุ-ผลโดยตรง) โดยความสัมพันธ์เด่นชัดในกลุ่มอายุน้อยกว่า 60 ปีและผู้เป็นเบาหวาน. American Academy of NeurologyAmerican Academy of NeurologyScienceDaily


🧪 งานวิจัยใหม่บอกอะไร (วิธีศึกษา & ตัวเลขสำคัญ)

นักวิจัยแบ่งอาสาสมัครเป็น 3 กลุ่มตามปริมาณ LNCSs (เฉลี่ยกลุ่มสูง ~191 มก./วัน) ประเมินการบริโภคผ่านแบบสอบถามความถี่อาหาร และทดสอบสมรรถภาพการคิด/ความจำซ้ำทุก 4 ปี โดยพบว่า แอสปาร์แตม (Aspartame), ซัคคาริน (Saccharin), อะเซซัลเฟม-เค (Acesulfame-K), อีริทริตอล (Erythritol), ซอร์บิทอล (Sorbitol), ไซลิทอล (Xylitol) เชื่อมโยงกับการเสื่อมถอยด้านความจำและคะแนนการคิดโดยรวม ส่วน ทาคาโทส (Tagatose) ไม่พบความเชื่อมโยงดังกล่าวชัดเจนในงานนี้. American Academy of Neurology


🧮 “แก่ขึ้น 1.6 ปี” หมายถึงอะไร (ตีความอย่างระมัดระวัง)

ค่าดังกล่าวมาจาก การเทียบอัตราเสื่อมของคะแนนการคิด/ความจำ กับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงตามอายุ (aging slope) ในกลุ่มตัวอย่าง—ไม่ใช่การวัด “อายุสมอง” โดยตรง และ ยังไม่ยืนยันเหตุ-ผล ว่าการกินสารให้ความหวานเทียม “ทำให้สมองแก่” งานวิจัยชี้เพียง ความเชื่อมโยง เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับข่าวประชาสัมพันธ์เชิงวิชาการของ ราชวิทยาลัยประสาทแพทย์อเมริกัน (American Academy of Neurology: AAN) ที่ย้ำข้อจำกัดดังกล่าว. American Academy of NeurologyScienceDaily


👥 ใครบ้างที่ “เสี่ยง” มากกว่าในข้อมูลนี้

สัญญาณความเชื่อมโยงเด่นในผู้ที่ อายุน้อยกว่า 60 ปี และ ผู้ป่วยเบาหวาน ขณะที่ในกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี ไม่พบความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญ ตามแบบจำลองทางสถิติของผู้วิจัย. Medical Xpress


⚠️ ข้อจำกัดที่ต้องรู้ก่อนสรุป

การประเมินอาหารอาศัย การรายงานด้วยตนเอง, อาจมี ตัวแปรกวน (confounding) จากพฤติกรรมสุขภาพร่วมอื่น ๆ และตัวการเชื่อมโยงยังไม่ชัดเจน (เช่น จุลชีพในลำไส้/การอักเสบ/เมแทบอลิซึม) จึงต้องการงานทดลองเชิงสาเหตุเพิ่มเติม. PubMed


🧷 มุมมองหน่วยงานกำกับดูแล: “ความปลอดภัยตาม ปริมาณที่ยอมรับได้ต่อวัน (Acceptable Daily Intake: ADI)

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration: FDA) ระบุรายการสารให้ความหวานความเข้มสูงที่อนุมัติ พร้อม ค่า ADI (เช่น แอสปาร์แตม 50 มก./กก.น้ำหนักตัว/วัน) โดยการประเมินความปลอดภัยอาศัยการใช้ตลอดชีวิตในระดับดังกล่าว—แต่ ไม่ได้ประเมินผลระยะยาวต่อการรู้คิดโดยเฉพาะ งานวิจัยนี้จึงเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจด้านสาธารณสุข เพิ่มจากกรอบความปลอดภัยตาม ADI เดิม. U.S. Food and Drug Administration+2U.S. Food and Drug Administration+2


🥤 ทางเลือกเชิงปฏิบัติวันนี้ (ตามคำแนะนำสาธารณสุข)

  • ลด “น้ำตาลเติมเพิ่ม (Added sugars)” ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) และ แนวทางโภชนาการสำหรับชาวอเมริกัน: เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรได้รับน้ำตาลเติมเพิ่ม และอายุ ≥2 ปี จำกัด <10% ของพลังงานต่อวัน. CDC+1
  • อย่าใช้ “สารให้ความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล (Non-Sugar Sweeteners: NSS) เพื่อคุมน้ำหนัก” ตาม องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ซึ่ง ไม่แนะนำ การใช้ NSS เพื่อควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันโรคไม่ติดต่อ. World Health Organization+1
  • เน้นรูปแบบอาหารเพื่อสมอง (เช่น เมดิเตอร์เรเนียน/MIND) และวิถีชีวิตเพื่อสมองแข็งแรง ตาม สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ (National Institute on Aging: NIA) แม้งานทดลองสุ่มล่าสุดมีข้อค้นพบหลากหลาย แต่ภาพรวม ชี้ประโยชน์เชิงพฤติกรรมสุขภาพโดยรวม ต่อความเสี่ยงถดถอยของการรู้คิด. National Institute on Aging+1New England Journal of Medicine

🧭 ความหมายเชิงนโยบายและผู้บริโภคไทย

ผลการศึกษานี้ ไม่ใช่คำตัดสินสุดท้าย แต่เพิ่ม “สัญญาณความเสี่ยง” ต่อสมองจากการบริโภค LNCSs สูง ๆ โดยเฉพาะในวัยทำงานและผู้เป็นเบาหวาน จึงเหมาะกับแนวทาง ลดความหวานทุกชนิด (ทั้งน้ำตาลเติมเพิ่มและสารให้ความหวาน) ส่งเสริม อาหารทั้งตัว (whole foods) และ ฉลากโปร่งใส สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีสารให้ความหวานหลายชนิดผสมกัน. American Academy of NeurologyAmerican Academy of Neurology


📌 สรุปสั้น

  • งานวิจัย Neurology ชี้ การบริโภคสารให้ความหวานเทียมสูง เชื่อมโยงกับ การเสื่อมถอยด้านการคิด/ความจำเร็วขึ้น (~1.6 ปี ของการแก่ตัวทางการรู้คิด) โดยเด่นในคนอายุน้อยและผู้เป็นเบาหวาน ยังไม่พิสูจน์เหตุ-ผลโดยตรง. American Academy of NeurologyAmerican Academy of Neurology
  • FDA ยืนยันกรอบ ความปลอดภัยตาม ADI สำหรับการใช้ในอาหาร แต่ CDC/WHO/NIA แนะนำลดความหวานและพึ่งพา รูปแบบอาหารเพื่อสุขภาพ มากกว่าพึ่งสารให้ความหวานแทน. U.S. Food and Drug AdministrationCDCWorld Health OrganizationNational Institute on Aging

🏛️ แหล่งอ้างอิง (Government & Intergovernmental Sources)

  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration: FDA) – ภาพรวม สารให้ความหวานความเข้มสูง และหลักการ ADI; หน้า “Aspartame and Other Sweeteners in Food” (อัปเดตปี 2025). U.S. Food and Drug Administration+2U.S. Food and Drug Administration+2
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) – ข้อแนะนำ ลดน้ำตาลเติมเพิ่ม และเครื่องมือ “Be/Rethink Your Drink”. CDC+1
  • สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ ภายใต้สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institute on Aging, National Institutes of Health: NIA/NIH) – ความรู้ สุขภาพการรู้คิด และหลักฐานด้านรูปแบบอาหารเพื่อสมอง. National Institute on Aging+1
  • องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO)แนวทางการใช้สารให้ความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล (NSS) ปี 2023 (ไม่แนะนำใช้เพื่อคุมน้ำหนัก/ลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อ). World Health Organization+1
  • สหราชอาณาจักร: คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการวิทยา (Scientific Advisory Committee on Nutrition: SACN) – แถลงสนับสนุนแนวทาง WHO (เม.ย. 2025). GOV.UK

📚 แหล่งหลักของงานวิจัยข่าวนี้

  • Neurology (AAN): Association Between Consumption of Low- and No-Calorie Artificial Sweeteners and Cognitive Decline – ฉบับเต็ม/สรุปบทความ และ ข่าวประชาสัมพันธ์ของ AAN. American Academy of Neurology+1American Academy of Neurology

📑 หมายเหตุสำคัญเพิ่มเติม

  1. ยังไม่พิสูจน์เหตุ-ผลโดยตรง
    งานวิจัยใน Neurology แสดงเพียง “ความเชื่อมโยง” ระหว่างการบริโภคสารให้ความหวานเทียม (Artificial sweeteners) กับความเสื่อมด้านความคิดและความจำ ไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าเป็น “สาเหตุ” ของการแก่ของสมอง
  2. ปริมาณที่ศึกษา ≠ การบริโภคทั่วไป
    ค่าเฉลี่ยการบริโภคในกลุ่มสูง (~191 มก./วัน) อาจไม่สะท้อนการบริโภคทั่วไปในประชากรไทย ซึ่งส่วนใหญ่บริโภคสารให้ความหวานเทียมในระดับต่ำกว่า
  3. ผลกระทบเฉพาะกลุ่ม
    ความเชื่อมโยงเด่นชัดในผู้มีอายุน้อยกว่า 60 ปีและผู้เป็นเบาหวาน กลุ่มอื่นอาจไม่ได้รับผลกระทบเท่ากัน จำเป็นต้องมีงานวิจัยที่เจาะกลุ่มมากขึ้น
  4. สารให้ความหวานแต่ละชนิดมีผลต่างกัน
    งานวิจัยชี้ว่าแอสปาร์แตม (Aspartame), ซัคคาริน (Saccharin), อะเซซัลเฟม-เค (Acesulfame-K) และโพลีออลบางชนิดเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางสมอง แต่สารบางชนิด เช่น ทาคาโทส (Tagatose) ยังไม่พบความเชื่อมโยงเด่นชัด
  5. คำแนะนำจากหน่วยงานรัฐยังคงเดิม
    ทั้ง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA), ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) และ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงแนะนำให้ใช้สารให้ความหวานภายใต้ “ปริมาณที่ยอมรับได้ต่อวัน (Acceptable Daily Intake: ADI)” และให้ลดการบริโภคน้ำตาลเติมเพิ่มเป็นหลัก
  6. ควรติดตามการวิจัยต่อเนื่อง
    ผู้บริโภคและผู้กำหนดนโยบายควรติดตามงานวิจัยในอนาคต โดยเฉพาะงานทดลองแบบสุ่ม (Randomized controlled trials: RCTs) เพื่อยืนยันผลและหากลไกทางชีวภาพที่ชัดเจน
Posted on

🧬 ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นเชื้อไวรัสที่โจมตีตับ ทำให้เกิดการอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อบางคนไม่มีอาการเลย แต่หากติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด ตับแข็ง (Cirrhosis) และ มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma; HCC) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญของไทยและทั่วโลก

ตามข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ในปี ค.ศ. 2022 มีผู้ติดเชื้อเรื้อรังทั่วโลกมากกว่า 254 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อใหม่ราว 1.2 ล้านคนต่อปี


🩸 การแพร่เชื้อ

ไวรัสตับอักเสบบีแพร่ผ่านเลือดและของเหลวในร่างกาย โดยเส้นทางหลักคือ

  • แม่ถ่ายทอดเชื้อสู่ลูกในช่วงคลอด
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมกัน
  • การสักหรือเจาะร่างกายที่ไม่ได้มาตรฐาน

❌ ไม่แพร่ผ่านการกอด จับมือ ไอ จาม หรือการกินอาหารร่วมกัน


🩺 อาการที่อาจพบ

  • ระยะเฉียบพลัน (Acute stage): อ่อนเพลีย มีไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง (ดีซ่าน – Jaundice) หรือปัสสาวะสีเข้ม
  • ระยะเรื้อรัง (Chronic stage): ส่วนใหญ่ไม่มีอาการชัดเจน แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน และอาจนำไปสู่ตับแข็งหรือตับวายในอนาคต

⚠️ ภาวะแทรกซ้อนสำคัญ

  • ตับแข็ง (Cirrhosis): ตับถูกทำลายจนแข็งและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
  • มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma; HCC): หนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในไทย

งานวิจัยของ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute; NCI) และ กรมควบคุมโรค (Department of Disease Control; DDC) ชี้ชัดว่า ผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า


🔎 ใครควรตรวจคัดกรองบ้าง?

  • ผู้ใหญ่ทุกคนตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ด้วยวิธี “Triple panel” (ตรวจ HBsAg, anti-HBs และ anti-HBc)
  • หญิงตั้งครรภ์ ต้องตรวจ HBsAg ทุกครั้งที่ตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อสู่ทารก
  • กลุ่มเสี่ยง เช่น คนที่ได้รับเลือดก่อนปี พ.ศ. 2535 ผู้ฟอกไต ผู้ใช้เข็มฉีดยาร่วม หรือคู่สมรสของผู้ที่เป็นพาหะ

🧪 วิธีการตรวจ

  1. ตรวจเลือด (Blood test): HBsAg, anti-HBs, anti-HBc เพื่อระบุว่าเป็นผู้ติดเชื้อหรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว
  2. ตรวจระดับไวรัส (HBV DNA test): ดูปริมาณไวรัสในเลือด
  3. ตรวจเอนไซม์ตับ (Liver enzymes; ALT/AST): ใช้บอกความเสียหายของตับ
  4. อัลตราซาวนด์ตับ (Ultrasound) หรือไฟโบรสแกน (Fibroscan): ใช้ติดตามความเสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ

💉 วัคซีนป้องกัน: เกราะที่ได้ผลที่สุด

ประเทศไทยมีการให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีใน โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Expanded Program on Immunization; EPI) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โดย

  • เด็กแรกเกิดต้องได้รับเข็มแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • เข็มต่อไปให้ตามช่วงอายุ (2, 4, 6 เดือน)

วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูง และการศึกษาของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention; CDC) พบว่าภูมิคุ้มกันจากวัคซีนสามารถอยู่ได้นานกว่า 30 ปี


👶 การป้องกันการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

  • ทารกที่แม่มีเชื้อ HBsAg บวก ต้องได้รับ วัคซีน + อิมมูนโกลบูลินป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (HBIG – Hepatitis B Immunoglobulin) ภายใน 12–24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • แม่ที่มีปริมาณไวรัสสูง แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น เทโนโฟเวียร์ (Tenofovir) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อ

🧑‍⚕️ การรักษาผู้ป่วยเรื้อรัง

ผู้ที่มีการติดเชื้อเรื้อรังและมีความเสี่ยงตับเสียหาย แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น

  • เทโนโฟเวียร์ (Tenofovir; TDF)
  • เอนเทคาเวียร์ (Entecavir; ETV)

เป้าหมายคือกดปริมาณไวรัสให้ต่ำที่สุด ลดการอักเสบของตับ และป้องกันตับแข็งหรือตับมะเร็ง


🛡️ การป้องกันในชีวิตประจำวัน

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้มีดโกน/แปรงสีฟัน/อุปกรณ์ที่อาจมีเลือดปนร่วมกัน
  • เลือกสถานบริการทางการแพทย์หรือร้านสักที่ได้มาตรฐาน
  • สมาชิกในครอบครัวผู้ติดเชื้อควรตรวจภูมิคุ้มกันและฉีดวัคซีนให้ครบ

แหล่งอ้างอิง (หน่วยงานภาครัฐไทยและต่างประเทศ)

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)Hepatitis B fact sheet (อัปเดต 23 ก.ค. 2025); Information sheet 2025 (ภาระโรค/เป้าหมายกำจัด); Guidelines 2024 (การวินิจฉัย-รักษา-ป้องกัน รวมถึงการให้ยาต้านในหญิงตั้งครรภ์/เกณฑ์เริ่มยาแบบง่าย). World Health Organization+1World Health Organization
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC)Vaccine Administration (ภูมิคุ้มกันยาวนาน/ประสิทธิผลวัคซีน), Perinatal Hepatitis B (HBIG+วัคซีนแรกเกิด), Testing & Diagnosis และ MMWR 2023 (Screening and Testing for HBV: universal once-in-a-lifetime). CDC+3CDC+3CDC+3
  • สหรัฐฯ USPSTF (AHRQ/HHS)Screening recommendation 2020 (คัดกรองวัยรุ่น/ผู้ใหญ่กลุ่มเสี่ยง). U.S. Preventive Services Task Force+1
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย)ตารางวัคซีน/โพสเตอร์ 2567 (HB1 ภายใน 24 ชม.), แนวทางกำจัด HBV/HCV พ.ศ. 2566 และ แนวทางดำเนินงานคัดกรองในพื้นที่. ddc.moph.go.thddc.moph.go.th+1
  • กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์/ศูนย์ประสานงานโรคตับอักเสบจากไวรัส (DDC) — รายงานคัดกรองระดับประเทศ (พัฒนาอย่างต่อเนื่อง). hepbc.ddc.moph.go.th
  • สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ — เอกสารความรู้มะเร็งตับและความเกี่ยวข้องกับ HBV. nci.go.th
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์/สำนักสารสนเทศการวิจัย (สป.สธ.) — หน้ารวมเอกสาร แนวทางการตรวจคัดกรองและรักษา HBV/HCV สำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป พ.ศ. 2567 (e-Book). dmsic.moph.go.th