Posted on

ประโยชน์ของนมจืด พร้อมข้อควรระวังและงานวิจัยรองรับทุกข้อ

นมจืดหรือนมโค (cow’s milk) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยรสชาติที่เป็นกลางและคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม นมจืดก็มีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่ผู้บริโภคควรพิจารณาอย่างรอบคอบ งานวิจัยหลายฉบับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้ให้ข้อมูลที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับผลกระทบของการบริโภคนมจืดต่อร่างกาย บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับประโยชน์ ข้อควรระวัง และผลกระทบของนมจืด พร้อมแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้

1. ประโยชน์ของนมจืดต่อสุขภาพ

1.1 แหล่งแคลเซียมที่ดีเยี่ยม

นมจืดเป็นแหล่งแคลเซียม (Calcium) ที่สำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง โดยเฉพาะในวัยเด็กและผู้สูงอายุ

🔬 อ้างอิง: Heaney, R.P. (2000). Calcium, dairy products and osteoporosis. Journal of the American College of Nutrition, 19(sup2), 83S–99S. https://doi.org/10.1080/07315724.2000.10718088

1.2 มีโปรตีนคุณภาพสูง

นมโคมีโปรตีนที่สมบูรณ์ (complete protein) เช่น เคซีน (Casein) และเวย์ (Whey) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

🔬 อ้างอิง: Phillips, S. M. (2012). Dietary protein requirements and adaptive advantages in athletes. British Journal of Nutrition, 108(S2), S158–S167. https://doi.org/10.1017/S0007114512002516

1.3 ช่วยควบคุมน้ำหนัก

งานวิจัยบางฉบับพบว่า การบริโภคนมจืดในปริมาณที่เหมาะสมร่วมกับการควบคุมอาหารสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนักและมวลไขมัน

🔬 อ้างอิง: Zemel, M. B. et al. (2004). Dairy enhancement of total and central fat loss in obese subjects. Obesity Research, 12(4), 582–590. https://doi.org/10.1038/oby.2004.67

1.4 ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

นมจืดที่มีไขมันต่ำสามารถช่วยลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

🔬 อ้างอิง: Ralston, R. A. et al. (2012). Dairy food consumption and obesity-related chronic disease. Advances in Nutrition, 3(2), 127–134. https://doi.org/10.3945/an.111.000521

2. ข้อควรระวังในการบริโภคนมจืด

2.1 ภาวะแพ้น้ำตาลแลคโตส (Lactose Intolerance)

คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้ดี ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง หรือท้องอืดหลังบริโภคนม

🔬 อ้างอิง: Swagerty, D. L. Jr, Walling, A. D., & Klein, R. M. (2002). Lactose intolerance. American Family Physician, 65(9), 1845–1850. https://www.aafp.org/pubs/afp/issues/2002/0501/p1845.html

2.2 ความเสี่ยงจากไขมันอิ่มตัว

นมจืดแบบเต็มไขมันมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งอาจเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล LDL หากบริโภคมากเกินไป

🔬 อ้างอิง: de Souza, R. J. et al. (2015). Saturated and trans unsaturated fatty acids and risk of all-cause mortality. BMJ, 351, h3978. https://doi.org/10.1136/bmj.h3978

2.3 ความเชื่อมโยงกับสิว

งานวิจัยบางฉบับพบว่า การบริโภคนมจืดอาจเกี่ยวข้องกับการเพิ่มโอกาสเกิดสิวในวัยรุ่น

🔬 อ้างอิง: Adebamowo, C. A. et al. (2005). High school dietary dairy intake and teenage acne. Journal of the American Academy of Dermatology, 52(2), 207–214. https://doi.org/10.1016/j.jaad.2004.08.007

2.4 ความเสี่ยงของโรคบางชนิด (ขึ้นอยู่กับบริบท)

แม้งานวิจัยส่วนใหญ่จะไม่พบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการบริโภคนมกับมะเร็ง แต่บางงานวิจัยได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย หากบริโภคนมมากเกินไป

🔬 อ้างอิง: Aune, D. et al. (2015). Dairy products, calcium, and prostate cancer risk: a systematic review and meta-analysis of cohort studies. American Journal of Clinical Nutrition, 101(1), 87–117. https://doi.org/10.3945/ajcn.113.075332

3. ข้อเสนอแนะในการบริโภคนมจืดอย่างเหมาะสม

  1. เลือกนมจืดชนิดไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนย เพื่อหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว
  2. หากมีอาการแพ้แลคโตส ควรเลือกนมที่ผ่านกระบวนการแยกแลคโตส (lactose-free milk)
  3. บริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เช่น 1–2 แก้วต่อวัน
  4. เด็กและผู้สูงอายุที่ต้องการแคลเซียมสูง ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ

บทสรุป

นมจืดเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะในด้านการเสริมแคลเซียม โปรตีน และวิตามินต่างๆ อย่างไรก็ตาม การบริโภคนมจืดควรพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล และควรระมัดระวังในกรณีที่มีภาวะแพ้แลคโตส หรือมีภาวะเสี่ยงอื่นๆ การเลือกนมที่เหมาะสม และการบริโภคอย่างพอดีจะช่วยให้ได้รับประโยชน์โดยไม่เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ.

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. Heaney, R.P. (2000). Journal of the American College of Nutrition, 19(sup2), 83S–99S.
  2. Phillips, S. M. (2012). British Journal of Nutrition, 108(S2), S158–S167.
  3. Zemel, M. B. et al. (2004). Obesity Research, 12(4), 582–590.
  4. Ralston, R. A. et al. (2012). Advances in Nutrition, 3(2), 127–134.
  5. Swagerty, D. L. Jr. et al. (2002). American Family Physician, 65(9), 1845–1850.
  6. de Souza, R. J. et al. (2015). BMJ, 351, h3978.
  7. Adebamowo, C. A. et al. (2005). Journal of the American Academy of Dermatology, 52(2), 207–214.
  8. Aune, D. et al. (2015). American Journal of Clinical Nutrition, 101(1), 87–117.
Posted on

กล้ามเนื้อไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่าง แต่คือหัวใจของสุขภาพ

(ภาพประกอบ)

มวลกล้ามเนื้อ (muscle mass) ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของรูปร่างหรือความแข็งแรงทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นดัชนีสำคัญของสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น งานวิจัยจำนวนมากพบความเชื่อมโยงระหว่างมวลกล้ามเนื้อที่สูงกับอัตราการรอดชีวิต ความสามารถในการฟื้นตัวจากโรค และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

มวลกล้ามเนื้อและการลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง

งานวิจัยจาก The American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า มวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ โดยกล้ามเนื้อมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการเผาผลาญไขมัน (Srikanthan & Karlamangla, 2011)

นอกจากนี้ การศึกษาจาก Journal of Cachexia, Sarcopenia and Muscle พบว่า ผู้สูงอายุที่มีมวลกล้ามเนื้อสูงมีโอกาสรอดชีวิตจากโรคร้ายแรงมากกว่าผู้ที่มีกล้ามเนื้อน้อย (Cruz-Jentoft et al., 2019)

กล้ามเนื้อ: เกราะป้องกันการสูญเสียความสามารถในการดำรงชีวิต

การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในวัยสูงอายุ หรือที่เรียกว่า “ภาวะกล้ามเนื้อลีบ” (sarcopenia) เป็นปัจจัยเสี่ยงของการหกล้ม ข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว และภาวะพึ่งพิงผู้อื่น การเพิ่มหรือรักษามวลกล้ามเนื้อจึงมีผลโดยตรงต่อความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างอิสระในวัยชรา

วิธีเพิ่มมวลกล้ามเนื้ออย่างมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

การสร้างกล้ามเนื้อไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการยกน้ำหนักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการผสมผสานของโภชนาการ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเหมาะสม โดยมีงานวิจัยรองรับแนวทางดังนี้:

1. ออกกำลังกายแบบต้านแรง (Resistance Training)

การฝึกกล้ามเนื้อแบบมีแรงต้าน เช่น ยกน้ำหนัก วิดพื้น หรือใช้แถบยางต้านแรง ช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อ (muscle protein synthesis)

📚 งานวิจัยโดย Phillips et al. (2016) ตีพิมพ์ใน Applied Physiology, Nutrition, and Metabolism พบว่า การฝึกกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งสามารถเพิ่มขนาดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ

2. บริโภคโปรตีนเพียงพอ

การรับประทานโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ผู้ที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อควรบริโภคโปรตีนประมาณ 1.6–2.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

📚 งานวิจัยจาก Morton et al. (2018) ใน British Journal of Sports Medicine ยืนยันว่า ปริมาณโปรตีนที่สูงขึ้นช่วยเพิ่มการตอบสนองของกล้ามเนื้อต่อการฝึกได้ดีขึ้น

3. พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อน โดยเฉพาะการนอนหลับ 7–9 ชั่วโมงต่อคืน มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เช่น โกรทฮอร์โมน (growth hormone)

📚 การศึกษาจาก Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism พบว่าการนอนหลับไม่เพียงพอจะลดการหลั่งของโกรทฮอร์โมนซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ

4. อาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

อาหารเสริมบางชนิด เช่น ครีเอทีน (creatine monohydrate) มีหลักฐานรองรับว่าช่วยเพิ่มกำลังและปริมาณมวลกล้ามเนื้อได้

📚 การวิเคราะห์รวม (meta-analysis) โดย Chilibeck et al. (2017) พบว่า ผู้ที่ใช้ครีเอทีนร่วมกับการฝึกกล้ามเนื้อมีการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้

บทสรุป :

มวลกล้ามเนื้อไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายด้านความงามหรือกีฬา แต่เป็นรากฐานของสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจในระยะยาว การรักษาหรือเพิ่มมวลกล้ามเนื้อสามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เสริมสร้างความสามารถในการดำรงชีวิต และช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกช่วงวัย

การฝึกกล้ามเนื้อ การบริโภคโปรตีนเพียงพอ และการพักผ่อนล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมกับการติดตามแนวทางจากงานวิจัยที่เชื่อถือได้ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Srikanthan, P., & Karlamangla, A. S. (2011). Relative muscle mass is inversely associated with insulin resistance and prediabetes. Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism, 96(9), 2898–2903.
  2. Cruz-Jentoft, A. J., et al. (2019). Sarcopenia: revised European consensus on definition and diagnosis. Journal of Cachexia, Sarcopenia and Muscle, 10(1), 1–10.
  3. Phillips, S. M., et al. (2016). Resistance training in older adults: adaptations and considerations. Applied Physiology, Nutrition, and Metabolism, 41(5), 578–588.
  4. Morton, R. W., et al. (2018). A systematic review, meta-analysis and meta-regression of the effect of protein supplementation on resistance training-induced gains. British Journal of Sports Medicine, 52(6), 376–384.
  5. Chilibeck, P. D., et al. (2017). Effect of creatine supplementation during resistance training on lean tissue mass and muscular strength in older adults: a meta-analysis. Open Access Journal of Sports Medicine, 8, 213–226.
Posted on

โปรตีนจากพืชและโปรตีนจากสัตว์มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

โปรตีนจากสัตว์และโปรตีนจากพืชเป็นสองประเภทของโปรตีนสำคัญที่มนุษย์รับประทานเพื่อสนับสนุนสุขภาพและเจริญเติบโตของอวัยวะต่างๆ โปรตีนมีหน้าที่สำคัญในการให้พลังงานแก่ร่างกาย มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในอวัยวะต่างๆ โปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิด โดยกรดอะมิโนบางชนิดร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขี้นมาเองได้ จึงต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น.

โปรตีนจากสัตว์ (Animal Protein)

โปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนสมบูรณ์ มีกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ น้ำนม และอกไก่ เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพดีและให้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน อย่างไรก็ตาม โปรตีนจากสัตว์อาจมีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว.

โปรตีนจากพืช (Plant-based Protein)

โปรตีนจากพืชเป็นโปรตีนสะอาดไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ดูดซึมง่าย โปรตีนจากพืชมีไขมันอิ่มตัวต่ำ ไม่มีคอเลสเตอรอล มีใยอาหารสูง และมีแคลอรี่น้อยกว่าโปรตีนจากสัตว์ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก โปรตีนจากพืชสามารถพบได้ในพืชหลายชนิด เช่น ถั่ว ธัญพืช ผักใบเขียว และงาดำ ซึ่งหลายชนิดเหล่านี้มีโปรตีนที่สมบูรณ์และให้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน.

ความแตกต่างระหว่างโปรตีนจากสัตว์และโปรตีนจากพืช

โปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนสมบูรณ์ มีกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการครบถ้วน แต่โปรตีนจากพืชส่วนใหญ่เป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ มีชนิดและปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม โปรตีนจากพืชสามารถทาน ควินัว (Quinoa) และถั่วเหลือง เพิ่มเติมได้เพราะเป็นพืชผักที่มีโปรตีนที่สมบูรณ์.

การเลือกโปรตีน

เมื่อเลือกโปรตีนจากสัตว์ ควรเลือกที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ วัคซีน ฮอร์โมน ในกระบวนการเลี้ยงสัตว์ และเมื่อเลือกโปรตีนจากพืช ควรเลือกจากแหล่งปลูกที่ไม่ใช่สารเคมี.

การรับประทานโปรตีน

โปรตีนจากสัตว์และโปรตีนจากพืชควรได้รับจากการรับประทานอาหารอย่างสมดุล และควรเลือกแหล่งที่มาของโปรตีนนั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสารเคมีและสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ.

แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

MERRY แพลนท์ โปรตีน รสมิกซ์เบอร์รี่ 1,050 กรัม

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

MERRY แพลนท์ โปรตีน รสนมสตรอว์เบอร์รี 1,050 กรัม

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Nifta โปรตีนถั่วลันเตา 100% ชนิดผง บรรจุ 400 กรัม

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น


References:

  • https://www.lemonfarm.com/en/blog/alternative-plant-base-protein-vs-animal-protein.html
  • https://www.bangkoklife.com/emagazinehappylife/Issue/2563/35/EatAmAre/57
  • https://www.sanook.com/health/25523/
Posted on

เวย์โปรตีนคืออะไร

เวย์โปรตีนเป็นโปรตีนที่พบในน้ำนมวัว ซึ่งแยกตัวออกมาในระหว่างกระบวนการผลิตชีส เวย์โปรตีนมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ

ประเภทของเวย์โปรตีน

มีเวย์โปรตีนหลายประเภท ได้แก่:

  • เวย์โปรตีนคอนเซนเทรต: มีเวย์โปรตีนประมาณ 70-80% และมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตในปริมาณเล็กน้อย
  • เวย์โปรตีนไอโซเลต: มีเวย์โปรตีนมากกว่า 90% และมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตในปริมาณน้อยมาก
  • เวย์โปรตีนไฮโดรไลเซต: ถูกย่อยล่วงหน้าบางส่วนแล้ว ทำให้ร่างกายดูดซึมได้เร็วขึ้น

ประโยชน์ของเวย์โปรตีน

การบริโภคเวย์โปรตีนอาจมีประโยชน์หลายประการ ได้แก่:

  • เพิ่มการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ: เวย์โปรตีนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
  • ลดการสูญเสียกล้ามเนื้อ: เวย์โปรตีนสามารถช่วยลดการสูญเสียกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุและผู้ที่อยู่ในภาวะพักฟื้น
  • ปรับปรุงการฟื้นตัวหลังออกกำลังกาย: เวย์โปรตีนสามารถช่วยเร่งการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกาย
  • เพิ่มความรู้สึกอิ่ม: เวย์โปรตีนเป็นโปรตีนที่อิ่มตัว ซึ่งสามารถช่วยให้รู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหาร

เวย์โปรตีนเป็นโปรตีนที่ได้จากน้ำนมวัว ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือหลังจากการผลิตชีสและโยเกิร์ต มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการ เวย์โปรตีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ดังนี้

  1. ช่วยสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
    เวย์โปรตีนเป็นแหล่งโปรตีนที่สมบูรณ์ ซึ่งมีกรดอะมิโนจำเป็นทั้งหมดที่ร่างกายต้องการในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการออกกำลังกาย
  2. ช่วยลดน้ำหนัก
    เวย์โปรตีนช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ซึ่งช่วยลดความอยากอาหารและการบริโภคแคลอรี่โดยรวม นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญและรักษามวลกล้ามเนื้อในระหว่างการลดน้ำหนัก
  3. ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
    การบริโภคเวย์โปรตีนควบคู่กับการออกกำลังกายแบบต้านทานสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงและมวลกล้ามเนื้อได้
  4. ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
    เวย์โปรตีนมีกรดอะมิโนที่เรียกว่าซิสเทอีน ซึ่งช่วยลดความดันโลหิตและปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลที่ไม่ดี) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL (คอเลสเตอรอลที่ดี)
  5. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    เวย์โปรตีนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปกป้องเซลล์จากความเสียหาย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

แนะนำอาหารเสริมเวย์โปรตีน

Biovitt เวย์โปรตีน ซอย ไอโซเลท รสออริจินัล 907.2 กรัม

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Benefit โปรตีนพืช รสกาแฟ 1,000 กรัม 1 กระปุก แถมแก้วเชค 1 ใบ

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น