Posted on

งานวิจัยใหม่เผย: ยาอะไรช่วยบรรเทาโรคการกินผิดปกติได้จริง?

🔍 คำถามที่งานวิจัยตั้งไว้

งานวิจัยจาก JAMA Network Open ฉบับล่าสุด (เผยแพร่วันที่ 22 กรกฎาคม 2025) ตั้งคำถามสำคัญว่า:

“ยาที่ได้รับและไม่ได้รับการสั่งโดยแพทย์ชนิดใดที่ถูกใช้ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะการกินผิดปกติ (Eating Disorders: EDs) และสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับอาการของโรค?”

การศึกษาครั้งนี้มุ่งหวังจะเข้าใจพฤติกรรมการใช้ยาในกลุ่มผู้ป่วย EDs และเปิดเผยมุมมองของผู้ป่วยต่อประโยชน์และโทษของสารแต่ละชนิด


📊 รายละเอียดของผู้ตอบแบบสอบถาม

  • จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม: 7,648 คน
  • เพศหญิง: 94%
  • อายุเฉลี่ย: 24.3 ปี
  • พื้นที่อาศัย: ออสเตรเลีย (30%), สหราชอาณาจักร (21.3%), สหรัฐอเมริกา (18%)
  • ประเภทของ ED ที่รายงาน:
    • อโนเร็กเซีย (Anorexia Nervosa): 40.8%
    • บูลิเมีย (Bulimia Nervosa): 19.0%
    • การกินมากเกิน (Binge-Eating Disorder): 11.4%
    • การหลีกเลี่ยงอาหาร (Avoidant/Restrictive Food Intake Disorder): 8.9%
    • ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ: 37.7%
  • โรคร่วมทางจิตเวชที่พบมากที่สุด: ภาวะซึมเศร้า (65.5%)

💊 ยาและสารที่ถูกรายงานว่ามีผลต่ออาการของโรค EDs

✅ ยาที่รายงานว่ามีประโยชน์ต่ออาการของ EDs

  • กัญชา (Cannabis)
    ผู้ป่วยจำนวนมากระบุว่ากัญชาช่วยบรรเทาอาการของโรค EDs เช่น ลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือภาพลักษณ์ตนเอง
  • ไซเคดีลิกส์ (Psychedelics)
    เช่น แอลเอสดี (LSD) หรือเห็ดเมจิก รายงานว่ามีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเข้าใจตนเอง และลดพฤติกรรมเสี่ยงในบางราย

💡 ยาที่ใช้ตามใบสั่งแพทย์ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพจิตโดยรวม

  • ยาต้านเศร้า (Antidepressants)
    โดยเฉพาะ ฟลูออกซีทีน (Fluoxetine) สำหรับบูลิเมีย และ ลิสเดกซแอมเฟตามีน (Lisdexamfetamine) สำหรับการกินมากเกิน

❌ สารที่ถูกมองว่ามีผลเสียมากที่สุด

  • แอลกอฮอล์
  • นิโคตินและบุหรี่
  • คาเฟอีน
    ผู้ป่วยระบุว่าสารเหล่านี้มีแนวโน้มทำให้อาการ EDs แย่ลงหรือกระตุ้นพฤติกรรมหลีกเลี่ยงอาหาร

🧠 ข้อค้นพบสำคัญจากงานวิจัย

  • สารเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าช่วยบรรเทาอาการ EDs ได้
  • ยาตามใบสั่งแพทย์ ส่วนมากช่วยเรื่องสุขภาพจิตโดยรวม แต่ไม่ตรงเป้ากับอาการของ EDs โดยเฉพาะ
  • การใช้กัญชาและไซเคดีลิกส์ นั้นยังต้องการการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติม เนื่องจากผลลัพธ์ยังอยู่ในระดับ “การรับรู้ของผู้ใช้”

🧪 ความหมายเชิงนัยจากการศึกษา

แม้ว่ายารักษาโรคการกินผิดปกติจะยังมีไม่มากในระบบสุขภาพจิตปัจจุบัน แต่ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการใช้สารเพื่อบรรเทาอาการด้วยตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการรักษาแบบใหม่หากมีการวิจัยอย่างเป็นระบบ


📌 สรุป

  • งานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในงานชิ้นแรกที่รวบรวม มุมมองของผู้ป่วย EDs กว่า 7,000 คนทั่วโลก
  • ผลการศึกษาอาจนำไปสู่การปรับปรุงแนวทางการรักษาให้เหมาะกับความรู้สึกและประสบการณ์จริงของผู้ป่วย
  • การศึกษานี้สนับสนุนให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กัญชาและสารไซเคดีลิกส์ สำหรับใช้รักษา EDs

🔖 แหล่งอ้างอิง

Rodan SC, et al. Prescription and Nonprescription Drug Use Among People With Eating Disorders. JAMA Network Open. 2025; Published July 22, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.22406
เผยแพร่ภายใต้ใบอนุญาต CC-BY โดย JAMA Network Open.

Posted on

เดินวันละ 100 นาที ลดความเสี่ยง “ปวดหลังเรื้อรัง” ได้ถึง 23% – ผลวิจัยใหม่จากนอร์เวย์ชี้ชัด

แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวง่ายๆ แต่ “การเดิน” กลับเป็นพฤติกรรมที่มีพลังอย่างน่าทึ่ง ล่าสุดผลการศึกษาขนาดใหญ่จากประเทศนอร์เวย์ เผยว่า การเดินมากกว่า 100 นาทีต่อวันสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง (Chronic Low Back Pain) ได้ถึง 23% เมื่อเทียบกับผู้ที่เดินน้อยกว่า 78 นาทีต่อวัน

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ใน JAMA Network Open เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 โดยใช้ข้อมูลจากกลุ่มประชากรในการศึกษาด้านสุขภาพ “HUNT Study” ซึ่งเก็บข้อมูลในช่วงปี 2017–2023 และวิเคราะห์ผู้เข้าร่วมกว่า 11,194 คน ที่ไม่มีอาการปวดหลังเรื้อรังในช่วงเริ่มต้นการศึกษา

🔍 สรุปผลวิจัย:

  • กลุ่มที่เดินมากกว่า 100 นาที/วัน มีความเสี่ยงปวดหลังเรื้อรังลดลง 23%
  • กลุ่มที่เดิน 125 นาทีขึ้นไป ลดความเสี่ยงได้มากที่สุด (RR = 0.76)
  • ความเร็วในการเดิน (intensity) แม้มีผล แต่ส่งผลน้อยกว่า “ปริมาณเวลาเดิน”
  • กลุ่มที่มีความเข้มข้นในการเดินสูง (≥ 3.27 MET/min) มีความเสี่ยงลดลงประมาณ 18%
  • เมื่อปรับข้อมูลทั้งสองปัจจัยพร้อมกัน พบว่า “ระยะเวลาเดิน” ยังคงมีผลชัดเจนมากกว่าความเข้มข้นในการเดิน

🧠 ความหมายของงานวิจัยนี้

อาการปวดหลังเรื้อรังเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก และเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียคุณภาพชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

แม้งานวิจัยในอดีตจะชี้ให้เห็นว่า “การออกกำลังกาย” ลดความเสี่ยงปวดหลังได้ แต่ยังไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับ “การเดิน” ในฐานะการออกกำลังกายที่ง่ายและเข้าถึงได้ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างนั้น และเน้นให้เห็นว่า “การเดินปริมาณมากทุกวัน” มีประสิทธิภาพจริง

🚶‍♀️ เดินมาก เดินช้า ยังดีกว่าไม่เดินเลย

ศ.ดร. Haddadj และทีมวิจัยระบุว่า ถึงแม้ความเข้มข้น (เร็วหรือช้า) จะมีผล แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘การเดินให้มากพอในแต่ละวัน’ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลกที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากกว่าการออกแรงหนักในช่วงสั้น

📌 ข้อเสนอเชิงนโยบาย

ผลการวิจัยสนับสนุนให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข และชุมชนเมืองหันมาให้ความสำคัญกับ “การส่งเสริมให้ประชาชนเดินในชีวิตประจำวัน” ผ่าน:

  • การจัดทางเดินเท้าที่ปลอดภัย
  • การออกแบบเมืองที่เดินได้
  • การรณรงค์ให้ใช้เวลาเดินมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

📝 ข้อจำกัดของการศึกษา:

  • เป็นการศึกษารูปแบบสังเกตการณ์ (observational) จึงไม่อาจยืนยันสาเหตุโดยตรง
  • การวัดข้อมูลการเดินใช้เฉลี่ยเพียง 5.7 วัน ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมระยะยาว
  • การรายงานอาการปวดหลังเป็นการรายงานด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อน

🔬 สรุป

“การเดินเป็นเครื่องมือธรรมดาแต่ทรงพลังในการป้องกันโรคปวดหลังเรื้อรังในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำเป็นกิจวัตรมากกว่า 100 นาทีต่อวัน”
— ทีมวิจัยจาก University of Science and Technology, Norway


📚 แหล่งที่มา:

  • Haddadj, R., et al. (2025). Volume and Intensity of Walking and Risk of Chronic Low Back Pain. JAMA Network Open. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.15592
  • World Health Organization. Global Recommendations on Physical Activity for Health
  • The Lancet Low Back Pain Series. (2018)