Posted on

🦠การระบาดครั้งใหม่ของอีโบล่าในคองโก: คร่าชีวิตแล้ว 15 ราย

📰 รายงานเหตุการณ์ล่าสุด

กระทรวงสาธารณสุขสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (Democratic Republic of Congo: DRC Ministry of Health) ได้ประกาศการพบ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบล่า (Ebola Virus Disease: EVD) ในจังหวัดกาซาอี (Kasai) โดยมีผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ 28 ราย และเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 15 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 4 ราย

🔹 หน่วยงานยืนยันว่าผู้ป่วยรายแรกคือหญิงตั้งครรภ์อายุ 34 ปีในเขตบูลาป เริ่มมีอาการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2025 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


🧪 การตรวจสอบเชื้อและการตอบโต้

กระทรวงสาธารณสุขคองโกได้ส่งตัวอย่างไปตรวจที่ สถาบันวิจัยชีวเวชแห่งชาติ (National Institute of Biomedical Research: INRB) ในกรุงกินชาซา ซึ่งยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์ Zaire ebolavirus

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตอบโต้ฉุกเฉิน รวมทั้งวัคซีน Ervebo จำนวน 2,000 โดส และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนการควบคุมโรค

ขณะเดียวกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งแอฟริกา (Africa Centres for Disease Control and Prevention: Africa CDC) ได้ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อเพิ่มการเฝ้าระวังโรคและตรวจหาผู้สัมผัสใกล้ชิด


📊 การระบาดในอดีตและอัตราเสียชีวิต

ตามข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) โรคอีโบล่ามีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย (Case Fatality Rate: CFR) ประมาณ 50–70% และในบางครั้งสูงถึง 90%

🔹 ประเทศคองโกมีประวัติการระบาดของโรคอีโบล่าแล้ว 15 ครั้งตั้งแต่ปี 1976 โดยการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงปี 2018–2020 มีผู้เสียชีวิตเกือบ 2,300 ราย (ข้อมูลจาก WHO และกระทรวงสาธารณสุขคองโก)


🧬 การแพร่เชื้อและอาการ

ตามแนวทางของ องค์การอนามัยโลก (WHO) โรคอีโบล่าแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย อาเจียน หรือเหงื่อ รวมถึงวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ

อาการสำคัญ ได้แก่ ไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย และเลือดออกผิดปกติ ซึ่งต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ทันทีเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต


🛡️ แนวทางการตอบโต้และการป้องกัน

องค์การอนามัยโลก (WHO) และ Africa CDC ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขคองโก ได้จัดตั้งมาตรการเร่งด่วน ดังนี้:

  • การแยกผู้ป่วยและเฝ้าระวังผู้สัมผัส (contact tracing)
  • การให้วัคซีน Ervebo ในกลุ่มเสี่ยงและบุคลากรด่านหน้า
  • การสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และทีมแพทย์ภาคสนาม
  • การให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่เชื้อ

✅ บทสรุป

การระบาดครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 16 ของโรคอีโบล่าในคองโก และเป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศในแอฟริกายังเผชิญความท้าทายด้านโรคติดต่อร้ายแรง การประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ WHO และ Africa CDC เป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดและลดจำนวนผู้เสียชีวิต


📚 แหล่งอ้างอิง (หน่วยงานภาครัฐและองค์การระหว่างประเทศ)

  • กระทรวงสาธารณสุขสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC Ministry of Health)
  • องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) – รายงานสถานการณ์และมาตรการควบคุมโรค
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งแอฟริกา (Africa Centres for Disease Control and Prevention: Africa CDC)
  • สถาบันวิจัยชีวเวชแห่งชาติ คองโก (National Institute of Biomedical Research: INRB)
Posted on

🧬 ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นเชื้อไวรัสที่โจมตีตับ ทำให้เกิดการอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อบางคนไม่มีอาการเลย แต่หากติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด ตับแข็ง (Cirrhosis) และ มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma; HCC) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญของไทยและทั่วโลก

ตามข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ในปี ค.ศ. 2022 มีผู้ติดเชื้อเรื้อรังทั่วโลกมากกว่า 254 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อใหม่ราว 1.2 ล้านคนต่อปี


🩸 การแพร่เชื้อ

ไวรัสตับอักเสบบีแพร่ผ่านเลือดและของเหลวในร่างกาย โดยเส้นทางหลักคือ

  • แม่ถ่ายทอดเชื้อสู่ลูกในช่วงคลอด
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมกัน
  • การสักหรือเจาะร่างกายที่ไม่ได้มาตรฐาน

❌ ไม่แพร่ผ่านการกอด จับมือ ไอ จาม หรือการกินอาหารร่วมกัน


🩺 อาการที่อาจพบ

  • ระยะเฉียบพลัน (Acute stage): อ่อนเพลีย มีไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง (ดีซ่าน – Jaundice) หรือปัสสาวะสีเข้ม
  • ระยะเรื้อรัง (Chronic stage): ส่วนใหญ่ไม่มีอาการชัดเจน แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน และอาจนำไปสู่ตับแข็งหรือตับวายในอนาคต

⚠️ ภาวะแทรกซ้อนสำคัญ

  • ตับแข็ง (Cirrhosis): ตับถูกทำลายจนแข็งและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
  • มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma; HCC): หนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในไทย

งานวิจัยของ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute; NCI) และ กรมควบคุมโรค (Department of Disease Control; DDC) ชี้ชัดว่า ผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า


🔎 ใครควรตรวจคัดกรองบ้าง?

  • ผู้ใหญ่ทุกคนตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ด้วยวิธี “Triple panel” (ตรวจ HBsAg, anti-HBs และ anti-HBc)
  • หญิงตั้งครรภ์ ต้องตรวจ HBsAg ทุกครั้งที่ตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อสู่ทารก
  • กลุ่มเสี่ยง เช่น คนที่ได้รับเลือดก่อนปี พ.ศ. 2535 ผู้ฟอกไต ผู้ใช้เข็มฉีดยาร่วม หรือคู่สมรสของผู้ที่เป็นพาหะ

🧪 วิธีการตรวจ

  1. ตรวจเลือด (Blood test): HBsAg, anti-HBs, anti-HBc เพื่อระบุว่าเป็นผู้ติดเชื้อหรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว
  2. ตรวจระดับไวรัส (HBV DNA test): ดูปริมาณไวรัสในเลือด
  3. ตรวจเอนไซม์ตับ (Liver enzymes; ALT/AST): ใช้บอกความเสียหายของตับ
  4. อัลตราซาวนด์ตับ (Ultrasound) หรือไฟโบรสแกน (Fibroscan): ใช้ติดตามความเสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ

💉 วัคซีนป้องกัน: เกราะที่ได้ผลที่สุด

ประเทศไทยมีการให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีใน โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Expanded Program on Immunization; EPI) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โดย

  • เด็กแรกเกิดต้องได้รับเข็มแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • เข็มต่อไปให้ตามช่วงอายุ (2, 4, 6 เดือน)

วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูง และการศึกษาของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention; CDC) พบว่าภูมิคุ้มกันจากวัคซีนสามารถอยู่ได้นานกว่า 30 ปี


👶 การป้องกันการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

  • ทารกที่แม่มีเชื้อ HBsAg บวก ต้องได้รับ วัคซีน + อิมมูนโกลบูลินป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (HBIG – Hepatitis B Immunoglobulin) ภายใน 12–24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • แม่ที่มีปริมาณไวรัสสูง แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น เทโนโฟเวียร์ (Tenofovir) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อ

🧑‍⚕️ การรักษาผู้ป่วยเรื้อรัง

ผู้ที่มีการติดเชื้อเรื้อรังและมีความเสี่ยงตับเสียหาย แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น

  • เทโนโฟเวียร์ (Tenofovir; TDF)
  • เอนเทคาเวียร์ (Entecavir; ETV)

เป้าหมายคือกดปริมาณไวรัสให้ต่ำที่สุด ลดการอักเสบของตับ และป้องกันตับแข็งหรือตับมะเร็ง


🛡️ การป้องกันในชีวิตประจำวัน

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้มีดโกน/แปรงสีฟัน/อุปกรณ์ที่อาจมีเลือดปนร่วมกัน
  • เลือกสถานบริการทางการแพทย์หรือร้านสักที่ได้มาตรฐาน
  • สมาชิกในครอบครัวผู้ติดเชื้อควรตรวจภูมิคุ้มกันและฉีดวัคซีนให้ครบ

แหล่งอ้างอิง (หน่วยงานภาครัฐไทยและต่างประเทศ)

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)Hepatitis B fact sheet (อัปเดต 23 ก.ค. 2025); Information sheet 2025 (ภาระโรค/เป้าหมายกำจัด); Guidelines 2024 (การวินิจฉัย-รักษา-ป้องกัน รวมถึงการให้ยาต้านในหญิงตั้งครรภ์/เกณฑ์เริ่มยาแบบง่าย). World Health Organization+1World Health Organization
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC)Vaccine Administration (ภูมิคุ้มกันยาวนาน/ประสิทธิผลวัคซีน), Perinatal Hepatitis B (HBIG+วัคซีนแรกเกิด), Testing & Diagnosis และ MMWR 2023 (Screening and Testing for HBV: universal once-in-a-lifetime). CDC+3CDC+3CDC+3
  • สหรัฐฯ USPSTF (AHRQ/HHS)Screening recommendation 2020 (คัดกรองวัยรุ่น/ผู้ใหญ่กลุ่มเสี่ยง). U.S. Preventive Services Task Force+1
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย)ตารางวัคซีน/โพสเตอร์ 2567 (HB1 ภายใน 24 ชม.), แนวทางกำจัด HBV/HCV พ.ศ. 2566 และ แนวทางดำเนินงานคัดกรองในพื้นที่. ddc.moph.go.thddc.moph.go.th+1
  • กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์/ศูนย์ประสานงานโรคตับอักเสบจากไวรัส (DDC) — รายงานคัดกรองระดับประเทศ (พัฒนาอย่างต่อเนื่อง). hepbc.ddc.moph.go.th
  • สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ — เอกสารความรู้มะเร็งตับและความเกี่ยวข้องกับ HBV. nci.go.th
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์/สำนักสารสนเทศการวิจัย (สป.สธ.) — หน้ารวมเอกสาร แนวทางการตรวจคัดกรองและรักษา HBV/HCV สำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป พ.ศ. 2567 (e-Book). dmsic.moph.go.th