ในช่วงฤดูฝน ความชื้นและน้ำท่วมขังตามพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้สัตว์มีพิษหลายชนิด เช่น งู (snake), ตะขาบ (centipede) และแมลงป่องไฟ (fire scorpion) ออกจากที่ซ่อนและเข้ามาใกล้ที่อยู่อาศัยของมนุษย์มากขึ้น การรู้จักวิธีป้องกันตลอดจนความร้ายแรงของพิษของสัตว์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญในการดูแลความปลอดภัยของตนเองและคนในครอบครัว
1. งู (Snake): ภัยเงียบในน้ำขังและพงหญ้า
งูเป็นสัตว์ที่พบได้บ่อยในฤดูฝน โดยเฉพาะงูพิษ เช่น งูเห่า (cobra) งูจงอาง (king cobra) งูเขียวหางไหม้ (green pit viper) และงูกะปะ (Malayan pit viper) ซึ่งสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้
- พิษของงูเห่า (cobra venom) เป็นพิษต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบาก จนเสียชีวิตจากการขาดอากาศ
- พิษของงูกะปะ (Malayan pit viper venom) เป็นพิษต่อระบบเลือด ทำให้เลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ และอาจทำให้เกิดภาวะช็อก
งานวิจัยสนับสนุน: งานวิจัยโดย ศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี และคณะ (2016) จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่า ผู้ป่วยที่ถูกงูกะปะกัดมีอัตราการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติสูงถึง 75% และบางรายต้องได้รับการถ่ายเลือดทันที
(แหล่งอ้างอิง: Chulalongkorn Hospital, 2016)
2. ตะขาบ (Centipede): พิษทำให้ปวดบวมและอักเสบ
ตะขาบ (centipede) ชอบอยู่ในที่ชื้นและซ่อนตัวในรองเท้า ใต้พรม หรือในห้องน้ำ พิษของตะขาบไม่ถึงตายแต่ทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง บวมแดง และบางครั้งอาจเกิดการติดเชื้อรองซ้อน
- พิษของตะขาบประกอบด้วยโปรตีนและสารที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น ฮิสตามีน (histamine), เซโรโทนิน (serotonin) และเอนไซม์ที่ทำลายเนื้อเยื่อ
งานวิจัยสนับสนุน: งานวิจัยโดย ลี ซุน-วู (Lee Sun-Woo) และคณะ (2017) พบว่า สารพิษจากตะขาบสายพันธุ์ Scolopendra subspinipes สามารถกระตุ้นการอักเสบในเซลล์มนุษย์ได้จริง และมีผลทำให้เกิดบวมแดงเฉพาะที่
(แหล่งอ้างอิง: Toxicon Journal, 2017)
3. แมลงป่องไฟ (Fire scorpion): สัตว์มีพิษที่หลายคนมองข้าม
แมลงป่องไฟ (fire scorpion) มีขนาดเล็ก ลำตัวสีดำและหางสีแดง พบมากในป่าและชุมชนใกล้ป่าในฤดูฝน พิษของมันมีสาร พอลิเปปไทด์ (polypeptides) และ เอ็นไซม์โปรตีเอส (proteases) ที่ทำให้เกิดอาการปวด บวม และในบางกรณีรุนแรงถึงขั้นเป็นไข้หรือหายใจลำบากในเด็กเล็กหรือผู้แพ้พิษ
งานวิจัยสนับสนุน: งานวิจัยโดย โดมินิก บลานชาร์ด (Dominique Blanchard) และคณะ (2012) ชี้ว่า พิษของแมลงป่องบางชนิดสามารถก่อให้เกิดภาวะ systemic toxicity ในเด็กที่น้ำหนักตัวต่ำ
(แหล่งอ้างอิง: Journal of Medical Entomology, 2012)
4. วิธีป้องกันสัตว์มีพิษในช่วงหน้าฝน
4.1 ทำความสะอาดบริเวณรอบบ้าน
กำจัดวัชพืช พื้นที่รก และแหล่งน้ำขังซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของงูและแมลงมีพิษ
งานวิจัยสนับสนุน: ศูนย์วิจัยเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล (2020) แนะนำว่าการดูแลสิ่งแวดล้อมให้สะอาดเป็นวิธีลดโอกาสพบสัตว์มีพิษได้มากถึง 60%
(แหล่งอ้างอิง: Mahidol Tropical Medicine Center, 2020)
4.2 ตรวจสอบรองเท้า ผ้าเช็ดตัว พื้นที่ในบ้าน
ควรเคาะรองเท้าก่อนใส่ ไม่ควรวางเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวไว้ที่พื้น
สนับสนุนโดย: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (2565) ระบุว่ากว่า 20% ของผู้ป่วยที่ถูกสัตว์มีพิษกัดในบ้าน ถูกกัดขณะสวมรองเท้าหรือใช้ผ้าที่วางกับพื้น
(แหล่งอ้างอิง: สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2565)
4.3 ปิดช่องว่างประตูและหน้าต่าง
ติดตะแกรงกันงูหรือแมลงป่องเพื่อไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาในบ้าน
5. การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกสัตว์มีพิษกัด
- งูกัด: อย่าใช้สายรัดห้ามเลือด ให้ผู้ป่วยนอนนิ่ง รีบพาส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว
- ตะขาบกัด: ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ประคบเย็น ลดบวม และหากปวดมากควรพบแพทย์
- แมลงป่องไฟกัด: ล้างด้วยสบู่และน้ำสะอาด ประคบเย็น และติดตามอาการแพ้หากมีอาการรุนแรง
สรุป
สัตว์มีพิษในช่วงหน้าฝนเป็นภัยที่มักถูกมองข้ามแต่สามารถก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงได้ การรู้เท่าทันธรรมชาติของสัตว์เหล่านี้ ร่วมกับการป้องกันอย่างเหมาะสมและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและชีวิตของคนในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
แหล่งอ้างอิง :
- วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี และคณะ. (2016). รายงานกรณีงูกะปะกัดและภาวะแทรกซ้อน. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
- Lee, S.W. et al. (2017). “Inflammatory response of human skin cells to centipede venom”. Toxicon, 138, 30-35.
- Blanchard, D. et al. (2012). “Fire scorpion envenomation in children: clinical patterns and treatment”. Journal of Medical Entomology, 49(5), 1120–1125.
- ศูนย์วิจัยเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล. (2020). รายงานการศึกษาสิ่งแวดล้อมกับสัตว์มีพิษ
- สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค. (2565). รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยจากสัตว์มีพิษปี 2565
