Posted on

วินสตัน เชอร์ชิลล์: บุรุษผู้กอบกู้โลกเสรี

วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์โลกในศตวรรษที่ 20 เขาเป็นนักการเมือง นักเขียน และนักพูดที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ และเป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการนำพาสหราชอาณาจักรผ่านพ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เชอร์ชิลล์ได้รับการยกย่องในฐานะนายกรัฐมนตรีที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับประเทศชาติได้ในช่วงเวลาวิกฤติ และเป็นผู้ปกป้องค่านิยมของโลกเสรีอย่างแท้จริง

ชีวิตในวัยเยาว์และเส้นทางสู่การเมือง

วินสตัน เลียวนาร์ด สเปนเซอร์ เชอร์ชิลล์ เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874 ที่พระราชวังเบลนไฮม์ เมืองออกซ์ฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ เขาเป็นบุตรของลอร์ดแรนดอล์ฟ เชอร์ชิลล์ นักการเมืองผู้มีอิทธิพลจากพรรคอนุรักษนิยม และเจนนี เจอโรม หญิงสาวชาวอเมริกันผู้มีเสน่ห์ เชอร์ชิลล์ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนฮาโรว์และต่อมาศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ ซึ่งเป็นสถาบันที่หล่อหลอมเขาให้เป็นทหารก่อนจะก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง

หลังจากสำเร็จการศึกษา เชอร์ชิลล์เข้าร่วมกองทัพอังกฤษและมีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ในหลายประเทศ รวมถึงอินเดียและซูดาน ประสบการณ์ของเขาในฐานะนายทหารช่วยสร้างแนวคิดและปรัชญาทางการเมืองที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งต่อมาได้นำมาใช้ในการดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศ

การเข้าสู่เวทีการเมือง

วินสตัน เชอร์ชิลล์ เริ่มต้นเส้นทางการเมืองในปี ค.ศ. 1900 โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาภายใต้พรรคอนุรักษนิยม อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1904 เขาตัดสินใจย้ายไปสังกัดพรรคเสรีนิยมเนื่องจากขัดแย้งกับนโยบายของพรรคอนุรักษนิยมในเรื่องปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เชอร์ชิลล์มีบทบาทสำคัญในหลายตำแหน่งทางการเมือง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โดยเขาเป็นผู้ผลักดันการปฏิรูปทางสังคมหลายประการ

อย่างไรก็ตาม อาชีพทางการเมืองของเชอร์ชิลล์ต้องเผชิญกับความท้าทายในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อเขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือและมีบทบาทในการวางแผนยุทธการที่ดาร์ดาแนลส์ซึ่งล้มเหลว ทำให้เขาต้องลาออกจากตำแหน่งและกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพชั่วคราว

เชอร์ชิลล์ในสงครามโลกครั้งที่สอง

ช่วงทศวรรษที่ 1930 เชอร์ชิลล์กลับมาโดดเด่นอีกครั้งในฐานะนักการเมืองที่เตือนถึงภัยคุกคามจากนาซีเยอรมนี ขณะที่รัฐบาลอังกฤษพยายามใช้แนวทางผ่อนปรนต่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เชอร์ชิลล์เป็นหนึ่งในไม่กี่เสียงที่ยืนหยัดต่อต้านและเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างกำลังทหารเพื่อเตรียมรับมือกับสงคราม

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1939 เชอร์ชิลล์ได้รับแต่งตั้งให้กลับมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรืออีกครั้ง และในปี ค.ศ. 1940 หลังจากการลาออกของเนวิลล์ แชมเบอร์เลน เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

เชอร์ชิลล์ใช้สุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นเพื่อปลุกขวัญกำลังใจของประชาชน ในขณะที่กองทัพอังกฤษเผชิญกับภัยคุกคามจากนาซีเยอรมนี คำพูดของเขา เช่น “เราจะสู้ในชายหาด เราจะสู้ในสนามบิน เราจะไม่มีวันยอมแพ้” กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านและความเข้มแข็งของโลกเสรี

บทบาทหลังสงคราม

หลังจากชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในปี ค.ศ. 1945 เชอร์ชิลล์ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปีเดียวกัน และต้องลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม เขายังคงมีบทบาทในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน และในปี ค.ศ. 1951 เขากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งจนถึงปี ค.ศ. 1955

แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลอีกต่อไป แต่เชอร์ชิลล์ยังคงมีอิทธิพลต่อการเมืองโลก เขาเป็นบุคคลที่ผลักดันแนวคิดเกี่ยวกับ “ม่านเหล็ก” (Iron Curtain) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงความตึงเครียดระหว่างโลกตะวันตกและสหภาพโซเวียตที่นำไปสู่สงครามเย็น

เกียรติคุณ

วินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี ค.ศ. 1953 จากผลงานการเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่สอง และบทความเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตย

เชอร์ชิลล์ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1965 และได้รับพิธีศพอย่างสมเกียรติจากทั้งประเทศ นับเป็นการแสดงความเคารพต่อบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อชะตากรรมของโลกเสรี

วินสตัน เชอร์ชิลล์ เป็นบุคคลที่มีความสามารถรอบด้านและเป็นผู้นำที่สามารถนำพาประเทศผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ และปณิธานที่แน่วแน่ของเขา ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งและเสรีภาพ ชื่อของเขาจะยังคงถูกจารึกในประวัติศาสตร์โลกไปตลอดกาล.

References:

  1. Churchill, Winston S. The Second World War. London: Cassell, 1948-1953.
  2. Gilbert, Martin. Churchill: A Life. London: Heinemann, 1991.
  3. Manchester, William. The Last Lion: Winston Spencer Churchill. Boston: Little, Brown, 1983-2012.
  4. Jenkins, Roy. Churchill. London: Macmillan, 2001.
  5. Roberts, Andrew. Churchill: Walking with Destiny. New York: Viking, 2018.
Posted on

การแยกขั้วของชาติตะวันตก: ผลกระทบจากการเผชิญหน้าระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกี

การเยือนทำเนียบขาวของประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เน้นย้ำถึงความแตกแยกระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป โดยขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตำหนิและตั้งคำถามต่อความเป็นผู้นำของเซเลนสกี ยุโรปกลับยืนหยัดให้การสนับสนุนผู้นำยูเครนอย่างแข็งขัน นำไปสู่ความเป็นไปได้ที่การเมืองโลกกำลังเคลื่อนไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระดับสูง

สหรัฐฯ ผลักดันให้เซเลนสกีหลีกทาง

ท่าทีของฝ่ายบริหารของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าวิธีการนั้นจะส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของยูเครนหรือไม่ โดย ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ กล่าวว่าหากเซเลนสกีไม่พร้อมจะยุติความขัดแย้ง สหรัฐฯ อาจต้องพิจารณาให้ยูเครนมีผู้นำคนใหม่ที่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายของอเมริกาได้ นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยูเครนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของตน

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังพยายามปูทางไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย โดยโทษเซเลนสกีว่าเป็นสาเหตุของการรุกรานของรัสเซีย ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ตรงกับแนวทางโฆษณาชวนเชื่อของเครมลิน สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่พันธมิตรยุโรป ว่าสหรัฐฯ อาจลดทอนการสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจต่อยูเครน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ยูเครนยังคงต่อสู้กับรัสเซียได้

ยุโรป: แกนกลางของการสนับสนุนยูเครน

ในทางตรงกันข้าม ยุโรปได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการสนับสนุนยูเครนมากขึ้น นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ จัดการประชุมร่วมกับผู้นำชาติตะวันตกโดยให้เซเลนสกีเป็นแขกเกียรติ และยืนยันว่าจะจัดตั้ง “แนวร่วมแห่งความมุ่งมั่น” เพื่อให้การสนับสนุนทางทหารและความมั่นคงต่อยูเครน

ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสและอังกฤษได้เสนอให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่มุ่งสู่สันติภาพ แต่ก็อาจทำให้รัสเซียมีโอกาสฟื้นฟูกำลังและเตรียมการรบระยะต่อไป นอกจากนี้ อูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปยังกล่าวว่ายุโรปต้องช่วยให้ยูเครนกลายเป็น “เม่นเหล็ก” ที่ไม่สามารถถูกกลืนกินได้ สะท้อนถึงท่าทีที่แข็งแกร่งของยุโรปในการป้องกันยูเครนจากการรุกรานของรัสเซีย

ผลกระทบระยะยาวต่อแนวร่วมโลกเสรี

เหตุการณ์ในทำเนียบขาวเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจในโลกเสรี ความแตกแยกของพันธมิตรตะวันตกอาจเป็นประโยชน์ต่อรัสเซีย ซึ่งมีเป้าหมายระยะยาวในการทำให้ชาติตะวันตกอ่อนแอลงและลดบทบาทของ NATO

อย่างไรก็ตาม ยุโรปอาจใช้โอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระทางด้านความมั่นคงให้มากขึ้น การที่สหภาพยุโรปเพิ่มงบประมาณกลาโหมและพยายามพัฒนาโครงสร้างความมั่นคงของตนเอง อาจช่วยให้ยุโรปสามารถรักษาความสมดุลในเวทีโลกได้ แม้จะไม่มีการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ

สรุป: จุดเปลี่ยนของยุโรปและความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ

ในระยะสั้น สงครามยูเครนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป หากทรัมป์ยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวและพยายามลดบทบาทของสหรัฐฯ ในสงคราม อาจทำให้ยุโรปต้องรับบทบาทนำในการรักษาสมดุลทางอำนาจของโลกเสรี

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือยุโรปจะสามารถรักษาแนวทางนี้ได้นานแค่ไหน หากไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ยุโรปจะสามารถต้านทานแรงกดดันทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารจากรัสเซียได้หรือไม่ นี่อาจเป็นบททดสอบครั้งสำคัญสำหรับอนาคตของระเบียบโลกและบทบาทของยุโรปในฐานะผู้นำของแนวร่วมประชาธิปไตย.

Reference : Coohfey.com

Posted on

ขั้นตอนการทำพิธี Grand Howl ของลูกเสือสำรอง

พิธี Grand Howl เป็นพิธีสำคัญของลูกเสือสำรอง (Cub Scouts) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกเสือที่อยู่ในช่วงอายุ 7-11 ปี พิธีนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดของหนังสือ “The Jungle Book” ของ Rudyard Kipling และเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อผู้นำและความสามัคคีในหมู่ลูกเสือสำรอง บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนของพิธี Grand Howl อย่างละเอียด

ขั้นตอนการทำแกรนด์ฮาวล์

  1. การเรียกเข้าแถว
    • ผู้กำกับลูกเสือยืนในท่าตรงและเรียก “แพ็ค-แพ็ค-แพ็ค” (เน้นหนักที่คำสุดท้าย)
    • พร้อมกับทำสัญญาณมือโดยแกว่งรอบตัวเป็นวงกลม
    • ผู้ช่วยผู้กำกับยืนอยู่นอกวงกลมและด้านหลังผู้กำกับ
  2. การรวมตัวเป็นวงกลม
    • ลูกเสือสำรองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจะต้องขานรับพร้อมกันว่า “แพ็ค”
    • จากนั้นวิ่งเข้าแถวเป็นรูปวงกลมเล็ก ล้อมรอบผู้กำกับ
    • นายหมู่ของหมู่บริการยืนตรงหน้าผู้กำกับ และสมาชิกที่เหลือเรียงลำดับต่อกันโดยให้ไหล่ต่อไหล่ชิดกัน
  3. การตรวจสอบความเรียบร้อย
    • ผู้กำกับลูกเสือผายมือทั้งสองออกไปข้าง ๆ เล็กน้อย โดยนิ้วทั้งห้าชิดกันและฝ่ามือแบหงาย
    • จากนั้นลดมือลงเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของแถว
  4. การขยายวงกลม
    • เมื่อเห็นสัญญาณจากผู้กำกับ ลูกเสือสำรองจะจับมือกันและขยายวงกลมให้กว้างขึ้น
    • ขยายจนแขนตึงแล้วปล่อยมือ และจัดแถวให้เป็นระเบียบ
  5. การเตรียมท่านั่ง
    • เมื่อผู้กำกับตรวจสอบว่าวงกลมเป็นระเบียบแล้ว ให้กางแขนออกเสมอไหล่ ฝ่ามือแบหงาย
    • จากนั้นพลิกฝ่ามือคว่ำลงและงองุ้ม เป็นสัญญาณให้ลูกเสือนั่งลง
  6. การนั่งในท่าพร้อม
    • ลูกเสือสำรองนั่งลงบนส้นเท้าทั้งสอง แขนทั้งสองเหยียดตรงอยู่ระหว่างเข่า
    • มือทั้งสองห่างกันพอสมควร แบะเข่าออกเล็กน้อย
    • นิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองมือเหยียดชิดกันแตะพื้น ส่วนนิ้วที่เหลืองอไว้ในอุ้งมือ
  7. การให้สัญญาณร้องแกรนด์ฮาวล์
    • ผู้กำกับลูกเสือพลิกฝ่ามือทั้งสองหงายขึ้น เป็นสัญญาณให้ลูกเสือร้อง
  8. การเปล่งเสียงปฏิญาณ
    • ลูกเสือสำรองทุกคนแหงนหน้าขึ้นพร้อมกันและเปล่งเสียงว่า “อา-เค-ล่า-เรา-จะ-ทำ-ดี-ที่-สุด”
    • เมื่อขาดคำว่า “สุด” ลูกเสือทุกคนกระโดดยืนขึ้น เท้าทั้งสองชิดกัน
    • พร้อมกับยกมือทั้งสองที่อยู่ในท่านั่งขึ้นไปไว้เหนือหูและชิดหู
  9. การให้คำขวัญ
    • นายหมู่ลูกเสือซึ่งทำหน้าที่เป็นหมู่บริการในวันนั้น (ที่อยู่ตรงหน้าผู้กำกับ) จะร้องว่า “จงทำดี-จงทำดี-จงทำดี”
    • การร้องให้หันหน้าไปทางซ้ายก่อน ตรงหน้า และขวา ทีละครั้ง โดยไม่ต้องผงกศีรษะ
  10. การปิดพิธี
  • เมื่อสิ้นคำที่สาม ลูกเสือสำรองทุกคนลดมือซ้ายลงมาแนบลำตัว (แบมือออก)
  • มือขวาลดลงมาทำท่าวันทยหัตถ์และกล่าวพร้อมกันว่า “เราจะทำดี-เราจะทำดี-เราจะทำดี”
  • ขณะที่ลูกเสือกล่าวคำปฏิญาณ ผู้กำกับลูกเสือทำวันทยหัตถ์แบบลูกเสือสำรอง (สองนิ้ว) เพื่อรับการเคารพ
  • ผู้กำกับอาจกล่าวคำขอบใจหรือคำพูดสั้น ๆ เพื่อให้กำลังใจ
  • ผู้ช่วยผู้กำกับที่อยู่นอกวงกลมยืนอยู่ในท่าตรงตลอดพิธี

สรุป

พิธี Grand Howl เป็นส่วนสำคัญของการฝึกลูกเสือสำรอง และเป็นพิธีที่ช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณของลูกเสือในด้านความสามัคคีและความเคารพ การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องและมีความตั้งใจจริงจะช่วยให้พิธีนี้มีความหมายและเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อเด็กๆ ในการพัฒนาเป็นเยาวชนที่มีคุณธรรมและจิตวิญญาณของลูกเสือที่แท้จริง