เดือน: สิงหาคม 2023

Posted on by — Leave a comment

Alternatives to DEET for Mosquitoes and Ticks: What You Need to Know

Experts endorse DEET as a safe bug repellent, yet some opt for alternatives. As bug-borne illnesses rise, concerns about tick-related allergies and mosquito-transmitted diseases grow. This season, West Nile virus cases are predicted to peak, particularly on the West Coast. To prevent bug bites, choosing effective repellents is essential, but making the right choice isn’t always straightforward.

Why Some Avoid DEET: While DEET is a bug bite “gold standard,” safety worries persist. It was developed for the U.S. Army decades ago but faced health concerns. However, using DEET as directed poses minimal risk. The CDC and American Academy of Pediatrics assures its safety, even for pregnant or breastfeeding individuals. Applying DEET to clothing instead of skin is an option.

Effective DEET Alternatives: Picaridin, resembling compounds in pepper plants, is an EPA-approved DEET alternative. Other safe options include IR3535, oil of lemon eucalyptus, PMD, and 2-undecanone. EPA registration labels indicate safety.

Essential Oils and Devices: Certain essential oils offer limited protection against mosquitoes and ticks, but research on efficacy and safety is insufficient. Ultrasonic and wearable devices are generally ineffective in repelling mosquitoes.

Additional Preventive Measures: Ensure window screens are intact, remove standing water, and cover up during peak mosquito times. Permethrin-treated clothing can deter ticks, and thorough checks post-outdoor activities are crucial. Check skin folds and use high heat to eliminate ticks on clothing.

Responding to Bites: Localized reactions from mosquito bites are normal, but prolonged symptoms should prompt medical attention. West Nile virus is a significant concern, with symptoms ranging from mild to severe. For tick bites, swift removal is vital to prevent diseases like Lyme disease. Nymph ticks are particularly small and can carry diseases.

In Summary: Understanding bug bite prevention and response is crucial in the face of rising insect-borne illnesses. Choosing suitable repellents, employing preventive measures, and monitoring for health changes are key steps to safeguarding against these concerns. Consulting a physician after a tick bite is advised for optimal care.

Posted on by — Leave a comment

งานวิจัยเผยว่าคนจำนวนมากที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวให้ขาวขึ้นนั้นไม่ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายที่เกี่ยวข้อง

มีงานศึกษาวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารโรคผิวหนังสตรีนานาชาติ(International Journal of Women’s Dermatology) ที่เผยให้เห็นว่าบุคคลที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวให้ขาวขึ้นมักไม่ทราบเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และไม่ได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะลองใช้ นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมักจะมีทัศนคติเกี่ยวกับสีผิวที่ว่าบุคคลที่มีผิวสีอ่อนจะมีความงามและมีข้อได้เปรียบทางสังคมมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่มีผิวสีคล้ำ การวิเคราะห์ที่ดำเนินการโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยน็อทเวสเทิร์น (Northwestern University) ได้ทำการสำรวจโดยไม่ระบุตัวตนของผู้เข้าร่วมรับการสำรวจจำนวน 455 คนที่ระบุเพียงว่าตนเองเป็นคนผิวดำ คนเอเชีย ฮิสแปนิก ชนพื้นเมือง หรือคนหลายเชื้อชาติ โดยเน้นไปที่การใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวให้ขาวขึ้น การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าความเชื่อเรื่องสีผิวมีอิทธิพลต่อการยอมรับผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวดังกล่าวหรือไม่

ผู้เข้ารับการสำรวจ 80% เป็นเพศหญิง และ 21.3% รายงานระบุว่าได้ใช้สารที่ทำให้ผิวขาวในบางจุดของร่างกาย ในบรรดาผู้ที่ใช้สารเพิ่มความขาวให้กับผิวตนเองนั้น 73.2% ระบุว่าตนเองซื้อผลิตภัณฑ์มาเพื่อจัดการกับปัญหาผิวของตนเอง เช่น สิวหรือรอยดำ ในขณะที่ 26.8% ซื้อผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวมาเพื่อการใช้งานทั่วไป และมีเพียง 22.6% เท่านั้นที่มีการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์

ที่น่าตกใจคือในการวิจัยครั้งนี้พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมรับการสำรวจไม่ทราบว่าในผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวให้ขาวกระจ่างใสนั้นมีส่วนผสมของสารที่ออกฤทธิ์ นี่เป็นข้อกังวลที่สำคัญที่นักวิจัยเน้นย้ำ เนื่องจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการควบคุมซึ่งอาจมีสารอันตราย เช่น สารปรอท และสารออกฤทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรายงานพบบ่อยในผลิตภัณฑ์เหล่านี้คือ ไฮโดรควิโนน ซึ่งเชื่อมโยงและส่งผลกับปัญหาผิวต่างๆ เริ่มตั้งแต่ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสไปจนถึงโรคตา ซึ่งในปี พ.ศ. 2565 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกคำแนะนำเพื่อเตือนไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ปรับผิวขาวที่มีสาร “ไฮโดรควิโนน”

Posted on by — Leave a comment

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เกิด “ผิวหนังอักเสบ”

โรคผิวหนังอักเสบ เป็นภาวะผิดปกติทางผิวหนังที่พบได้ทั่วๆไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ผิวหนังอักเสบหลายประเภทจะมีลักษณะคล้ายกันคือ เป็นผื่นแดง มีอาการคัน และมีความรู้สึกไม่สบายตัว ถึงแม้ว่าผิวหนังอักเสบอาจไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเราได้ ดังนั้นการเข้าใจสาเหตุจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้เราจะมาดูเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการนำไปสู่การเกิดภาวะผิวหนังอักเสบ

ความบกพร่องทางพันธุกรรม:

ความบกพร่องทางพันธุกรรมของแต่ละบุคคลนั้นมีส่วนสำคัญต่อต่อโรคผิวหนัง บางคนอาจมีความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้เร็ว เช่น โรคผิวหนังภูมิแพ้ (กลาก) การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมบางอย่างอาจส่งผลต่อการทำงานของเกราะป้องกันผิว ทำให้ไวต่อสารระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นได้

เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม:

สารระคายเคือง: การสัมผัสกับสารระคายเคือง เช่น สารเคมีรุนแรง ผงซักฟอก สบู่ การได้รับสารเหล่านี้เป็นเวลานานอาจทำให้เกราะป้องกันของผิวหนังเสียหายและนำไปสู่การอักเสบได้

สารก่อภูมิแพ้: โรคผิวหนังอักเสบเกิดจากการสัมผัสที่เป็นผลมาจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันอ่อนแอต่อสารต่างๆ สำหรับบุคคลที่มีภูมิคุ้นกันอ่อนแอ เช่น ยาง นิกเกิล น้ำหอม และพืชบางชนิด การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จะกระตุ้นการตอบสนองต่อการอักเสบ ทำให้เกิดผื่นแดง คัน และบวม

อุณหภูมิและความชื้น: อุณหภูมิและความชื้นที่สูงเกินไปอาจทำให้ผิวหนังอักเสบบางประเภทรุนแรงขึ้นได้ เช่น ผิวหนังอักเสบจากไขมัน หรือสภาพอากาศที่เย็นและแห้งอาจทำให้ผิวหนังแห้งและระคายเคือง ในขณะที่สภาพอากาศที่ร้อนและชื้นอาจทำให้เกิดสภาวะต่างๆ ขึ้น เช่น เกิดภาวะการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น

ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน:

โรคผิวหนังยังสามารถเกิดได้จากความไม่สมดุลหรือความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคผิวหนังภูมิแพ้ที่เกี่ยวกับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันผิดปกติต่อสิ่งกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม การตอบสนองนี้สามารถนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังและความผิดปกติของเกราะป้องกันผิวหนัง

ปัจจัยด้านจุลินทรีย์:

โรคผิวหนังบางชนิดอาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อจุลินทรีย์:

การติดเชื้อแบคทีเรีย: อาจทำให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบได้ เนื่องจากแบคทีเรียที่เติบโตมากเกินไปบนผิวหนังอาจทำให้เกิดการอักเสบ รอยแดง และเกิดแผลพุพอง

การติดเชื้อรา: ผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อรา เช่น กลากเกลื้อนหรือผิวหนังอักเสบ (seborrheic) สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเชื้อราบางชนิดบนผิวหนังเพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งนำไปสู่การอักเสบและเกิดอาการคันได้

ปัจจัยด้านความเครียดและภาวะทางอารมณ์:

ความเครียดทางจิตใจและปัจจัยทางอารมณ์เชื่อมโยงกับอาการกำเริบของโรคผิวหนัง ความเครียดอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเปลี่ยนแปลงการทำงานของเกราะป้องกันผิวหนัง ซึ่งอาจกระตุ้นหรือทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึง การเกา ความวิตกกังวลและความเครียด สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองและอักเสบมากยิ่งขึ้น

ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน:

ความผันผวนของระดับฮอร์โมนอาจส่งผลต่อการนำไปสู่การเกิดโรคผิวหนังอักเสบได้ เช่น อาการผิวหนังอักเสบบริเวณรอบดวงตา ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งผลต่อใบหน้าด้วย อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น เกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือในสตรีวัยหมดประจำเดือน

ดังนั้น สาเหตุของโรคผิวหนังจึงมีหลายปัจจัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับความบกพร่องทางพันธุกรรม การกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล ปัจจัยด้านจุลินทรีย์ ความเครียด และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การรู้ถึงสาเหตุของโรคผิวหนังจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการแก้ไขและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยการจัดการกับปัจจัยดังกล่าวและใช้วิธีการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพผิวของตนเอง และลดผลกระทบจากโรคผิวหนังอักเสบที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่โดยรวม และหากเราสงสัยว่าเรามีภาวะโรคผิวหนังอักเสบหรือไม่ และเพื่อความปลอดภัยก็จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ด้านผิวหนังโดยตรง เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและเพื่อรับคำแนะนำในการรักษาเฉพาะแต่ละบุคคล

Posted on by — Leave a comment

Unraveling the Layers: Exploring the Causes of Dermatitis

Dermatitis, a common skin condition affecting millions of individuals worldwide, refers to a range of inflammatory skin disorders characterized by redness, itching, and discomfort. While dermatitis may not always be life-threatening, its impact on one’s quality of life can be significant. Understanding the causes of dermatitis is crucial for effective prevention, management, and treatment. This article delves into the various factors that contribute to the development of dermatitis.

  1. Genetic Predisposition:

A person’s genetic makeup plays a significant role in their susceptibility to dermatitis. Some individuals may have inherited a genetic predisposition that makes them more prone to developing certain types of dermatitis, such as atopic dermatitis (eczema). Research suggests that certain genetic mutations can affect the skin’s barrier function, making it more susceptible to environmental irritants and allergens.

  1. Environmental Factors:

External elements in our surroundings can trigger or exacerbate dermatitis symptoms. These include:

  • Irritants: Contact dermatitis often occurs when the skin comes into contact with irritants like harsh chemicals, detergents, soaps, or solvents. Prolonged exposure to these substances can compromise the skin’s protective barrier and lead to inflammation.
  • Allergens: Allergic contact dermatitis is the result of an immune reaction to substances such as latex, nickel, fragrances, and certain plants. In susceptible individuals, exposure to allergens triggers an inflammatory response, causing redness, itching, and swelling.
  • Temperature and Humidity: Extreme temperatures and humidity levels can exacerbate certain types of dermatitis, like seborrheic dermatitis. Cold, dry weather can lead to skin dryness and irritation, while hot and humid conditions can worsen conditions like fungal infections.
  1. Immune System Dysfunction:

Dermatitis can also stem from an imbalance or dysfunction of the immune system. Conditions such as atopic dermatitis involve an abnormal immune response to environmental triggers. This response can lead to chronic inflammation and skin barrier dysfunction, contributing to the development of dermatitis.

  1. Microbial Factors:

Certain types of dermatitis can arise from microbial infections:

  • Bacterial Infections: Conditions like impetigo can cause dermatitis symptoms, as bacterial overgrowth on the skin can lead to inflammation, redness, and blisters.
  • Fungal Infections: Dermatitis caused by fungal infections, such as ringworm or seborrheic dermatitis, can occur when specific fungi proliferate on the skin, leading to inflammation and itchiness.
  1. Stress and Emotional Factors:

Psychological stress and emotional factors have been linked to the exacerbation of dermatitis symptoms. Stress can weaken the immune system and alter the skin’s barrier function, potentially triggering or worsening dermatitis outbreaks. Additionally, scratching due to stress-induced anxiety can lead to further skin irritation and inflammation.

  1. Hormonal Changes:

Fluctuations in hormone levels can influence the development of dermatitis. Conditions like perioral dermatitis, which primarily affects the face, can be exacerbated by hormonal changes, such as those occurring during puberty, pregnancy, or menopause.

Conclusion

The causes of dermatitis are multifaceted, involving genetic predisposition, environmental triggers, immune system dysfunction, microbial factors, stress, and hormonal changes. Identifying the underlying causes of dermatitis is crucial for effective management and treatment. By addressing these factors and adopting appropriate preventive measures, individuals can take control of their skin health and minimize the impact of dermatitis on their overall well-being. If you suspect you have dermatitis, it is essential to consult a dermatologist for accurate diagnosis and personalized treatment recommendations.

Posted on by — Leave a comment

ผลการวิจัยเผยว่าผ้าพันแขนสำหรับวัดความดันโลหิตที่ใช้ขนาดเดียวกับทุกๆคนนั้นไม่ถูกต้องอย่างมาก

ผ้าพันแขนวัดความดันโลหิตที่มีขนาดไม่เหมาะสมอาจทำให้ค่าความดันโลหิตที่อ่านได้จากอุปกรณ์อัตโนมัติผิดเพี้ยนไปอย่างมาก ดังที่เห็นได้จากการทดลองทางคลินิกเมื่อเร็วๆ นี้ ผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตสารเจเมอินเตอร์นอลเมดิซีน(JAMA Internal Medicine) เปิดเผยว่า การใช้ผ้าพันแขนขนาดมาตรฐานทั่วไปแทนผ้าพันแขนที่เหมาะกับรอบวงแขนของแต่ละบุคคลนั้น ส่งผลให้ค่าที่อ่านได้ “ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องใช้ผ้าพันแขนขนาดใหญ่ คลินิกหลายแห่งใช้ผ้าพันแขนเพียงขนาดเดียวที่เหมาะกับทุกๆคนเนื่องจากเพื่อความสะดวกในการตรวจวัด   ซึ่งอาจนำไปสู่การอ่านค่าที่คลาดเคลื่อนได้ ส่งผลต่อการตรวจสอบและการรักษาภาวะโรคหัวใจ การวิจัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ผ้าพันแขนที่มีขนาดถูกต้องในแต่ละบุคคลเพื่อให้แน่ใจว่าการวัดความดันโลหิตมีความแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่มีทรัพยากรจำกัดหรือการตรวจวัดความดันโลหิตภายในบ้าน  จากการทดลองในบัลติมอร์พบว่าการใช้ขนาดผ้าพันแขนที่ไม่ถูกต้องส่งผลให้ค่าความดันโลหิตสูงหรือต่ำเกินจริง โดยไม่ได้สะท้อนถึงความดันโลหิตที่แท้จริงหรือสภาวะโรคอ้วนของบุคคลนั้นๆ

Posted on by — Leave a comment

Study Reveals “One-Size-Fits-All” Blood Pressure Cuffs Highly Inaccurate

Improperly sized blood pressure cuffs can significantly distort blood pressure readings obtained from automated devices, as highlighted by a recent clinical trial. The study, published in JAMA Internal Medicine, revealed that using standard-sized cuffs instead of cuffs suited to a person’s arm circumference led to “strikingly inaccurate” readings, particularly for those requiring larger cuffs. Many clinics use a one-size-fits-all approach due to convenience, potentially leading to skewed readings that affect the monitoring and treatment of heart conditions. The research emphasized the importance of using correctly sized cuffs to ensure accurate blood pressure measurements, especially in settings with limited resources or at-home monitoring. The trial involved participants in Baltimore and found that using the wrong cuff size resulted in either artificially high or falsely low blood pressure readings, regardless of a person’s existing blood pressure or obesity status.

Dr. Georges Benjamin’s surprise arose when his pre-cataract surgery vitals revealed a sudden spike in his blood pressure. However, a subsequent recheck using the blood pressure machine and his own at-home measurement brought his levels back to an acceptable range. This disparity, it emerged, was unrelated to his heart health. The initial small-sized blood pressure cuff used at the hospital was only replaced upon his request. As a self-described “big guy” and the executive director of the American Public Health Association, Benjamin’s skewed readings were attributed to the undersized cuff.

A recent clinical trial sheds light on the significant impact of incorrectly sized blood pressure cuffs on automated blood pressure devices. Published in the JAMA Internal Medicine journal, the study revealed that utilizing standard-sized cuffs yielded “strikingly inaccurate” readings for patients requiring differently sized cuffs, particularly those needing larger ones. These automated blood pressure devices are widely employed for diagnosing hypertension, a major contributor to global heart disease.

Despite clinical guidelines advocating cuff sizes corresponding to a person’s arm circumference, the prevalence of employing only regular-sized cuffs is noticeable. Health care providers often hesitate to switch cuff sizes due to inconvenience, potentially leaving patients with inaccurate readings. The scarcity of appropriate-sized cuffs, malfunctioning equipment, and a lack of attention to detail contribute to this issue.

Even in community health centers and resource-limited clinics, only regular-sized cuffs may be available, and many at-home blood pressure monitors offer just one cuff size. This one-size-fits-all approach distorts blood pressure measurements, impeding accurate monitoring and treatment of heart conditions.

Dr. Tammy Brady, an associate professor of pediatrics at Johns Hopkins University and a study author, expressed concern about children referred for hypertension assessment, often measured with improperly sized cuffs. Her experience revealed significantly lower blood pressure measurements compared to referral values.

In the randomized trial involving 195 participants in Baltimore, appropriately-sized cuffs were selected based on arm measurements. After a brief period of walking, blood pressure readings were taken using three different cuff sizes: regular, fitted, and improperly sized. The study found that using a regular cuff on patients requiring smaller cuffs resulted in consistently low readings, while those needing larger cuffs received erroneously high readings, with larger errors than those needing smaller cuffs.

In essence, using a cuff smaller than recommended led to artificially high blood pressure readings, while larger cuffs yielded falsely low readings. These inaccuracies were consistent regardless of a person’s existing blood pressure or obesity status, according to the report.

Posted on by — Leave a comment

How Walking Impacts Health: Stepping Towards Wellness

Watch the clip

Walking, a seemingly mundane activity, holds remarkable potential when it comes to improving and maintaining our health. From boosting cardiovascular fitness to enhancing mental well-being, the benefits of walking are both scientifically proven and easily accessible to individuals of all ages and fitness levels. In this article, we delve into the various ways walking affects health and why it should be considered a cornerstone of a healthy lifestyle.

Continue reading How Walking Impacts Health: Stepping Towards Wellness
Posted on by — Leave a comment

Researchers use tickling to study brain activity during playful behavior in rats.

Dr. Michael Brecht and his team at Humboldt University in Berlin conducted a study to explore the neuroscience behind playful behavior in rats. Playful behavior is observed in various species, including mammals, birds, fish, and reptiles, and it often involves features such as vocalizations and rewards. The researchers focused on a brain region called the periaqueductal gray (PAG) and found that it is active both during play and when rats are tickled, which is analogous to laughter. Inhibiting activity in the PAG reduced the rats’ inclination to play and laugh when tickled.

The study suggests a strong connection between playfulness and ticklishness in rats, highlighting the importance of play as an evolutionarily significant behavior. Dr. Alexa Veenema, an associate professor of behavioral neuroscience, praised the study’s clever design in simulating social play-related laughter among rats. Both Veenema and Brecht hope the research encourages people to appreciate the value of play for social functioning and well-being across different ages, emphasizing the importance of incorporating playful behavior into daily life.

Posted on by — Leave a comment

A fortuitous finding contributes to the battle against malaria.

Researchers have stumbled upon a naturally occurring strain of bacteria that has the potential to halt the transmission of malaria from mosquitoes to humans. This chance discovery emerged when a group of mosquitoes failed to develop the malaria parasite during an experiment. The bacteria, if proven effective and safe through ongoing real-world trials, could offer a new avenue for combating malaria, a longstanding global health challenge claiming around 600,000 lives annually. Scientists at a Spanish research facility, under GSK pharmaceutical company’s auspices, observed a decline in infection rates among mosquitoes over time, leading them to investigate further. Frozen samples from their initial experiment in 2014 were revisited two years later to delve into the underlying mechanisms.

A naturally occurring bacteria strain, TC1, has been identified as a potent inhibitor of malaria parasite development within mosquitoes. This bacteria has the ability to persist throughout a mosquito’s entire lifespan once it colonizes the insect’s gut. Researchers have found that TC1 significantly reduces malaria transmission by secreting a molecule called harmane, which impedes the early stages of parasite growth in the mosquito’s digestive system. The results, published in Science magazine, indicate that the bacteria can lower the mosquito’s parasite load by up to 73%. Collaborating with Johns Hopkins University, scientists from GSK have further determined that harmane can be administered either orally when mixed with sugar, or absorbed through the mosquito’s cuticle upon contact. This discovery opens up the potential for treating resting areas with the active compound, offering a novel approach to curbing malaria transmission.

Posted on by — Leave a comment

According to the CDC, cases of Alpha-gal syndrome, a meat allergy linked to tick bites, are increasing.

Researchers report that the incidence of a rare meat allergy caused by tick bites is on the rise among Americans and may have already affected up to 450,000 individuals. According to new data released by the Centers for Disease Control and Prevention (CDC), there has been a significant surge in cases of alpha-gal syndrome, an allergy that can lead to potentially life-threatening reactions to various types of meat and animal products.

US scientists have identified the source of this allergy as saliva from the lone star tick, recognizable by the white spot on its back, primarily found in the southern and eastern regions of the US. Climate change is causing the tick’s range to expand, posing a greater risk to individuals.

Bites from the lone star tick can result in illness when consuming certain meat and animal products derived from mammals. The list of foods that can trigger reactions in individuals with alpha-gal syndrome includes pork, beef, rabbit, lamb, venison, gelatine, milk, some dairy products, and specific pharmaceuticals.

Symptoms of this syndrome can vary from person to person and may manifest as stomach cramps, diarrhea, hives, and shortness of breath, potentially leading to fatal anaphylaxis. The severity of reactions can range from mild to severe or even life-threatening, requiring urgent medical attention.

The CDC notes that not everyone will experience an allergic reaction after every exposure to alpha-gal, which further complicates the understanding and management of this condition. Detecting symptoms of meat allergies can be quite challenging due to the slow digestion of meat in the body. The CDC reports over 110,000 cases detected since 2010, with an annual increase of approximately 15,000 cases from 2017 to 2021.

Given the diagnostic difficulties, the CDC estimates that up to 450,000 Americans may have developed meat allergies related to alpha-gal. A recent survey conducted among 1,500 doctors and health workers revealed that 42% of them were unaware of the syndrome. In the same survey, released by the CDC on Thursday, about one-third of the respondents expressed “not too confident” in their ability to identify the disease, while only 5% felt “very confident.”

The syndrome’s accidental discovery occurred in 2008 during drug testing for cancer treatment by US researchers. In addition to the lone star tick causing meat allergies in the US, the Ixodes holocyclus, also known as the paralysis tick, has caused similar allergies in the Sydney region of Australia. Experts emphasize the importance of covering up while outdoors and regularly checking for tick bites, as ticks can transmit various dangerous illnesses, including Lyme disease, with warmer months being the most common time for tick activity.

To protect against ticks, the CDC advises using insect repellents containing DEET or pre-treating clothing with permethrin when spending time outdoors.