Posted on

🧒🏻 “Nirsevimab” (เนียร์-เซ-วี-แมบ) เป็น แอนติบอดีสำเร็จรูปชนิดออกฤทธิ์ยาว-ช่วยลดการนอนโรงพยาบาลจาก RSV ในทารกอย่างมีนัยสำคัญ – ผลวิจัยใหม่ยืนยัน

🧬 Nirsevimab คืออะไร?

Nirsevimab (เนียร์-เซ-วี-แมบ) เป็น แอนติบอดีสำเร็จรูปชนิดออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Monoclonal Antibody) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อ ป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ในเด็กทารกและเด็กเล็ก

  • ไม่ใช่วัคซีน
  • เป็น “ภูมิคุ้มกันแบบพร้อมใช้” ที่ให้ฤทธิ์ยาวหลายเดือน
  • ออกแบบมาเพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบและหลอดลมอักเสบจาก RSV

องค์ประกอบของยาเป็นแอนติบอดีทำขึ้นในห้องปฏิบัติการที่เลียนแบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ทำให้สามารถ “จับและยับยั้งไวรัส” ได้ทันทีหลังฉีด โดยไม่ต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิเองเหมือนวัคซีน

การติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง (Lower Respiratory Tract Infection) เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กทารกทั่วโลกต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในกลุ่มทารกคลอดก่อนกำหนดหรือทารกที่มีพี่น้องซึ่งอาจเป็นพาหะนำเชื้อเข้าบ้าน
งานวิจัยใหม่จากประเทศอิตาลีซึ่งเผยแพร่ในวารสาร JAMA Network Open พบว่า การให้ภูมิคุ้มกัน Nirsevimab ในทารกอย่างครอบคลุม สามารถลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจาก RSV ได้อย่างชัดเจน และยังช่วยลดความรุนแรงของโรคในกลุ่มที่ติดเชื้อแล้วอีกด้วย


🎯 ข้อค้นพบหลักของงานวิจัย

งานวิจัยนี้รวบรวมข้อมูลจากทารก 13,624 คน จากโรงพยาบาลทารก 5 แห่งในอิตาลี โดยเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างสองฤดูกาล RSV คือ

  • ฤดูกาล 2023–2024 (ก่อนใช้ Nirsevimab)
  • ฤดูกาล 2024–2025 (หลังเริ่มใช้ Nirsevimab)

ผลที่พบ ได้แก่

  • อัตราการได้รับ Nirsevimab ในฤดูกาลหลังอยู่ที่ 79.2%
  • จำนวนทารกที่นอนโรงพยาบาลจาก RSV ลดลงจาก
    • 220 ราย (75.3%) → เหลือ 72 ราย (24.7%) หลังใช้ Nirsevimab
  • ความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลจาก RSV ลดลงถึง 68%
    (Hazard Ratio = 0.32; 95% CI 0.25–0.44)

ข้อมูลสำคัญอื่น ๆ

  • ทารกคลอดก่อนกำหนด (preterm) และทารกที่อาศัยร่วมกับพี่น้องยังคงเป็น กลุ่มเสี่ยงสูง แม้ได้รับภูมิคุ้มกันแล้ว
  • ทารกที่ได้รับ Nirsevimab และติดเชื้อ RSV พบว่า ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแบบ High-Flow Nasal Cannula (HFNC) น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับภูมิคุ้มกัน

🧩 ทำไมผลวิจัยนี้จึงมีความสำคัญ

ผลการศึกษานี้เป็นหลักฐานสำคัญว่าการใช้ Nirsevimab ในวงกว้าง ช่วยลดการนอนโรงพยาบาลจาก RSV ได้จริงในสถานการณ์โลกจริง ไม่ใช่เฉพาะในการทดลองทางคลินิก

ประโยชน์ที่เกิดขึ้น ได้แก่

  • ลดภาระงานของโรงพยาบาลในฤดูกาล RSV
  • ลดความรุนแรงของโรคในทารกที่ติดเชื้อ
  • สนับสนุนให้มีกลยุทธ์ป้องกันโรคในทารกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แม้ผลลัพธ์จะดีมาก แต่ยังชี้ให้เห็นว่า ไม่สามารถพึ่งภูมิคุ้มกันเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างทารกคลอดก่อนกำหนดหรือทารกที่มีพี่น้องซึ่งอาจแพร่เชื้อในบ้านได้


⚠️ ข้อจำกัดของงานวิจัย

แม้ผลลัพธ์จะน่าสนใจ แต่ผู้วิจัยระบุข้อจำกัดที่ควรพิจารณา ได้แก่:

  • งานวิจัยครอบคลุมเพียง 2 ฤดูกาล RSV จึงยังไม่สามารถประเมินผลระยะยาวได้เต็มที่
  • มีปัจจัยรบกวนหลายประการ เช่น ความเป็นอยู่ของครอบครัว พฤติกรรมผู้ปกครอง หรือการเข้าถึงบริการสุขภาพ ซึ่งอาจมีผลต่อตัวเลขจริง
  • แม้ Nirsevimab จะช่วยลดอัตรานอนโรงพยาบาลและลดการใช้ HFNC แต่ยัง ไม่พบผลลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลหรืออัตราเข้าหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) อย่างมีนัยสำคัญ

🌍 ความหมายของผลวิจัยนี้ต่อประเทศไทย

ประเทศไทยเองมีปัจจัยคล้ายกับอิตาลีหลายด้าน เช่น อัตราทารกคลอดก่อนกำหนดและจำนวนสมาชิกในบ้านที่อยู่อาศัยร่วมกันหลายคน ทำให้การแพร่เชื้อ RSV ภายในครอบครัวเกิดขึ้นได้ง่าย

ผลการศึกษานี้จึงบอกเราว่า หากประเทศไทยนำภูมิคุ้มกันแบบ Nirsevimab หรือเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงมาใช้ในวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง อาจช่วยลดจำนวนผู้ป่วยและลดภาระต่อระบบสาธารณสุขได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนนำมาใช้จริง จำเป็นต้องพิจารณา:

  • ความคุ้มค่าด้านงบประมาณ
  • ความพร้อมของระบบสาธารณสุข
  • ความรู้และการรับรู้ของผู้ปกครอง
  • แนวทางป้องกันเสริมอื่น ๆ เช่น การให้วัคซีนในสตรีตั้งครรภ์ การลดการแพร่เชื้อในบ้าน

⚠️ หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ด้านสาธารณสุขและนำเสนอผลการวิจัยทางการแพทย์จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล หากผู้อ่านมีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของบุตรหลาน โดยเฉพาะทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกที่มีโรคประจำตัว หรือสงสัยว่ามีอาการติดเชื้อ RSV ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่ดูแลอยู่โดยตรง

การใช้ยา วัคซีน หรือภูมิคุ้มกันทุกชนิด—including Nirsevimab—ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น เนื่องจากประสิทธิภาพ ความเหมาะสม และความปลอดภัยอาจแตกต่างกันตามสภาพร่างกายของเด็กแต่ละคนและบริบททางสาธารณสุขของแต่ละพื้นที่

เว็บไซต์นี้ไม่รับผิดชอบต่อผลกระทบใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลไปใช้โดยปราศจากคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ทั้งนี้ ผู้อ่านควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขที่น่าเชื่อถือ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมอนามัย องค์การอนามัยโลก (WHO) หรือแพทย์ผู้ดูแลของท่านเป็นสำคัญ

✅ สรุป

งานวิจัยนี้ยืนยันว่า Nirsevimab เป็นภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพในการลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจาก RSV ในทารก ทั้งยังลดความรุนแรงของอาการในผู้ติดเชื้อได้จริง อย่างไรก็ตาม การดูแลกลุ่มเสี่ยงยังคงต้องทำควบคู่ไปด้วย และการนำแนวทางนี้มาใช้ในประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายด้านอย่างรอบคอบ


📚 แหล่งอ้างอิง

Cocchi E, Bloise S, Lorefice A, et al. Nirsevimab Prophylaxis and Respiratory Syncytial Virus Hospitalizations Among Infants.
JAMA Network Open. 2025;8(11):e2544679.
doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.44679