
งานวิจัยใหม่เผยว่า ผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง (cancer survivors) มีแนวโน้มที่จะใช้ ยารักษาซึมเศร้า (antidepressants) และ ยาคลายความวิตกกังวล (anxiolytics) มากกว่าประชากรทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติและสภาพสังคมในการเข้าถึงยาเหล่านี้ JAMA Network
🧠 ที่มาของการศึกษา
- งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบ cross-sectional อาศัยข้อมูลจาก National Health Interview Survey (NHIS) ในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี 2016–2018 JAMA Network
- ผู้ตอบแบบสอบถามรวมทั้งหมด 53,117 คน โดยแบ่งเป็นผู้ที่ไม่มีประวัติมะเร็งจำนวน 48,026 คน และผู้ที่มีประวัติมะเร็ง 5,091 คน JAMA Network
- หนึ่งในวัตถุประสงค์สำคัญคือการเปรียบเทียบอัตราการใช้ยาซึมเศร้าและยาคลายความวิตกกังวลระหว่างผู้ที่เคยป่วยมะเร็งกับคนทั่วไป และศึกษาปัจจัยทางสังคม เช่น เชื้อชาติ เพศ อายุ รายได้ ประกันสุขภาพ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง JAMA Network
🔍 ผลลัพธ์สำคัญ
1️⃣ ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งใช้ยาซึมเศร้าและยาคลายความวิตกกังวลมากกว่า
- ผู้ที่มีประวัติมะเร็งมีโอกาสใช้ antidepressants มากกว่ากลุ่มที่ไม่มีมะเร็ง (อัตราส่วนปรับแล้ว aOR = 1.32; 95% CI: 1.18–1.49) JAMA Network
- สำหรับ anxiolytics ผลการวิเคราะห์ปรับแล้วพบว่ามีโอกาสใช้งานได้สูงขึ้น (aOR = 1.38; 95% CI: 1.23–1.54) JAMA Network
2️⃣ ความแตกต่างตามเชื้อชาติ: ชาว Black ใช้ยาน้อยกว่าวงอื่น
- ภายในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง พบว่า ผู้ที่ไม่ใช่เชื้อชาติ Hispanic Black (non-Hispanic Black) มีโอกาสใช้ยาซึมเศร้า (aOR = 0.60; 95% CI: 0.39–0.91) และยาคลายความวิตกกังวล (aOR = 0.63; 95% CI: 0.42–0.94) ต่ำกว่าผู้รอดชีวิตเชื้อชาติ White JAMA Network
3️⃣ ปัจจัยสังคมอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการใช้ยา
- ผู้มีประกันสุขภาพประเภท Medicare หรือ Medicaid มีแนวโน้มใช้ยาคลายความวิตกกังวลสูงกว่าผู้ที่มีประกันแบบเอกชน JAMA Network
- ผู้ที่ไม่แต่งงาน มีโอกาสใช้ยาได้มากกว่าผู้แต่งงาน ซึ่งอาจสื่อถึงบทบาทของ เครือข่ายสนับสนุนทางสังคม (social support) ต่อสุขภาพจิตของผู้รอดชีวิต JAMA Network+1
- ประเภทของมะเร็งก็มีความสัมพันธ์ด้วย เช่น ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งสมองหรือมะเร็งตับอ่อน มีโอกาสใช้ยาซึมเศร้าหรือยาคลายความวิตกกังวลมากกว่าผู้เคยเป็นมะเร็งเต้านม (อ้างอิงผลวิเคราะห์ภายในกลุ่มผู้รอดชีวิต) JAMA Network
💬 ข้อวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ
งานวิจัยนี้ย้ำให้เห็นว่า ปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล นับเป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการดูแลในผู้ที่เคยป่วยมะเร็ง แม้ผลการรักษาเนื้องอกจะสำคัญ แต่ “คุณภาพชีวิตจิตใจ” ก็ถือเป็นองค์ประกอบไม่อาจมองข้ามได้
การที่พบความแตกต่างในการใช้ยาตามเชื้อชาติ ประกันสุขภาพ หรือสถานะสมรส แปลว่าอาจมี อุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต ของผู้รอดชีวิตจากมะเร็งบางกลุ่ม เช่น ความไม่ไว้ใจระบบสาธารณสุข ปัญหาการเข้าถึงบริการ หรืออคติต่อสุขภาพจิตในบางชุมชน
ผู้เขียนบทความแนะนำให้ระบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง (oncology care) ให้ความสำคัญในการประเมินสุขภาพจิตควบคู่กับการรักษา ชี้ทางให้ผู้รอดชีวิตสามารถรับคำปรึกษา และเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่อาจถูกละเลยตามสถานะทางสังคม
⚠️ หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์
ข้อมูลในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อ ให้ความรู้ทั่วไปด้านสุขภาพจิตและวิทยาศาสตร์การแพทย์ เท่านั้น มิได้นำมาแทนคำปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิตใด ๆ ผู้ที่มีอาการทางจิตใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเคยป่วยมะเร็ง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนนำข้อมูลไปใช้ ผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันตามปัจจัยสุขภาพ ภูมิหลัง และการดูแลเฉพาะราย
📚 แหล่งอ้างอิง
Miro-Rivera D, Norris RA, Osazuwa-Peters OL, Hurst JH, Barnes JM, Osazuwa-Peters N. Differential Use of Depression and Anxiety Medications in Adults With a History of Cancer. JAMA Network Open. Published Online: August 19, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.27585 JAMA Network
แหล่งที่มา: JAMA Network Open