วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 vaccine) เวอร์ชันล่าสุดสำหรับฤดูกาล 2023–2024 ซึ่งพัฒนาโดยใช้สายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน (Omicron) คือ XBB.1.5 เป็นองค์ประกอบหลัก พบว่ามีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะอาการเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต (intensive care unit: ICU) หรือมีการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2025 ระบุว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนมีแนวโน้มลดลงตามระยะเวลาหลังการฉีดวัคซีน
ประสิทธิภาพวัคซีนลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
การศึกษานี้เป็นการวิเคราะห์แบบกรณีควบคุม (case-control) โดยใช้ข้อมูลจากระบบการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งหมดกว่า 457,000 รายการ ได้แก่:
- 345,955 รายการ จากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉิน (emergency department: ED) และคลินิกเร่งด่วน (urgent care: UC)
- 111,931 รายการ จากผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล (hospital)
ผู้เข้าร่วมการศึกษาทุกคนมีอาการที่เข้าเกณฑ์ของโรคโควิด-19 และได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (laboratory testing) เช่น การตรวจพีซีอาร์ (polymerase chain reaction: PCR) หรือแอนติเจน (antigen) เพื่อยืนยันผล
ผลการวิจัยพบว่า หลังจากฉีดวัคซีน 7 ถึง 299 วัน:
- วัคซีนมีประสิทธิภาพ 29% ในการป้องกันการเข้ารักษาใน ED และ UC
- มีประสิทธิภาพ 30% ในการป้องกันการนอนโรงพยาบาล
- และมีประสิทธิภาพ 48% ในการป้องกันอาการรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19
ช่วงเวลาทอง: 7–59 วันแรกหลังการฉีด
ในช่วง 7–59 วันแรกหลังได้รับวัคซีน:
- ประสิทธิภาพในการป้องกันการรักษาใน ED และ UC อยู่ที่ 49%
- ป้องกันการนอนโรงพยาบาลที่ 51%
- และป้องกันอาการรุนแรงได้สูงถึง 68%
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไป 180–299 วัน:
- ประสิทธิภาพลดลงจนถึงขั้นติดลบ โดยเฉพาะการป้องกันการเข้ารักษาใน ED และ UC ที่เหลือ -7%
- การป้องกันการนอนโรงพยาบาลลดลงเหลือ -4%
- การป้องกันอาการรุนแรงยังคงมีอยู่ที่ 16% แม้ว่าจะลดลงจากช่วงแรก
อิทธิพลของสายพันธุ์ไวรัสที่เปลี่ยนแปลง
งานวิจัยชี้ว่าช่วงเวลาที่ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 เป็นสายพันธุ์หลัก (variant predominance) วัคซีนให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงที่ JN.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลัก เนื่องจากวัคซีนในฤดูกาลนั้นพัฒนามาเพื่อรับมือกับ XBB.1.5 โดยเฉพาะ ซึ่งมีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมมากกว่า (genetic match)
กลุ่มเสี่ยงควรได้รับวัคซีนเสริม (booster dose)
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Advisory Committee on Immunization Practices: ACIP) ของศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) ได้แนะนำให้ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปรับวัคซีนเข็มเสริมเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเมื่อมีอัตราการลดลงของประสิทธิภาพวัคซีนที่ชัดเจนในช่วงเวลาหลังการฉีด 4–6 เดือน
ข้อสังเกต: ภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อมาก่อน (infection-induced immunity)
การศึกษานี้ไม่ได้ควบคุมตัวแปรเรื่องภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อในอดีต ซึ่งพบว่า:
- ผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกามีระดับแอนติบอดี (antibody) สูงในช่วงก่อนฤดูกาลฉีดวัคซีน
- ผู้ที่อายุ 16–49 ปีมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อสูงถึง 89%
- กลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่า คือ 72%
ดังนั้น กลุ่มผู้สูงอายุจึงได้รับประโยชน์จากวัคซีนมากกว่า เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันพื้นฐานต่ำกว่ากลุ่มวัยอื่น
สรุปและข้อเสนอแนะ
วัคซีนโควิด-19 ฤดูกาล 2023–2024 ช่วยลดอัตราการเข้ารักษาและความรุนแรงของโรคในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกหลังการฉีด แม้ว่าประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป การศึกษานี้สนับสนุนคำแนะนำให้ผู้ใหญ่ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว ควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับฤดูกาล 2024–2025 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันและลดภาระการรักษาในระบบสาธารณสุข.
แหล่งอ้างอิง:
Link-Gelles R, et al. Estimated 2023–2024 COVID-19 Vaccine Effectiveness in Adults. JAMA Network Open. 2025; Published June 25, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.17402
