Posted on

เพิ่มน้ำหนักวัยเด็ก ช่วยให้สูงขึ้น ไม่เสี่ยงอ้วนหรือความดันสูง งานวิจัยจากมาลีเผย

มาลี, แอฟริกาตะวันตก – งานวิจัยติดตามกลุ่มเด็กในประเทศมาลีนานกว่า 20 ปี พบว่า เด็กที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในวัยเด็กเล็ก มีแนวโน้มจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สูงขึ้น โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูงมากนัก

การศึกษาครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1998 โดยนักวิจัยได้ติดตามเด็กกว่า 1,300 คนในหมู่บ้านชนบทของประเทศมาลี ตั้งแต่อายุประมาณ 1 ขวบ จนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยวัดส่วนสูง น้ำหนัก และความดันโลหิตอย่างต่อเนื่อง

เด็กที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า หากเด็กมีน้ำหนักมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงอายุ 1–10 ปี จะมีแนวโน้มสูงขึ้นเฉลี่ย 3–4 เซนติเมตรเมื่ออายุประมาณ 21 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มที่เคยมีปัญหาขาดสารอาหารหรือแคระแกร็น

ความเสี่ยงโรคอ้วนและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

แม้ว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าความดันโลหิตและค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงขึ้นเล็กน้อยในวัยผู้ใหญ่ แต่ผลกระทบโดยรวมถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประโยชน์จากการมีรูปร่างที่สูงขึ้น เช่น ลดความเสี่ยงการคลอดติดขัดในเพศหญิง และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาหรือรายได้ในเพศชาย

ผู้วิจัยแนะควรส่งเสริมโภชนาการเด็กแม้พ้นวัย 2 ขวบ

โดยทั่วไป มาตรการด้านสาธารณสุขมักให้ความสำคัญกับโภชนาการในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต (ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 2 ขวบ) แต่การศึกษานี้ชี้ว่า การดูแลโภชนาการหลังวัย 2 ขวบก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังมีเด็กแคระแกร็นจำนวนมาก

ผลสะท้อนนโยบายในประเทศยากจน

งานวิจัยนี้มีนัยสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยเสนอว่าการให้โอกาสเด็กได้รับโภชนาการเพียงพอ แม้จะเพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย ก็อาจช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างมีศักยภาพและสุขภาพดีในระยะยาว.

แหล่งที่มา
Strassmann BI, Amankwaa A, Osei A, et al. Risks and Benefits of Weight Gain in Children With Undernutrition. JAMA Network Open. 2025;6(6):e2514289. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.14289

Posted on

เปิดผลวิจัยชิ้นใหม่! โควิดทำเด็กสุขภาพแย่ลง แต่ไม่ใช่เพราะออนไลน์

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เด็ก ๆ ทั่วโลกต้องเรียนออนไลน์ อยู่บ้าน และใช้ชีวิตแบบจำกัดการเคลื่อนไหวมากขึ้น ซึ่งหลายคนสงสัยว่าแบบเรียนออนไลน์นี่แหละตัวร้ายที่ทำให้เด็กไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

แต่ผลการวิจัยล่าสุดจากสหรัฐฯ ที่วิเคราะห์ข้อมูลจากนักเรียนกว่า 150,000 คนใน 264 โรงเรียนกลับพบว่า เด็กฟิตน้อยลงจริงในช่วงโควิด-19 แต่ไม่ใช่เพราะเรียนออนไลน์!

เด็กออกกำลังกายน้อยลง จนร่างกายไม่ฟิต

ผลวิจัยระบุว่า ระหว่างช่วงโควิด-19 เด็กมีแนวโน้ม “ไม่ผ่านเกณฑ์ความฟิต” ทั้งในด้าน

  • สมรรถภาพหัวใจและปอด (Cardiorespiratory Fitness: CRF)
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal Fitness: MSF)

เด็กผู้หญิงมีค่าความฟิตลดลงเฉลี่ย 0.55 mL/kg/min ส่วนเด็กผู้ชายลดลงมากกว่านั้น คือ 0.86 mL/kg/min ซึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงระดับความสามารถในการออกแรงต่อเนื่อง

ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ไม่ฟิต แต่คือการ “ไม่ได้ขยับตัว”

สิ่งที่น่าสนใจคือ โรงเรียนที่ให้เด็กเรียนออนไลน์หรือเรียนแบบสลับ (hybrid) นานกว่า 15 สัปดาห์ กลับมีสัดส่วนเด็กที่ “ผ่านเกณฑ์ความฟิต” สูงกว่าโรงเรียนที่เรียนออนไลน์ในระยะสั้น

นักวิจัยเชื่อว่า ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ร่างกายเด็กแย่ลง แต่เป็นเพราะช่วงโควิดนั้น เด็กถูกห้ามเล่นกีฬา ไม่ได้เข้าสังคม ไม่มีกิจกรรมกลางแจ้ง และไม่มีโอกาสได้ขยับร่างกายตามปกติ

ฟิตน้อยลง อ้วนมากขึ้น เครียดง่ายขึ้น

เมื่อเด็กไม่ได้ออกกำลังกาย ผลที่ตามมาคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีโอกาสเกิดโรคอ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว

ไม่เพียงแค่นั้น การเคลื่อนไหวน้อยยังส่งผลต่อ สุขภาพจิต เด็กด้วย เช่น อาการเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง

ข้อเสนอจากงานวิจัย: ต้องมีแผนดูแลสุขภาพเด็กในยามวิกฤติ

นักวิจัยเสนอว่า หากในอนาคตเกิดวิกฤติเช่นโรคระบาดหรือภัยธรรมชาติอีก ผู้ปกครอง ครู และผู้กำหนดนโยบายควรมีแผนรับมือเพื่อช่วยให้เด็กยังสามารถรักษาความฟิตได้ เช่น:

  • การจัดคลาสออกกำลังกายออนไลน์
  • กิจกรรมออกกำลังกายที่ทำในบ้านได้
  • สนับสนุนการเล่นกีฬาในครอบครัว

สรุป

โควิด-19 ไม่ได้แค่กระทบการเรียนของเด็ก แต่ยังทำให้สุขภาพร่างกายของพวกเขาถดถอยอย่างชัดเจน เราไม่ควรมองข้ามเรื่องความฟิตของเด็กในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน การออกกำลังกายไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น และเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ.


แหล่งที่มา:
Pavlovic A, et al. Longitudinal Outcomes of the COVID-19 Pandemic on Youth Physical Fitness. JAMA Network Open. Published June 4, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.13721

Posted on

งานวิจัยชี้: โซเชียลมีเดียอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นอาการซึมเศร้าในวัยรุ่น

(ภาพประกอบ)

การใช้โซเชียลมีเดียในหมู่เยาวชนกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาวะสุขภาพจิตของวัยรุ่นเข้าสู่ภาวะวิกฤต ล่าสุด งานวิจัยขนาดใหญ่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2025 ได้แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การเพิ่มเวลาการใช้โซเชียลมีเดียในช่วงวัยเด็กตอนต้น (early adolescence) มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของอาการซึมเศร้าในปีต่อมา ในขณะที่อาการซึมเศร้าในช่วงเวลาก่อนหน้าไม่สัมพันธ์กับการใช้โซเชียลที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง

🔍 รายละเอียดของงานวิจัย

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากโครงการวิจัยขนาดใหญ่ Adolescent Brain Cognitive Development (ABCD) Study ที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างเด็กและวัยรุ่นจำนวน 11,876 คน อายุ 9-10 ปี จากทั่วสหรัฐอเมริกา เป็นระยะเวลา 4 ปี (2016–2022)

นักวิจัยประเมินการใช้โซเชียลมีเดียจากการรายงานด้วยตนเอง และใช้แบบประเมิน Child Behavior Checklist เพื่อวัดระดับอาการซึมเศร้าในเด็ก โดยวิเคราะห์ข้อมูลแบบ cross-lagged panel model ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในช่วงเวลาที่แตกต่างกันได้อย่างแม่นยำ และควบคุมปัจจัยแปรปรวนส่วนบุคคล เช่น เพศ รายได้ครัวเรือน และระดับการศึกษาของผู้ปกครอง

📈 ผลลัพธ์สำคัญ

  • การใช้โซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ 1 และ 2 มีความสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้นในปีถัดไป
    • ปี 1 → ปี 2: β = 0.07; p = .01
    • ปี 2 → ปี 3: β = 0.09; p < .001
  • ไม่พบความสัมพันธ์ในทางกลับกัน (อาการซึมเศร้าไม่ทำนายการใช้โซเชียลที่เพิ่มขึ้น)
  • ไม่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างบุคคล (between-person differences) นั่นคือ เด็กที่ใช้โซเชียลมากกว่าคนอื่นไม่ได้แปลว่าจะมีภาวะซึมเศร้ามากกว่าเสมอไป แต่สิ่งที่สำคัญคือ “การเปลี่ยนแปลงภายในคน” (within-person changes)

🧠 วิเคราะห์เชิงทฤษฎี: โมเดล DSMM

ผลการศึกษานี้สามารถอธิบายผ่าน โมเดลความไวต่อผลกระทบของสื่อ (Differential Susceptibility to Media Effects Model – DSMM) ซึ่งระบุว่า ผลกระทบของสื่อไม่ได้เกิดกับทุกคนเท่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น บุคลิกภาพ อายุ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และบริบททางสังคม

ช่วงวัยเด็กตอนต้นเป็นช่วงที่มีความเปราะบางทางจิตใจ เด็กอาจมีความรู้สึกไวต่อการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในโลกออนไลน์ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ตนเอง ความมั่นใจ และความรู้สึกโดดเดี่ยวในระยะยาว

💡 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและคลินิก

  • ผู้ปกครองและแพทย์ควรให้คำแนะนำเชิงคาดการณ์ (anticipatory guidance) แก่เด็กและวัยรุ่นเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะกลุ่มอายุที่ต่ำกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำ (13 ปี สำหรับแพลตฟอร์มส่วนใหญ่)
  • ควรมีการจัดทำแผนครอบครัวเกี่ยวกับการใช้สื่อ (family media plan) และส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีเป้าหมาย เช่น การเชื่อมต่อกับเพื่อนที่ให้กำลังใจ แทนการเสพเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียด
  • การเรียนรู้ถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่ออารมณ์ตนเอง อาจช่วยให้วัยรุ่นปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ลบ ลดการเปรียบเทียบ หรือใช้โซเชียลเพื่อสร้างเครือข่ายสนับสนุนเชิงบวก

📌 ข้อจำกัดของงานวิจัย

แม้ว่าการศึกษาใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่และวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงลึก แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น:

  • การออกแบบแบบสังเกต (observational) อาจมีอคติจากการรายงานด้วยตนเอง
  • ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้
  • การวัดผลประจำปีอาจไม่ละเอียดพอที่จะตรวจสอบผลกระทบในระยะสั้น เช่น ภายในวันหรือสัปดาห์

🔬 ทิศทางการวิจัยในอนาคต

นักวิจัยเสนอให้ใช้การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ (เช่น การบันทึกประจำวัน หรือใช้เซนเซอร์จากสมาร์ตโฟน) เพื่อเข้าใจกลไกระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับอารมณ์ เช่น ความคิดลบ ความเครียด หรือการเปรียบเทียบตนเอง ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา.

📚 แหล่งอ้างอิง

Nagata JM, et al. (2025). Social Media Use and Depressive Symptoms During Early Adolescence. JAMA Network Open. Published May 21, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.11704
US Surgeon General. (2023). Advisory on Social Media and Youth Mental Health.

Posted on

ควันบุหรี่ทำร้ายร่างกายอย่างไร? สำรวจผลกระทบที่แผ่ขยายจากศีรษะจรดเท้า

(ภาพประกอบ-สร้างจาก AI)

แม้หลายคนจะรู้ว่าการสูบบุหรี่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด แต่ความจริงแล้ว “ควันบุหรี่” ทั้งแบบสูบโดยตรงและโดยอ้อม (ควันบุหรี่มือสอง) ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทุกระบบในร่างกาย ตั้งแต่สมอง หัวใจ ปอด ไปจนถึงระบบสืบพันธุ์ แม้แต่คนที่ไม่สูบบุหรี่เลยก็เสี่ยงได้ หากสัมผัสควันเป็นประจำ

บทความนี้จะพาไปสำรวจผลเสียของควันบุหรี่ต่อร่างกายแต่ละระบบ พร้อมข้อมูลวิจัยที่ยืนยันผลร้ายดังกล่าวอย่างชัดเจน

1. ระบบทางเดินหายใจ: จุดหมายสำคัญของพิษควัน

ผลกระทบ:

  • เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดเรื้อรัง
  • ทำลายถุงลมในปอด (เกิดถุงลมโป่งพอง)
  • ทำให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
  • เพิ่มอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ปอดบวมและหลอดลมอักเสบ

งานวิจัยสนับสนุน:
งานวิจัยโดย U.S. Surgeon General (2020) รายงานว่า 90% ของผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดในสหรัฐฯ มีประวัติสูบบุหรี่ และการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่รักษาไม่หาย (U.S. DHHS, 2020)

2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น

ผลกระทบ:

  • เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด
  • ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis)
  • เพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

งานวิจัยสนับสนุน:
จากการศึกษาในวารสาร Circulation (Barnoya & Glantz, 2005) พบว่า แม้เพียงการได้รับควันบุหรี่มือสองในระยะสั้น ก็สามารถลดการทำงานของเยื่อบุหลอดเลือดได้ และทำให้เกิดผลกระทบต่อหัวใจในระดับใกล้เคียงกับผู้สูบบุหรี่โดยตรง

3. สมองและระบบประสาท: ควันบุหรี่ไม่เว้นแม้แต่จิตใจ

ผลกระทบ:

  • เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
  • เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
  • ส่งผลต่อการพัฒนาสมองในเด็กที่ได้รับควันบุหรี่

งานวิจัยสนับสนุน:
จาก BMJ (Slotkin, 2004) พบว่า เด็กที่มารดาสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์มีพัฒนาการทางสมองช้าลง และเสี่ยงต่อปัญหาพฤติกรรมในอนาคต เนื่องจากสารนิโคตินรบกวนการพัฒนาของสมองทารก

4. ระบบภูมิคุ้มกัน: เกราะป้องกันที่ถูกบ่อนทำลาย

ผลกระทบ:

  • ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง
  • เพิ่มโอกาสติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
  • ชะลอการหายของแผล

งานวิจัยสนับสนุน:
รายงานจาก World Health Organization (WHO) ระบุว่า การสูบบุหรี่ทำให้ การทำงานของเม็ดเลือดขาวลดลง และยังส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนทั่วไป (WHO, 2020)

5. ระบบสืบพันธุ์และการตั้งครรภ์: ส่งผลทั้งแม่และลูก

ผลกระทบ:

  • ผู้ชายอาจมีจำนวนอสุจิลดลง และการเคลื่อนไหวของอสุจิแย่ลง
  • ผู้หญิงเสี่ยงแท้งบุตรและตั้งครรภ์นอกมดลูกมากขึ้น
  • ทารกที่ได้รับควันบุหรี่มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติและพัฒนาการช้า

งานวิจัยสนับสนุน:
จาก American Journal of Epidemiology (Hakim et al., 1998) ระบุว่า การได้รับควันบุหรี่มือสองในหญิงตั้งครรภ์ทำให้มีโอกาสแท้งบุตรเพิ่มขึ้นถึง 30% และเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด

6. ผลกระทบต่อเด็กและผู้ไม่สูบบุหรี่

ควันบุหรี่มือสอง (Secondhand smoke) :

  • มีสารพิษกว่า 7,000 ชนิด รวมถึงสารก่อมะเร็งกว่า 70 ชนิด
  • เด็กที่ได้รับควันบุหรี่มือสองเสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืด ภูมิแพ้ และติดเชื้อทางเดินหายใจ

งานวิจัยสนับสนุน:
จาก CDC (Centers for Disease Control and Prevention) พบว่า ไม่มีระดับของควันบุหรี่ที่ “ปลอดภัย” สำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ และการได้รับควันบุหรี่มือสองอย่างสม่ำเสมอเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 25-30%

สรุป: หยุดควันบุหรี่เพื่อหยุดวงจรอันตราย

ควันบุหรี่ไม่เพียงทำร้ายปอด แต่ทำลายทั้งหัวใจ สมอง ภูมิคุ้มกัน และแม้แต่ชีวิตลูกน้อย คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกจึงตรงกันว่า “ไม่มีระดับที่ปลอดภัยของควันบุหรี่” ไม่ว่าจะจากการสูบเองหรือได้รับโดยอ้อม

การลดควันบุหรี่ในบ้าน ที่ทำงาน หรือพื้นที่สาธารณะ จึงไม่ใช่แค่การลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่คือการปกป้องสุขภาพของทั้งตัวเองและคนรอบข้างในระยะยาว.

แหล่งอ้างอิง:

  • U.S. Department of Health and Human Services. (2020). Smoking Cessation: A Report of the Surgeon General.
  • Barnoya, J., & Glantz, S. A. (2005). Cardiovascular effects of secondhand smoke: nearly as large as smoking. Circulation.
  • World Health Organization. (2020). Tobacco and health.
  • Hakim, R. B., Gray, R. H., & Zacur, H. A. (1998). Environmental tobacco smoke and pregnancy outcome. American Journal of Epidemiology.
  • CDC. (2020). Health Effects of Secondhand Smoke.
  • Slotkin, T. A. (2004). Cholinergic systems in brain development and disruption by neurotoxicants: Nicotine, environmental tobacco smoke, organophosphates. Brain Research Reviews.
Posted on

งานวิจัยชี้ เด็กที่อ้วนในระหว่างรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มีโอกาสเสียชีวิตและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงกว่า

(ภาพประกอบ-สร้างจาก AI)

ข่าวเชิงวิเคราะห์
ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนในเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมโฟบลาสติก (ALL) อาจไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพทั่วไป แต่ยังเกี่ยวข้องกับโอกาสรอดชีวิตและการกลับมาเป็นซ้ำของโรค – นี่คือข้อค้นพบสำคัญจากงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open ซึ่งติดตามเด็กป่วยจำนวนเกือบ 800 คนตลอดระยะเวลาการรักษาและเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว

น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้เพียงส่งผลต่อรูปลักษณ์ แต่ส่งผลต่อชีวิต

การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลของเด็ก 794 คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น ALL โดยติดตามค่า BMI (ดัชนีมวลกาย) ตั้งแต่เริ่มการรักษาจนถึงสิ้นสุดโปรแกรมบำบัด พบว่า เด็กที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนในหลายช่วงเวลาระหว่างการรักษา มีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่า และมีโอกาสที่โรคจะกลับมาเป็นซ้ำสูงกว่ากลุ่มที่มีน้ำหนักเกินแค่ช่วงเวลาเดียวหรือไม่มีเลยอย่างชัดเจน

  • เด็กที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนตั้งแต่ 2 ช่วงเวลาขึ้นไป มีอัตรารอดชีวิต 3 ปีที่ต่ำกว่า (93.8%) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่น้ำหนักเกินไม่เกิน 1 ครั้ง (98.0%)
  • อัตราการกลับมาเป็นซ้ำของโรคก็สูงกว่าชัดเจน (10.5% เทียบกับ 5.8%)
  • โอกาสรอดชีวิตโดยไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำ (event-free survival) ก็ลดลงเช่นกัน

“ระยะเวลาที่อ้วน” สำคัญกว่าภาวะอ้วนในจุดใดจุดหนึ่ง

ในอดีต นักวิจัยหลายกลุ่มพยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง “การมีน้ำหนักเกิน ณ จุดเริ่มต้นของการรักษา” กับโอกาสรอดชีวิต หรือการเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา แต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน

งานวิจัยฉบับนี้จึงเสนอแนวคิดใหม่ว่า “ระยะเวลาที่เด็กอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน” อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่มีความหมายมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของผลต่อไมโครสิ่งแวดล้อมของมะเร็ง และกระบวนการเผาผลาญ (metabolome) ของร่างกาย

ข้อเสนอเพื่อการป้องกันในอนาคต :

หนึ่งในข้อเสนอของผู้วิจัยคือ ควรมีมาตรการจัดการและควบคุมภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนในเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL อย่างต่อเนื่องระหว่างการรักษา โดยเฉพาะในช่วงต้นของโปรแกรมการบำบัด เพื่อไม่ให้ภาวะน้ำหนักเกินกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะยาวที่ส่งผลต่อชีวิต

ข้อมูลน่ารู้:

  • เด็กอายุเฉลี่ยในกลุ่มทดลองคือ 6.7 ปี
  • อัตราเด็กที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเพิ่มขึ้นจาก 29.5% ที่จุดเริ่มต้นการรักษา เป็น 48.4% เมื่อจบการรักษา
  • เด็กที่มีน้ำหนักเกิน/อ้วนที่จุดเริ่มต้น “ไม่ได้มีความเสี่ยงผลข้างเคียงจากการรักษาเพิ่มขึ้น” แต่ “หากมีน้ำหนักเกินยาวนาน” กลับพบความเสี่ยงเสียชีวิตและโรคกลับมาเพิ่มขึ้นชัดเจน

สรุปสำหรับผู้อ่านทั่วไป:

หากบุตรหลานของคุณอยู่ระหว่างการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน อย่าเพิกเฉยต่อการควบคุมโภชนาการและน้ำหนักตัว แม้จะไม่ได้เห็นผลในทันที แต่การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมอาจเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความเสี่ยงที่โรคจะกลับมาในระยะยาว งานวิจัยนี้คือหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนเรื่องนี้อย่างชัดเจน.

อ้างอิง:
Braun L, Kelly M, et al. Association of Duration of Overweight or Obesity With Outcomes in Children With Acute Lymphoblastic Leukemia. JAMA Netw Open. 2024;7(5):e2412345. doi:10.1001/jamanetworkopen.2024.12345

Posted on

วัคซีนโควิด-19 ช่วยลดความเสี่ยง “ลองโควิด” ในเด็กได้จริง! ผลวิจัยชี้ลดอาการได้สูงถึง 73%

(ภาพประกอบ)

ผลวิจัยจากสหรัฐฯ ระบุว่า เด็กที่ได้รับวัคซีน mRNA ป้องกันโควิด-19 ก่อนติดเชื้อ SARS-CoV-2 มีโอกาสน้อยลงมากในการเกิดอาการ “ลองโควิด” (Post–COVID-19 Condition: PCC) เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน โดยลดความเสี่ยงของอาการอย่างน้อย 1 อย่างได้ถึง 57% และลดความเสี่ยงของอาการ 2 อย่างขึ้นไปได้ถึง 73%

ลองโควิด (Long COVID) คืออะไร?

ลองโควิด (Long COVID) หรือภาวะหลังโควิด-19 (Post-COVID Condition) เป็นภาวะที่ผู้ป่วยยังคงมีอาการหลงเหลือหรือเกิดอาการใหม่หลังจากติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) ไปแล้วอย่างน้อย 4 สัปดาห์ และอาการเหล่านั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยโรคอื่น ผู้ป่วยลองโควิดอาจมีอาการหลากหลาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง สมองล้า (brain fog) หรือมีปัญหาเกี่ยวกับความจำและการนอนหลับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้

องค์การอนามัยโลก (WHO) นิยามภาวะลองโควิดว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือเกิดซ้ำหลังการติดเชื้อโควิด-19 อย่างน้อย 3 เดือน และยังคงอยู่ได้นานอย่างน้อย 2 เดือน โดยไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการวินิจฉัยอื่น

วิเคราะห์: วัคซีนกับ “ลองโควิด” ในเด็ก — ประโยชน์ที่มากกว่าการป้องกันป่วยหนัก

ลองโควิดในเด็กคืออะไร?

แม้ว่าเด็กมักจะแสดงอาการโควิด-19 น้อยหรือไม่รุนแรง แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิด “ลองโควิด” หรือ PCC ซึ่งหมายถึงอาการเรื้อรังที่ยังคงอยู่หรือเกิดขึ้นใหม่หลังจากติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป ตัวอย่างอาการได้แก่:

  • เหนื่อยง่าย
  • ปวดศีรษะ
  • หายใจลำบาก
  • สมาธิสั้น
  • นอนไม่หลับ
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลง

ในบางกรณี ลองโควิดอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดโรคหัวใจ ไตวาย หรือเบาหวานชนิดที่ 1 ได้

งานวิจัยนี้ศึกษาอะไร?

  • ผู้เข้าร่วม: เด็กอายุ 5-17 ปี จำนวน 622 คน ที่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก
  • วิธีวิจัย: เปรียบเทียบระหว่างเด็กที่ได้รับวัคซีน mRNA (ส่วนใหญ่เป็น Pfizer-BioNTech) กับเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน
  • ช่วงเวลา: ตั้งแต่กรกฎาคม 2021 ถึงพฤษภาคม 2023
  • เป้าหมาย: หาความสัมพันธ์ระหว่างการฉีดวัคซีนกับการเกิดอาการลองโควิดอย่างน้อย 60 วันหลังติดเชื้อ

ผลวิจัยสรุปว่าอย่างไร?

  • เด็กที่ได้รับวัคซีนก่อนติดเชื้อ มีโอกาสเกิดอาการลองโควิดน้อยลง 57%
  • หากพิจารณาเฉพาะเด็กที่มีอาการลองโควิดมากกว่า 2 อาการขึ้นไป โอกาสจะน้อยลงถึง 73%
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดอาการระบบทางเดินหายใจ (เช่น ไอ หอบเหนื่อย) ลดลงถึง 72%
  • แม้ไม่ได้ติดโควิดอย่างรุนแรง หรือไม่มีอาการในช่วงแรก ก็ยังอาจเกิดลองโควิดได้

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?

  • ถึงแม้เด็กจะไม่ป่วยหนักจากโควิด แต่ลองโควิดสามารถกระทบต่อคุณภาพชีวิต เรียนไม่รู้เรื่อง ขาดเรียนบ่อย หรือเกิดปัญหาสุขภาพระยะยาว
  • ผู้ปกครองจำนวนมากลังเลที่จะให้ลูกฉีดวัคซีน เพราะคิดว่าโควิดในเด็กไม่อันตราย แต่ผลวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า วัคซีนสามารถช่วยลดผลกระทบระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ประเด็นอื่นที่น่าสนใจจากการศึกษา

  • เด็กที่มีสุขภาพพื้นฐานไม่ดีมีแนวโน้มเกิดลองโควิดมากขึ้น
  • กลุ่มเด็กเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันมีอัตราการเกิดลองโควิดสูงกว่า
  • ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีนยังเป็นปัญหา เช่น เด็กเชื้อสายฮิสแปนิกและแอฟริกันอเมริกันมีอัตราการฉีดวัคซีนน้อยกว่า

ข้อจำกัดของการศึกษา

  • อาการลองโควิดอาจถูกสับสนกับอาการจากโรคอื่น
  • ตัวอย่างยังมีจำนวนจำกัดในการวิเคราะห์เด็กที่มีโรคประจำตัวเฉพาะ
  • การศึกษานี้เกิดขึ้นก่อนการใช้คำจำกัดความใหม่ของ PCC จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NASEM)

บทสรุป

แม้การฉีดวัคซีนโควิด-19 อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมด แต่ข้อมูลจากงานวิจัยนี้บ่งชี้ว่า วัคซีนช่วยลดโอกาสของการเกิด “ลองโควิด” ได้อย่างชัดเจนในกลุ่มเด็ก ซึ่งเป็นประโยชน์ที่สำคัญและอาจช่วยเปลี่ยนมุมมองของผู้ปกครองหลายคนที่ยังลังเลใจ.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Kirkpatrick BD, Havers FP, Dooling KL, et al. COVID-19 Vaccination and Odds of Post–COVID-19 Condition Symptoms in Children Aged 5 to 17 Years. JAMA Pediatr. Published online May 6, 2024. doi:10.1001/jamapediatrics.2024.0921
  2. World Health Organization. (2021). A clinical case definition of post COVID-19 condition by a Delphi consensus, 6 October 2021. https://www.who.int/publications/i/item/WHO-2019-nCoV-Post_COVID-19_condition-Clinical_case_definition-2021.1
  3. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). Long COVID or Post-COVID Conditions. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/long-term-effects/index.html
Posted on

สุขภาพหัวใจของลูกเริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์ — งานวิจัยล่าสุดชี้ ความเสี่ยงคาร์ดิโอเมตาบอลิกของแม่ช่วงตั้งครรภ์ ส่งผลต่อความดันเลือดลูกยาวนานถึงวัย 18 ปี

(ภาพประกอบ)

งานวิจัยล่าสุดจากสหรัฐฯ เผยว่า สุขภาพของแม่ระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะภาวะอ้วนก่อนตั้งครรภ์ โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์ มีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับการมีความดันโลหิตที่สูงขึ้นในเด็กตั้งแต่ช่วงวัยก่อนเข้าโรงเรียนจนถึงวัยรุ่น อาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคหัวใจและหลอดเลือดในวัยผู้ใหญ่

🔍 ผลการวิจัย: สัญญาณอันตรายตั้งแต่วัยเด็ก

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากโครงการ Environmental Influences on Child Health Outcomes (ECHO) ซึ่งวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างแม่-ลูกจำนวน 12,480 คู่ พบว่า ลูกของแม่ที่มีภาวะเสี่ยงทางหัวใจและเมตาบอลิซึมระหว่างตั้งครรภ์ มีความดันโลหิตทั้งค่าซิสโตลิก (SBP) และไดแอสโตลิก (DBP) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ

  • ค่าซิสโตลิกสูงขึ้นเฉลี่ย 4.88 เปอร์เซ็นไทล์
  • ค่าไดแอสโตลิกสูงขึ้นเฉลี่ย 1.90 เปอร์เซ็นไทล์
  • กลุ่มที่แม่มี ภาวะอ้วนร่วมกับเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือ ความดันสูงระหว่างตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงสูงที่สุด

นอกจากนี้ ความดันของเด็กในกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่อายุ 2 ถึง 18 ปี โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงและเด็กเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน

⚠️ ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ?

ความดันโลหิตสูงในเด็กมักเป็น “โรคเงียบ” ที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่นำไปสู่โรคหัวใจ หลอดเลือด และโรคไตในอนาคต การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนี้ตั้งแต่ต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ

สิ่งที่น่ากังวลคือ การศึกษานี้พบว่าความดันสูงในเด็กไม่ได้ขึ้นกับน้ำหนักหรือปัจจัยในครอบครัวเท่านั้น แต่ “การตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง” ก็อาจส่งผลต่อระบบหลอดเลือดของเด็กโดยตรงผ่านกลไกในครรภ์ (fetal programming)

🧬 กลไกเบื้องหลังที่เป็นไปได้

  1. ภาวะอ้วนก่อนตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดในรก
  2. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้เกิดการต้านอินซูลินและลดไนตริกออกไซด์ ทำให้หลอดเลือดของทารกหดตัวผิดปกติ
  3. ความดันสูงระหว่างตั้งครรภ์ อาจกระตุ้นระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน ซึ่งส่งผลต่อการควบคุมความดันในเด็กในระยะยาว

🏥 แนวทางรับมือในระดับสาธารณสุข

งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นความจำเป็นในการคัดกรองและดูแลภาวะสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะ:

  • ลดภาวะอ้วนก่อนตั้งครรภ์
  • เฝ้าระวังเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • ป้องกันและรักษาความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์

สิ่งนี้ไม่เพียงป้องกันโรคในแม่เท่านั้น แต่ยังเป็น “การลงทุนสุขภาพ” สำหรับรุ่นลูกอีกด้วย

📌 บทสรุป

สุขภาพของแม่ระหว่างตั้งครรภ์มีอิทธิพลต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของลูกในระยะยาวอย่างชัดเจน งานวิจัยนี้เป็นการเตือนสังคมให้หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพหญิงตั้งครรภ์มากขึ้น และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดในระดับประชากร.

แหล่งอ้างอิง:

  • Perng W, Moore BF, Sathyanarayana S, et al. Maternal Cardiometabolic Risk Factors in Pregnancy and Offspring Blood Pressure at Age 2 to 18 Years. JAMA Network Open. 2025;8(5):e259205. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.9205
  • Environmental Influences on Child Health Outcomes (ECHO) Program, NIH
Posted on

โรคอ้วน: ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และแนวทางฟื้นฟูสุขภาพ

โรคอ้วน (Obesity) ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งบางชนิด

โรคอ้วนคืออะไร?

โรคอ้วนคือภาวะที่ร่างกายมีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (BMI ≥ 30 kg/m²) โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) ได้แบ่งระดับความรุนแรงของโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • อ้วนระดับ 1: BMI 30–34.9
  • อ้วนระดับ 2: BMI 35–39.9
  • อ้วนระดับ 3 (อ้วนขั้นรุนแรง): BMI ≥ 40

ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากโรคอ้วน

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายระบบของร่างกาย ดังนี้:

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

ผู้ที่มีไขมันสะสมในช่องท้องมากมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลินและไขมันในเลือดสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายและหลอดเลือดอุดตัน

🔬 อ้างอิง: Global Burden of Disease Study 2017 พบว่าโรคอ้วนมีส่วนต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงถึง 4 ล้านคนต่อปีทั่วโลก

2. เบาหวานชนิดที่ 2

ไขมันสะสมส่วนเกินรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและพัฒนาเป็นเบาหวานในที่สุด

🔬 อ้างอิง: Hu, F.B. et al. (2001). Diet, lifestyle, and the risk of type 2 diabetes mellitus in women. NEJM, 345(11): 790–797.

3. มะเร็งบางชนิด

งานวิจัยแสดงความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม (หลังหมดประจำเดือน) และมะเร็งตับ

4. สุขภาพจิต

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

แนวทางปรับปรุงสุขภาพและลดความเสี่ยงจากโรคอ้วน

การลดน้ำหนักแม้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความเสี่ยงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวทางที่แนะนำประกอบด้วย:

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

  • ลดน้ำตาลและอาหารแปรรูป
  • เพิ่มผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพสูง
  • ใช้หลักการ “กินให้ช้าลง-กินให้น้อยลง”

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ควรมีกิจกรรมที่ใช้แรงระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
  • การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิกล้วนมีประโยชน์

3. ปรับสภาพแวดล้อม

  • จัดบ้านหรือที่ทำงานให้เอื้อต่อการเลือกสุขภาพดี เช่น มีผลไม้แทนขนม
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารขณะดูโทรทัศน์หรือเล่นมือถือ

4. ขอคำปรึกษาจากแพทย์

หากน้ำหนักเกินมากหรือมีโรคประจำตัวร่วม ควรขอคำปรึกษาเพื่อวางแผนลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย รวมถึงการพิจารณายาหรือการผ่าตัดลดน้ำหนักหากจำเป็น

🔬 อ้างอิง: Hall, K.D. et al. (2011). Quantification of the effect of energy imbalance on bodyweight. The Lancet, 378(9793): 826–837.

บทสรุป

โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ แต่คือภัยเงียบที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อสุขภาพในหลายด้าน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ได้ในระยะยาว.