Posted on

เดินวันละ 100 นาที ลดความเสี่ยง “ปวดหลังเรื้อรัง” ได้ถึง 23% – ผลวิจัยใหม่จากนอร์เวย์ชี้ชัด

แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวง่ายๆ แต่ “การเดิน” กลับเป็นพฤติกรรมที่มีพลังอย่างน่าทึ่ง ล่าสุดผลการศึกษาขนาดใหญ่จากประเทศนอร์เวย์ เผยว่า การเดินมากกว่า 100 นาทีต่อวันสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง (Chronic Low Back Pain) ได้ถึง 23% เมื่อเทียบกับผู้ที่เดินน้อยกว่า 78 นาทีต่อวัน

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ใน JAMA Network Open เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 โดยใช้ข้อมูลจากกลุ่มประชากรในการศึกษาด้านสุขภาพ “HUNT Study” ซึ่งเก็บข้อมูลในช่วงปี 2017–2023 และวิเคราะห์ผู้เข้าร่วมกว่า 11,194 คน ที่ไม่มีอาการปวดหลังเรื้อรังในช่วงเริ่มต้นการศึกษา

🔍 สรุปผลวิจัย:

  • กลุ่มที่เดินมากกว่า 100 นาที/วัน มีความเสี่ยงปวดหลังเรื้อรังลดลง 23%
  • กลุ่มที่เดิน 125 นาทีขึ้นไป ลดความเสี่ยงได้มากที่สุด (RR = 0.76)
  • ความเร็วในการเดิน (intensity) แม้มีผล แต่ส่งผลน้อยกว่า “ปริมาณเวลาเดิน”
  • กลุ่มที่มีความเข้มข้นในการเดินสูง (≥ 3.27 MET/min) มีความเสี่ยงลดลงประมาณ 18%
  • เมื่อปรับข้อมูลทั้งสองปัจจัยพร้อมกัน พบว่า “ระยะเวลาเดิน” ยังคงมีผลชัดเจนมากกว่าความเข้มข้นในการเดิน

🧠 ความหมายของงานวิจัยนี้

อาการปวดหลังเรื้อรังเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก และเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียคุณภาพชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

แม้งานวิจัยในอดีตจะชี้ให้เห็นว่า “การออกกำลังกาย” ลดความเสี่ยงปวดหลังได้ แต่ยังไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับ “การเดิน” ในฐานะการออกกำลังกายที่ง่ายและเข้าถึงได้ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างนั้น และเน้นให้เห็นว่า “การเดินปริมาณมากทุกวัน” มีประสิทธิภาพจริง

🚶‍♀️ เดินมาก เดินช้า ยังดีกว่าไม่เดินเลย

ศ.ดร. Haddadj และทีมวิจัยระบุว่า ถึงแม้ความเข้มข้น (เร็วหรือช้า) จะมีผล แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘การเดินให้มากพอในแต่ละวัน’ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลกที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากกว่าการออกแรงหนักในช่วงสั้น

📌 ข้อเสนอเชิงนโยบาย

ผลการวิจัยสนับสนุนให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข และชุมชนเมืองหันมาให้ความสำคัญกับ “การส่งเสริมให้ประชาชนเดินในชีวิตประจำวัน” ผ่าน:

  • การจัดทางเดินเท้าที่ปลอดภัย
  • การออกแบบเมืองที่เดินได้
  • การรณรงค์ให้ใช้เวลาเดินมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

📝 ข้อจำกัดของการศึกษา:

  • เป็นการศึกษารูปแบบสังเกตการณ์ (observational) จึงไม่อาจยืนยันสาเหตุโดยตรง
  • การวัดข้อมูลการเดินใช้เฉลี่ยเพียง 5.7 วัน ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมระยะยาว
  • การรายงานอาการปวดหลังเป็นการรายงานด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อน

🔬 สรุป

“การเดินเป็นเครื่องมือธรรมดาแต่ทรงพลังในการป้องกันโรคปวดหลังเรื้อรังในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำเป็นกิจวัตรมากกว่า 100 นาทีต่อวัน”
— ทีมวิจัยจาก University of Science and Technology, Norway


📚 แหล่งที่มา:

  • Haddadj, R., et al. (2025). Volume and Intensity of Walking and Risk of Chronic Low Back Pain. JAMA Network Open. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.15592
  • World Health Organization. Global Recommendations on Physical Activity for Health
  • The Lancet Low Back Pain Series. (2018)
Posted on

แจกชุดตรวจ COVID-19 แต่คนไม่ตรวจ! เพราะอะไร? งานวิจัยชี้อาจไม่ได้ผลอย่างที่คิด

แม้ว่าการแจกชุดตรวจ COVID-19 ให้ประชาชนเพื่อนำไปแจกต่อให้คนใกล้ชิดจะดูเป็นไอเดียที่ดี แต่ผลจากการทดลองแบบสุ่มจากสหรัฐอเมริกากลับพบว่า “ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่คิด” โดยชุดตรวจไม่ได้ช่วยเพิ่มอัตราการตรวจ COVID-19 ในเครือข่ายสังคมของผู้รับมากไปกว่าการแจกเพียงใบแนะนำให้ไปตรวจที่คลินิก

งานวิจัยนี้มาจาก JAMA Network Open ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2025

สรุปผลวิจัย

การศึกษาแบบสุ่มนี้ทำในกลุ่มประชากร 776 คน จากศูนย์สุขภาพชุมชนในเมืองฟิลาเดลเฟีย กลุ่มเป้าหมายคือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ขาดแคลนบริการสาธารณสุข โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม:

  • กลุ่มหนึ่งได้รับ ชุดตรวจ COVID-19 แบบ Self-Test 5 ชุด เพื่อนำไปแจกให้เพื่อนหรือญาติ
  • อีกกลุ่มได้รับ ใบแนะนำให้ไปตรวจที่คลินิก จำนวน 5 ใบ

เมื่อผ่านไป 8 สัปดาห์ พบว่า:

  • กลุ่มที่ได้รับชุดตรวจ มีเพียง 1.3% ที่มีเพื่อนหรือคนใกล้ชิด 2 คนขึ้นไปตรวจจริง
  • กลุ่มใบแนะนำ มีเพียง 0.5% เท่านั้นที่ทำให้คนใกล้ตัวไปตรวจ

สรุป: ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนทางสถิติระหว่างสองกลุ่ม

แล้วเกิดอะไรขึ้น?

แม้จะมีการแจกชุดตรวจถึงมือผู้ใช้จริง แต่มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาด เช่น:

  • บางคนเก็บชุดตรวจไว้ใช้เองในภายหลัง ไม่ได้นำไปแจก
  • เพื่อนหรือญาติไม่รายงานผลกลับเข้าระบบ จึงไม่สามารถยืนยันว่ามีการใช้จริง
  • อัตราการตรวจ COVID-19 ทั่วประเทศลดลง หลังจากการระบาดซา ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่เร่งรีบที่จะตรวจ

แม้การแจกชุดตรวจดูจะเป็นวิธีที่เข้าถึงง่าย แต่ก็ยังมีอุปสรรคในการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมตรวจจริง

บทเรียนจากงานวิจัยนี้

  1. แค่แจกไม่พอ ต้องมีวิธีติดตามผลที่แม่นยำกว่า
    • นักวิจัยพบว่าการวัดผลผ่าน QR code หรือรายงานจากผู้รับไม่สามารถสะท้อนการใช้งานจริงได้ทั้งหมด
  2. ควรผสมผสานกับวิธีสร้างแรงจูงใจหรือคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์
    • การแจกชุดตรวจควรพ่วงกับการสื่อสารเชิงรณรงค์ เช่น “ใช้ตรวจแล้วแจ้งผลเพื่อปกป้องคนที่คุณรัก”
  3. การทำงานร่วมกับชุมชนมีความสำคัญ
    • แม้ผลลัพธ์โดยตรงจะไม่เด่นชัด แต่โครงการนี้แสดงให้เห็นถึง ความเป็นไปได้ในการเข้าถึงกลุ่มประชากรเปราะบาง ซึ่งปกติแทบไม่เข้าร่วมการวิจัยใด ๆ

สรุป:

แม้แนวคิด “ให้คนช่วยแจกชุดตรวจ” จะดูเรียบง่ายและประหยัด แต่การศึกษาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมด้านสุขภาพต้องอาศัยมากกว่าการแจกอุปกรณ์ — ต้องมีระบบติดตาม ผลักดัน และสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมร่วมด้วย

นี่ไม่ใช่การปฏิเสธแนวทางการแจกชุดตรวจ แต่เป็นเครื่องเตือนใจว่า “การแจกอย่างเดียวไม่เพียงพอ” หากเราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในระบบสาธารณสุข.

แหล่งที่มา:
Bien-Gund CH, et al. Provision of COVID-19 Self-Test Kits to Patients for Distribution to Social Contacts: A Randomized Clinical Trial. JAMA Network Open. Published June 4, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.13708