Posted on

ก.ค.ศ. เดินหน้าปรับระบบย้ายครูผ่าน TRS พร้อมเกณฑ์ใหม่สำหรับ “ผอ.-รองผอ.” เริ่ม 1 ก.ค.นี้

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ประชุมครั้งที่ 5/2568 โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน พร้อมมีมติเห็นชอบหลายประเด็นสำคัญ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพระบบบริหารบุคลากรภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะการปรับปรุงเกณฑ์และระบบการย้ายข้าราชการครูผ่านระบบ TRS รวมถึงการกำหนดเกณฑ์ประเมินความพร้อมของผู้บริหารสถานศึกษาและแนวทางคัดเลือก “ผู้อำนวยการ” และ “รองผู้อำนวยการ” โรงเรียน

ปรับปรุงเกณฑ์ย้ายข้าราชการครูผ่านระบบ TRS รอบใหม่ เริ่ม 1 ก.ค. 2568

หลังจากดำเนินการย้ายข้าราชการครูรอบแรกผ่านระบบ TRS (Teacher Rotation System) เมื่อต้นปี 2568 และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ก.ค.ศ. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางการย้ายให้มีความชัดเจน โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 10 ตุลาคม 2568 โดยสาระสำคัญประกอบด้วย:

  • ปรับปรุงองค์ประกอบ ตัวชี้วัด คะแนน และกรอบการพิจารณาย้าย
  • ปรับแนวปฏิบัติการประมวลผลและพิจารณาการย้ายผ่านระบบ TRS
  • กำหนดปฏิทินการย้ายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

เป้าหมายหลักของการปรับปรุงครั้งนี้คือเพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมในการย้ายตำแหน่ง ลดการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก และสอดรับกับนโยบาย “ครูคืนถิ่น” ของกระทรวงศึกษาธิการ

ขยับเกณฑ์ประเมิน “ผู้บริหารสถานศึกษา” แยกตามขนาดโรงเรียน

ก.ค.ศ. ยังเห็นชอบหลักเกณฑ์การย้ายตำแหน่ง “ผู้บริหารสถานศึกษา” โดยเฉพาะการกำหนดขนาดของโรงเรียนและเกณฑ์การประเมินศักยภาพของผู้ขอย้าย สำหรับปี 2568 โรงเรียนจะถูกจัดขนาดเป็น 4 ประเภท ตามจำนวนนักเรียน ได้แก่ ขนาดเล็ก (ไม่เกิน 119 คน), กลาง (120–719 คน), ใหญ่ (720–1,679 คน) และใหญ่พิเศษ (มากกว่า 1,680 คน)

องค์ประกอบในการประเมินครอบคลุมทั้งด้านวิชาการ ประสบการณ์ วิสัยทัศน์ คุณธรรม และผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน เช่น:

  1. ความรู้ความสามารถด้านบริหารการศึกษา
  2. ประสบการณ์และระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
  3. ผลงานและคุณภาพงาน
  4. วิสัยทัศน์และการพัฒนาวิชาชีพ
  5. ความประพฤติและค่านิยมสร้างสรรค์
  6. ผลประเมินตามข้อตกลงพัฒนางาน (PA)

ปรับเกณฑ์คัดเลือก “ผอ.-รองผอ.” ให้ทันยุค ย้ำวิสัยทัศน์-ผลงานเด่น

ในอีกประเด็นสำคัญ ก.ค.ศ. ได้ให้ความเห็นชอบรายละเอียดการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้ง “รองผู้อำนวยการ” และ “ผู้อำนวยการสถานศึกษา” ตามหลักเกณฑ์ใหม่ (ว12/2568) ที่สอดคล้องกับมาตรฐานตำแหน่ง โดยมีการแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ภาค:

  • ภาค ก ความรู้ความสามารถ (ข้อเขียน 100 คะแนน)
  • ภาค ข ประสบการณ์และผลงาน (ประวัติ 60 คะแนน, ผลงาน 40 คะแนน)
  • ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง (วิสัยทัศน์ 50 คะแนน, สัมภาษณ์ 50 คะแนน)

โดยผู้ผ่านการคัดเลือกจะขึ้นบัญชีรายชื่อเป็นเวลา 1 ปีนับจากวันประกาศ.

แหล่งที่มา : สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.), ศธ.

Posted on

สพฐ.ห้ามครูและบุคลากรนำรถราชการไปใช้ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในหนังสือราชการถึงหัวหน้าส่วนราชการ และองค์กรในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อ กำชับให้ข้าราชการและบุคลากรปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการใช้รถราชการอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 มีรายงานข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงต่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่นำรถราชการไปใช้ส่วนตัว เช่น การเดินทางระหว่างบ้านพักกับที่ทำงาน และเบิกจ่ายค่าน้ำมันจากทางราชการ เสมือนว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงมีคำสั่งให้หัวหน้าส่วนราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการชี้แจง กำชับ และควบคุมดูแลบุคลากรในสังกัดให้ปฏิบัติตามระเบียบการใช้รถราชการอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ และรักษาความโปร่งใสในหน่วยงานราชการ.

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร

แหล่งที่มา : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ศธ.

Posted on

“มาตรฐานครูปฐมวัย” ฉบับใหม่จากคุรุสภา: สร้างคุณภาพครู สร้างอนาคตเด็กไทย

(ภาพประกอบ)

คุรุสภาเร่งผลักดันร่างข้อบังคับมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ฉบับใหม่ หวังยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยตั้งแต่รากฐาน รองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคใหม่และเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการคุรุสภาแล้ว และอยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาลงนามก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา

ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า การจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภาดังกล่าว เป็นการสนับสนุนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาครูให้มีคุณภาพสูง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความสุขของผู้เรียน

ร่างข้อบังคับครูปฐมวัยฉบับใหม่: เนื้อหาครอบคลุม 3 ด้านหลัก

  1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
    กำหนดให้ครูปฐมวัยต้องมีความรู้ลึกซึ้งด้านพัฒนาการเด็ก สมองและการเรียนรู้ตามช่วงวัย การสร้างสัมพันธภาพกับเด็ก การออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและการประเมินพัฒนาการแบบองค์รวม สอดคล้องกับสังคมและระบบนิเวศรอบตัวเด็ก เช่น ครอบครัว ชุมชน สาธารณสุข และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน
    ครูปฐมวัยต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู ใส่ใจดูแลเด็กด้วยความเมตตา ออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และบูรณาการที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย สร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน ใช้การสื่อสารเชิงบวกในการพัฒนาเด็ก ตลอดจนใช้เทคโนโลยีการศึกษาร่วมกับกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อเสริมสมรรถนะพื้นฐานของเด็กอย่างเหมาะสม
  3. มาตรฐานการปฏิบัติตน
    ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู มีคุณธรรม จริยธรรม และวางตนให้เหมาะสมกับบทบาทของครูผู้เป็นผู้ดูแลเด็กในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต

นอกจากนี้ ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยยังต้องมีประสบการณ์ปฏิบัติการสอนอย่างน้อย 1 ปีในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนด

เน้นครูเป็นรากฐานการศึกษาตั้งแต่วัยแรกเริ่ม

“คุรุสภาเห็นความสำคัญของครูปฐมวัยในฐานะผู้ออกแบบการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็กในช่วงสำคัญของชีวิต ซึ่งจะเป็นรากฐานในการเติบโตและเรียนรู้ในขั้นต่อไป” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว พร้อมระบุว่าร่างข้อบังคับฉบับใหม่นี้มีเป้าหมายให้ครูมีสมรรถนะทางวิชาชีพที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และส่งเสริมพัฒนาการเด็กอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ คุรุสภาได้เปิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันผลิตครู หน่วยงานผู้ใช้ครู ครูในวิชาชีพ รวมถึงผู้ปกครองและนิสิตนักศึกษา ร่วมแสดงความคิดเห็นในกระบวนการจัดทำข้อบังคับ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและครอบคลุมทุกมิติ.