Posted on

🚀📚 รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน: โอกาสในระบบการศึกษา

บทความนี้สรุปหลักฐานเชิงวิจัย (research evidence) และนโยบายภาครัฐ ว่าด้วย การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)—แนวสอนที่ให้ผู้เรียน “ลงมือทำ–คิด–สะท้อนคิด” มากกว่าฟังบรรยายล้วน พร้อมข้อดี–ข้อท้าทาย–แนวทางปรับใช้ในห้องเรียนและอ้างอิงงานวิจัยทุกหัวข้อ


📚 Active Learning คืออะไร (What is Active Learning)

การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียน “มีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” ผ่านการลงมือปฏิบัติ อภิปราย แก้ปัญหา สืบค้น และสะท้อนคิด (metacognition) แทนการรับฟังแบบ บรรยาย (lecture) เพียงอย่างเดียว ตามคู่มือ/แนวทางของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และเอกสาร สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ที่ผลักดันการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (competency-based). academic.obec.go.th+1Backoffice Onec


🧪 หลักฐานสากล: ได้ผลจริงแค่ไหน?

  • เมตาอะนาลิซิสขนาดใหญ่ในวารสารวิชาการ พีเอ็นเอเอส (Proceedings of the National Academy of Sciences: PNAS) พบว่า การเรียนรู้เชิงรุก ช่วยให้คะแนนสอบสูงขึ้นราว “ครึ่งเกรด” และลดอัตราตกวิชาเมื่อเทียบกับการสอนแบบบรรยาย (lecture). PNASDis.fi
  • งานวิจัยใน พีเอ็นเอเอส (PNAS) อีกชิ้นชี้ว่า การจัดชั้นเรียนเชิงรุกคุณภาพดี ช่วยลดช่องว่างผลสัมฤทธิ์ ของผู้เรียนกลุ่มด้อยโอกาสในรายวิชา สะเต็ม (STEM) ได้อย่างมีนัยสำคัญ. PNAS+1PubMed

สรุป: หลักฐานสากลค่อนข้าง “เสถียร” ว่า Active Learning ดีกว่าบรรยายล้วน แต่ คุณภาพการออกแบบกิจกรรม คือปัจจัยชี้ขาดผลลัพธ์


โอกาสและจุดที่ต้องระวัง

  • นโยบายหนุน “ฐานสมรรถนะ” และทักษะศตวรรษที่ 21 — กระทรวงศึกษาธิการขับเคลื่อนการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (competency-based) และพัฒนาทักษะดิจิทัลครู บุคลากร โดยระบุ Active Learning เป็นกลไกสำคัญในรายงานตรวจสอบ/ประเมินผลภาครัฐ ปี 2567. Ministry of Education Thailand
  • คุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนไทยยังท้าทาย — ผลการสอบ พิซ่า (Programme for International Student Assessment: PISA) 2022 สะท้อนสมรรถนะด้านการคิดสร้างสรรค์ (creative thinking) ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศพัฒนา (ผู้ทำได้ระดับสูงมีเพียง ~7%) ซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นต้องเร่งกิจกรรมที่กระตุ้นการคิดขั้นสูง. OECD
  • หน่วยประกันคุณภาพชี้ทิศ — รายงานของ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ. หรือ ONESQA) พบแนวโน้มโรงเรียนไทยมุ่งเน้น Active Learning มากขึ้น แต่ยังเสนอให้เพิ่มโอกาสมีส่วนร่วม สร้างนวัตกรรมการสอน และใช้เทคโนโลยีอย่างมีความหมาย. OneSQA

ข้อสรุปเชิงบริบท: “เราพร้อมในระดับหนึ่ง” ทั้งเชิงนโยบายและทิศทางคุณภาพ แต่ สมรรถนะครู–รูปแบบประเมิน–ขนาดชั้นเรียน ยังกระจุกเป็นคอขวดที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่


✅ ข้อดีที่คาดหวังต่อผู้เรียนไทย

  1. คะแนน–การคงอยู่ในระบบเรียนดีขึ้น
    หลักฐานสากลชี้ชัดว่า Active Learning เพิ่มผลสัมฤทธิ์ และลดการตกวิชา โดยเฉพาะในวิชาสะเต็ม (STEM). PNAS
  2. ลดความเหลื่อมล้ำการเรียนรู้
    เมื่อกิจกรรมถูกออกแบบให้ทุกคนมีบทบาท และได้รับ ข้อป้อนกลับ (feedback) อย่างเป็นระบบ ช่องว่างผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้อยโอกาสก็แคบลง. PNAS
  3. ตอบโจทย์ “ฐานสมรรถนะ” ของหลักสูตร
    Active Learning ช่วยพัฒนาสมรรถนะหลัก เช่น การสื่อสาร (communication) การจัดการตนเอง (self-management) และ การคิดขั้นสูง (higher-order thinking) ตามกรอบ สกศ. และชุดเอกสารของ สพฐ. Backoffice Onecacademic.obec.go.th
  4. สอดรับทิศทางการฟื้นฟูการเรียนรู้หลังโควิด
    เอกสารนโยบายระดับภูมิภาคของ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (องค์การยูเนสโก (UNESCO)) เน้นการเปลี่ยนผ่านสู่ห้องเรียนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง—สอดคล้องกับ Active Learning. UNESCO Document Repository

⚠️ ข้อท้าทาย/เงื่อนไขสำคัญในบริบทไทย

  • ขนาดชั้นเรียนใหญ่–เวลาเตรียมสอนจำกัด → จำเป็นต้องใช้ กิจกรรมแบบ “ทำได้ใน 10–20 นาที” ที่สเกลง่าย เช่น คิด–จับคู่–แลกเปลี่ยน (think–pair–share), แบบทดสอบสั้นระหว่างเรียน (in-class formative quiz), ตั๋วออกจากชั้น (exit ticket) ตามคำแนะนำในคู่มือ สพฐ./สกศ. academic.obec.go.thBackoffice Onec
  • ระบบประเมินที่ยังเน้นปลายภาค → หากไม่มี ประเมินเพื่อพัฒนา (formative assessment) อย่างสม่ำเสมอ ผลของ Active Learning จะไม่เด่นชัด ตามข้อเสนอจากรายงานคุณภาพภายนอกของ สมศ. OneSQA+1
  • ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันต่อ “ฐานสมรรถนะ” → บทวิเคราะห์สาธารณะสะท้อนความสับสนของครู–ผู้ปกครองต่อหลักสูตรใหม่ จึงควรมีสื่อสาธิตและ PLC เชิงปฏิบัติการต่อเนื่อง (แม้เป็นบทความสื่อ แต่ชี้ภาพรวมปัญหาและความต้องการการสื่อสาร). tcc.or.th

🛠️ ทำให้เวิร์กในห้องเรียนไทย: แบบแผนพร้อมใช้

🧩 1) ออกแบบกิจกรรม 3 ขั้น (ก่อน–ระหว่าง–หลังเรียน)

  • ก่อนเรียน (pre-activation): วิดีโอย่อ/ภาพกรณีศึกษา 2–3 นาที + คำถามคาดเดา (prediction).
  • ระหว่างเรียน: Think–Pair–Share 8–10 นาที → Gallery Walk 10 นาที → Mini-Quiz 5 นาที (ใช้กระดาษ/อุปกรณ์ที่มี).
  • หลังเรียน: Exit Ticket 1–2 คำถามสะท้อนคิด (reflection) + งานสั้นที่เชื่อมชีวิตจริง (authentic task).
    สอดคล้องแนวทาง สพฐ. ที่ผลักดันให้เด็กได้ “ลงมือ–คิด–สะท้อน” ในทุกช่วง. academic.obec.go.th

🧑‍🏫 2) เสริมสมรรถนะครูอย่างตรงจุด

  • คลังแผน “สั้น–สเกลง่าย” (10–20 นาที), แบบประเมินเพื่อพัฒนา (formative rubrics), แนวดูแลความแตกต่างระหว่างบุคคล—ตรงกับข้อเสนอของ สมศ. และนโยบาย ศธ. 2567 ที่ชู digital literacy ของครู. OneSQAMinistry of Education Thailand

🧮 3) ปรับการประเมินให้หนุน Active Learning

  • ตั้ง น้ำหนักคะแนนระหว่างเรียน (เช่น 40–60%) จากงาน/กิจกรรม/การมีส่วนร่วม พร้อมหลักฐานชิ้นงาน (portfolio) ตามแนวคุณภาพภายนอก สมศ. และกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ สกศ. OneSQABackoffice Onec

🧑‍🎓 4) โฟกัสหรือมุ่งเน้นที่ “ทักษะคิดสร้างสรรค์” แก้จุดอ่อนจาก PISA

  • ใช้โจทย์ หลายคำตอบถูก (multiple-solution tasks), การออกแบบชิ้นงาน (design challenge), ตั้งคำถามปลายเปิด (open-ended questions) เพื่อยกระดับ creative thinking ซึ่งเป็นจุดที่ผู้เรียนไทยยังทำได้ไม่สูงตาม PISA 2022. OECD

🧭 บทสรุปเชิงนโยบาย: “ใช้ได้ผล” ถ้าออกแบบ–ประเมิน–หนุนครูให้ครบวงจร

คำตอบ: Active Learning ใช้ได้ผลกับบริบทไทย หาก
(1) มี “ตัวอย่างกิจกรรมสั้น–สเกลง่าย” สำหรับชั้นเรียนใหญ่,
(2) ปรับระบบประเมินเป็น ประเมินเพื่อพัฒนา (formative) อย่างจริงจัง,
(3) สร้าง ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) และคลังแผนพร้อมใช้,
(4) สื่อสารหลักสูตรฐานสมรรถนะให้เข้าใจร่วมกัน,
(5) ใช้นโยบาย/การประกันคุณภาพภายนอก หนุนรูปแบบการสอน ไม่ใช่เพียงตรวจเอกสาร.

หลักฐานสากล–ในประเทศ และทิศทางของ ศธ., สพฐ., สมศ., สกศ. สนับสนุนการขยับห้องเรียนไทยสู่ Active Learning อย่างมีคุณภาพ. PNAS+1OneSQABackoffice Onec


🔍 แหล่งอ้างอิงงานวิจัย (Research References)

  • Freeman S. et al. PNAS 2014: Active Learning เพิ่มคะแนนสอบ/ลดตกวิชาใน สะเต็ม (STEM). PNASDis.fi
  • Theobald E.J. et al. PNAS 2020: Active Learning ลดช่องว่างผลสัมฤทธิ์ ในผู้เรียนด้อยโอกาส. PNAS+1
  • สพฐ. คู่มือ/แนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และเอกสารปฐมวัย. academic.obec.go.th+1
  • สกศ. แนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก. Backoffice Onec
  • ยูเนสโก (UNESCO) Bangkok Statement 2022: ฟื้นฟูการเรียนรู้–ยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้เรียน. UNESCO Document Repository

🏛️ แหล่งอ้างอิง “หน่วยงานภาครัฐ” (ไทย/ต่างประเทศ)

  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รายงานตรวจสอบ/ประเมินผลภาครัฐ 2567—ผลักดันฐานสมรรถนะ–ทักษะดิจิทัลครู. Ministry of Education Thailand
  • สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เอกสาร/ชุดกิจกรรม Active Learning และนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้”. academic.obec.go.th+1
  • สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ. หรือ ONESQA) กรอบแนวทางคุณภาพภายนอก 2567–2571 และข้อค้นพบเชิงคุณภาพ. OneSQA+1
  • องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (องค์การโออีซีดี (OECD)) PISA 2022 (ภาพรวมไทย/ความคิดสร้างสรรค์). OECD+1
  • องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (องค์การยูเนสโก (UNESCO)) Bangkok Statement 2022. UNESCO Document Repository
Posted on

🧠 เหตุใด “สมรรถนะการเรียนรู้” ของเด็กจึงแตกต่างกัน? แค่ความพร้อมด้านจิตใจหรือมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย

บทความนี้สรุปหลักฐานวิจัยเชิงประจักษ์จากหน่วยงานภาครัฐ (สหรัฐฯ) ว่าความแตกต่างด้านผลการเรียนของเด็กๆ ไม่ได้มาจาก “ความพร้อมทางจิตใจ” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมจากปัจจัยชีวภาพ จิตใจ สิ่งแวดล้อม ครอบครัว โรงเรียน เศรษฐกิจสังคม และนโยบายสาธารณะ การทำความเข้าใจ “หลายมิติ” จะช่วยออกแบบการช่วยเหลือที่ตรงจุดมากยิ่งขึ้น


🔎 สรุปภาพรวมแบบสั้น

  • จิตใจและพัฒนาการด้านอารมณ์ มีผลจริง (เช่น ความเครียด การนอน) แต่เป็นแค่ “ส่วนหนึ่ง” ของสมการทั้งหมด ไม่ใช่ตัวแปรเดียวที่ตัดสินทุกอย่าง (หลักฐานจาก NIH/CDC เรื่องการนอนและ ACEs). National Institutes of Health (NIH)PMCCDC
  • ชีวภาพ/สุขภาพ (สายตา หูได้ยิน ภาวะพิษตะกั่ว โรคพัฒนาการ/สมาธิ) ส่งผลชัดเจนต่อภาษา ความจำสนับสนุน (working memory) และความพร้อมเรียนรู้ หากตรวจพบและแทรกแซงเร็ว ผลลัพธ์ดีขึ้นมาก (CDC/NIMH). CDC+2CDC+2National Institute of Mental Health
  • สิ่งแวดล้อมและโภชนาการ/กิจกรรม (อาหารเช้า การเคลื่อนไหว) สัมพันธ์กับสมาธิ ความจำ และผลสัมฤทธิ์ (USDA/NHLBI). USDA Food and Nutrition Service+1NHLBI, NIH
  • บริบทเศรษฐกิจ-สังคมและคุณภาพโรงเรียน เกี่ยวข้องกับ “ช่องว่างผลสัมฤทธิ์” แต่ลดได้ด้วยนโยบายและการสอนเชิงพยานหลักฐาน (NCES/IES). National Center for Education Statistics+1Institute of Education Sciences

ด้านล่างคือรายละเอียดเชิงลึกในแต่ละมิติ พร้อมแนวทางปฏิบัติที่ปรับใช้ได้ในโรงเรียน/ครอบครัว


🧩 มิติที่ 1: จิตใจ อารมณ์ และการนอน

  • การนอน: เด็กที่นอนไม่พอมีความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและการทำงานของสมองในเครือข่ายการเรียนรู้และพฤติกรรม ส่งผลต่อความจำและสมาธิ (งานติดตามภาพสมอง 2 ปีของ NIH). National Institutes of Health (NIH)
  • ความเครียดและประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในวัยเด็ก (ACEs): เชื่อมโยงกับปัญหาพฤติกรรม สมาธิ การกำกับอารมณ์ และผลการเรียนต่ำกว่าเฉลี่ย แนวทางป้องกัน ACEs ระดับชุมชนช่วยลดผลกระทบนี้ได้ (CDC). CDC+1

เช็คลิสต์วิธีปฏิบัติ

  • จัด “สุขอนามัยการนอน” ที่สม่ำเสมอ (เข้านอน-ตื่นนอนเป็นเวลา)
  • ระบบดูแลเชิงรุกต่อสัญญาณเครียด/ทรอม่า (trauma-informed) ในโรงเรียนร่วมกับผู้ปกครอง (แนวป้องกัน ACEs จาก CDC). CDC

👂👀 มิติที่ 2: สุขภาพประสาทสัมผัสและโสตประสาท

  • สายตา: ความผิดปกติของการมองเห็นสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ในห้องเรียน การคัดกรองช่วงอายุ 3–5 ปีมี “ประโยชน์สุทธิระดับปานกลาง” และช่วยปรับปรุงการเรียน/พฤติกรรมหลังรักษา (CDC และ USPSTF สรุปใน MMWR). CDC+1
  • การได้ยิน: ความบกพร่องการได้ยินส่งผลต่อภาษา สังคม และการเรียนรู้ การระบุเร็วและเริ่มแทรกแซงก่อน 6 เดือนพยากรณ์ผลลัพธ์ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (CDC EHDI). CDC+1

เช็คลิสต์วิธีปฏิบัติ

  • ทำวิสัยทัศน์สกรีนอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 3–5 ปี และติดตามรักษา
  • สำหรับทารก/เด็กเล็ก ตรวจคัดกรองการได้ยินต่อเนื่อง และส่งต่อบริการแทรกแซงเร็ว (speech-language, อุปกรณ์ช่วยฟัง ฯลฯ). CDC+1

🧪 มิติที่ 3: สารพิษสิ่งแวดล้อม—ตัวอย่าง “ตะกั่ว”

แม้ระดับตะกั่วในเลือดเพียงเล็กน้อยก็ลด IQ ความใส่ใจ และผลการเรียน จึงถือว่า “ไม่มีระดับที่ปลอดภัย” สำหรับเด็ก มาตรการที่สำคัญคือการกำจัดแหล่งสัมผัสตั้งแต่ต้นทาง (CDC). CDC+1


🧠 มิติที่ 4: ความแตกต่างด้านพัฒนาการ/สมาธิ

  • สมาธิสั้น (ADHD): ส่งผลต่อความสนใจและการยับยั้งพฤติกรรม กระทบต่อผลการเรียนของเด็กและแม้กระทั่งพี่น้องร่วมครอบครัวบางส่วน หลักฐานการรักษาและแนวปฏิบัติมีสรุปโดย NIMH (NIH). National Institute of Mental Health+1
  • ความจำใช้งาน (Working Memory) และการแก้ปัญหาเชิงคณิต: เป็นคอขวดสำคัญของการเรียนคณิตศาสตร์ การสอนที่ออกแบบเพื่อลดภาระ WM และสอนกลยุทธ์ช่วยชดเชย ช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ (โครงการวิจัย IES). Institute of Education Sciences

🥗🏃 มิติที่ 5: โภชนาการและการเคลื่อนไหว

  • อาหารเช้า: โครงการอาหารเช้าฟรีในโรงเรียนสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมและตัวชี้วัดโภชนาการ/ผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น (USDA Food and Nutrition Service; การประเมินโครงการนำร่อง). USDA Food and Nutrition Service+1
  • กิจกรรมทางกาย: เด็กๆ มีการคิดและความจำดีขึ้นแม้หลังออกกำลังกายเพียง 1 เซสชัน สอดคล้องกับหลักฐานว่ากิจกรรมกายช่วยการทำงานสมองและการนอน (NHLBI/NIH). NHLBI, NIH+1

🏫 มิติที่ 6: บริบทโรงเรียนและเศรษฐกิจสังคม

  • ช่องว่างผลสัมฤทธิ์ (Achievement Gaps): ข้อมูล NAEP ของ NCES แสดงความแตกต่างเชิงกลุ่ม (เชื้อชาติ/ชาติพันธุ์ สถานะสังคมเศรษฐกิจ ฯลฯ) ที่คงอยู่ในหลายบริบทของโรงเรียน สะท้อนอิทธิพล “โครงสร้าง” มากกว่าคุณลักษณะรายบุคคลล้วนๆ. National Center for Education Statistics+1
  • การสอนเชิงพยานหลักฐาน: โครงการของ IES แสดงความก้าวหน้าในการพัฒนาการสอนอ่าน/คณิตแบบเข้มข้นที่ยกระดับผลลัพธ์ของผู้เรียนที่มีความเสี่ยงหรือต้องการความช่วยเหลือเฉพาะ. Institute of Education Sciences

แนวปฏิบัติระดับระบบ

  • ใช้กรอบ Whole School, Whole Community, Whole Child (WSCC) เพื่อบูรณาการสุขภาพ-การศึกษา-ครอบครัวร่วมกันทั้งระบบ (CDC). CDC
  • เสริม “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” พร้อมข้อมูลสุขภาพ/คัดกรอง (ตา หู BMI ฯลฯ) และการสื่อสารหลายภาษา (CDC). CDC

🧭 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติเพื่อ “ปิดช่องว่าง” อย่างเป็นระบบ

  1. ตั้งทีมสหวิชาชีพ ในโรงเรียน (ครูแนะแนว/นักจิตวิทยา/พยาบาล/นักเวชศาสตร์สื่อความหมาย) สำหรับคัดกรองปัจจัยเสี่ยงที่แก้ได้ (การนอน สายตา หูได้ยิน โภชนาการ สุขภาพจิต)
  2. เฝ้าระวังตะกั่วและสารพิษ ในชุมชน/อาคารเรียน เก็บตัวอย่างน้ำ สีผนัง และจัดช่องทางส่งตรวจเลือดสำหรับกลุ่มเสี่ยง (CDC toolkit). CDC
  3. ออกแบบการสอนลดภาระความจำใช้งาน และเพิ่มการฝึกกลยุทธ์ทีละขั้น โดยอาศัยคู่มือ/หลักฐานจาก IES/WWC
  4. ขยายการเข้าถึงอาหารเช้าในโรงเรียน และกิจกรรมทางกายรายวัน (USDA/NHLBI) เพื่อหนุนสมาธิและความจำทำงาน. USDA Food and Nutrition ServiceNHLBI, NIH
  5. ขับเคลื่อนกรอบ WSCC และป้องกัน ACEs ระดับชุมชน เพื่อยกระดับสุขภาวะและความพร้อมเรียนรู้ทั้งโรงเรียน. CDC+1

✅ บทสรุป

ความพร้อมด้านจิตใจ “สำคัญมากที่สุด” แต่ไม่ใช่คำอธิบายทั้งหมดของความแตกต่างด้านสมรรถนะการเรียนรู้ของเด็กๆ หลักฐานจากหน่วยงานรัฐสะท้อนว่า สุขภาพประสาทสัมผัส/สารพิษสิ่งแวดล้อม/การนอน/โภชนาการ/กิจกรรมกาย/บริบทครอบครัวและโรงเรียน ล้วนเป็นตัวขับร่วมกัน แนวทางที่ได้ผลคือ คัดกรอง-แทรกแซงเร็ว-สอนเชิงพยานหลักฐาน-บูรณาการสุขภาพกับการศึกษา เพื่อให้เด็กทุกคน “ได้โอกาสเรียนรู้เต็มศักยภาพ” อย่างแท้จริง


🏛️ แหล่งอ้างอิง

  • CDC – Adverse Childhood Experiences (ACEs): ภาพรวมและการป้องกัน. CDC+2CDC+2
  • NIH – ผลของการนอนต่อสมองเด็กและความรู้ความจำ: ข่าววิจัย NIH Research Matters และบททบทวนใน PubMed Central. National Institutes of Health (NIH)PMC
  • CDC – พิษตะกั่วในเด็ก: ระดับอ้างอิงเลือดและผลกระทบด้าน IQ/ความสนใจ/ผลการเรียน. CDC+1
  • CDC – วิสัยทัศน์และการได้ยินของเด็ก: แนวทางคัดกรอง การแทรกแซง และหลักฐานประโยชน์. CDC+3CDC+3CDC+3
  • NIMH/NIH – ADHD และผลต่อการเรียน: หน้าโรคและสรุปงานวิจัย. National Institute of Mental Health+1
  • USDA Food and Nutrition Service – โครงการอาหารเช้าโรงเรียน: ผลกระทบต่อโภชนาการและตัวชี้วัดด้านการเรียน. USDA Food and Nutrition Service+1
  • NHLBI/NIH – กิจกรรมทางกายกับความรู้คิดของเด็ก: ประโยชน์ต่อสมองและการนอน. NHLBI, NIH+1
  • NCES/IES (U.S. Dept. of Education): ช่องว่างผลสัมฤทธิ์และงานพัฒนาการสอน/แทรกแซงที่เข้มข้น. National Center for Education Statistics+1Institute of Education Sciences
  • CDC – กรอบ WSCC และคู่มือการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในสุขภาพโรงเรียน. CDC+1
Posted on

สพฐ.ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือก บุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัด สพฐ.ปี พ.ศ.2568

ดาวโหลดประกาศ

Posted on

วิทยาศาสตร์อธิบายได้: ทำไมเด็กบางคนถึงกลัววิชาคำนวณ ✨New✨

เด็กจำนวนไม่น้อยที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากมักแสดงออกถึงความไม่ชอบหรือกลัวการเรียนคณิตศาสตร์อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือปัญหาเฉพาะบุคคล หากแต่สะท้อนความเกี่ยวพันระหว่าง “ประสบการณ์ชีวิต” กับ “การทำงานของสมอง” ที่วิชาคณิตศาสตร์ต้องการอย่างลึกซึ้ง บทความนี้จะอธิบายสาเหตุหลักโดยมีงานวิจัยรองรับทุกแง่มุม


🔍 1. ความเครียดเรื้อรังในวัยเด็กส่งผลต่อการทำงานของสมอง

เด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีความเครียดสูง เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ความยากจน หรือการถูกทอดทิ้ง มักประสบกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสมอง โดยเฉพาะในส่วน พรีฟรอนทอล คอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) และ ฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการคิดเชิงตรรกะ การจดจำ และการควบคุมอารมณ์ — ความสามารถที่จำเป็นสำหรับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์

🔹งานวิจัยจาก แม็กลอฟลิน และคณะ (McLaughlin et al., 2014) พบว่า เด็กที่เคยเผชิญกับประสบการณ์รุนแรงในวัยเด็กจะมีขนาดของพรีฟรอนทอล คอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) ลดลง และมีผลต่อพัฒนาการด้านทักษะเชิงคำนวณ


🧠 2. สมองที่คุ้นชินกับ “การเอาตัวรอด” ไม่เหมาะกับ “การคิดแบบนามธรรม”

เด็กที่ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดมักถูกฝึกให้ใช้สัญชาตญาณ การตัดสินใจฉับไว และการปรับตัวรวดเร็ว ซึ่งเป็นคนละแบบกับการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบที่วิชาคณิตศาสตร์ต้องการ การเปลี่ยนโหมดจาก “การเอาตัวรอด” ไปสู่ “การเรียนรู้เชิงตรรกะ” จึงเป็นเรื่องยากมาก

🔹งานวิจัยของ แบลร์ และ เรเวอร์ (Blair & Raver, 2012) ระบุว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยจะมีระดับ คอร์ติซอล (cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียดที่สูงขึ้น ส่งผลให้สมองเข้าสู่โหมด ไฟต์-ออร์-ไฟลต์ (fight-or-flight) มากกว่าที่จะใช้พลังงานกับการคิดวิเคราะห์เชิงลึก


📚 3. ประสบการณ์ล้มเหลวซ้ำซาก ทำให้เกิด “ความวิตกกังวลทางคณิตศาสตร์ (Math Anxiety)”

เมื่อเด็กได้รับประสบการณ์ล้มเหลวในการเรียนคณิตศาสตร์บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในวัยประถม ความรู้สึกกลัวคณิตศาสตร์จะฝังแน่นในจิตใต้สำนึกและเกิดเป็น “ความวิตกกังวลทางคณิตศาสตร์” หรือ แมธ แองไซตี้ (Math Anxiety) ซึ่งรบกวนทั้งการเรียนรู้และความมั่นใจ

🔹แอชคราฟต์ และ เคิร์ก (Ashcraft & Kirk, 2001) พบว่า ผู้ที่มีระดับแมธ แองไซตี้ (Math Anxiety) สูงจะใช้ทรัพยากรใน เวิร์คกิง เมมโมรี (working memory) น้อยลงขณะทำโจทย์ ส่งผลให้ผลการเรียนตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง


🧩 4. ขาด “พื้นฐานทางภาษา” ที่จำเป็นในการเข้าใจโจทย์

วิชาคณิตศาสตร์ไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่ยังมีเนื้อหาในรูปแบบของโจทย์ปัญหา ซึ่งต้องอาศัยทักษะการอ่านจับใจความและตีความอย่างมาก เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ขาดแคลนทรัพยากรด้านภาษามักมีคลังคำศัพท์จำกัด จึงเข้าใจโจทย์ได้ยาก ส่งผลต่อทัศนคติต่อวิชานี้โดยตรง

🔹งานวิจัยจาก จอร์แดน และคณะ (Jordan et al., 2009) แสดงว่า ทักษะทางภาษาในช่วงวัยอนุบาลสามารถทำนายความสำเร็จในวิชาคณิตศาสตร์ตอนประถมได้อย่างแม่นยำ


💬 5. ขาดแบบอย่างและการสนับสนุนจากครอบครัว

ในครอบครัวที่ผู้ปกครองไม่สามารถช่วยสอนการบ้าน หรือตัวพ่อแม่เองมีทัศนคติลบต่อคณิตศาสตร์ เด็กจะขาดแรงสนับสนุนและแบบอย่างเชิงบวก ยิ่งทำให้รู้สึกว่า “คณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของฉัน”

🔹เอคเคิลส์ และ แฮโรลด์ (Eccles & Harold, 1993) อธิบายว่า เด็กที่มีพ่อแม่ที่สนับสนุนการเรียนคณิตศาสตร์อย่างชัดเจน จะมีแรงจูงใจและผลสัมฤทธิ์ที่สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับแรงสนับสนุนดังกล่าว


🔄 สรุป: ปัจจัยด้านจิตใจ สมอง และสังคมเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น

การที่เด็กไม่ชอบคณิตศาสตร์จึงไม่ใช่แค่ “เกลียดตัวเลข” หรือ “ขี้เกียจเรียน” แต่เป็นผลลัพธ์ของสภาพแวดล้อม ความเครียดในวัยเด็ก และระบบสนับสนุนรอบตัวที่หายไป การแก้ปัญหานี้จึงต้องไม่ใช่เพียงสอนสูตรใหม่ แต่ต้องเยียวยาใจและสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้กับเด็ก


📖 แหล่งอ้างอิง

  1. McLaughlin, K. A., Sheridan, M. A., & Lambert, H. K. (2014). Childhood adversity and neural development: Deprivation and threat as distinct dimensions of early experience. Neuroscience & Biobehavioral Reviews, 47, 578–591.
  2. Blair, C., & Raver, C. C. (2012). Child development in the context of adversity: Experiential canalization of brain and behavior. American Psychologist, 67(4), 309–318.
  3. Ashcraft, M. H., & Kirk, E. P. (2001). The relationships among working memory, math anxiety, and performance. Journal of Experimental Psychology: General, 130(2), 224–237.
  4. Jordan, N. C., Kaplan, D., Ramineni, C., & Locuniak, M. N. (2009). Early math matters: Kindergarten number competence and later mathematics outcomes. Developmental Psychology, 45(3), 850–867.
  5. Eccles, J. S., & Harold, R. D. (1993). Parent-school involvement during the early adolescent years. Teachers College Record, 94(3), 568–587.
Posted on

ก.ค.ศ. เดินหน้าปรับระบบย้ายครูผ่าน TRS พร้อมเกณฑ์ใหม่สำหรับ “ผอ.-รองผอ.” เริ่ม 1 ก.ค.นี้

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ประชุมครั้งที่ 5/2568 โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน พร้อมมีมติเห็นชอบหลายประเด็นสำคัญ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพระบบบริหารบุคลากรภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะการปรับปรุงเกณฑ์และระบบการย้ายข้าราชการครูผ่านระบบ TRS รวมถึงการกำหนดเกณฑ์ประเมินความพร้อมของผู้บริหารสถานศึกษาและแนวทางคัดเลือก “ผู้อำนวยการ” และ “รองผู้อำนวยการ” โรงเรียน

ปรับปรุงเกณฑ์ย้ายข้าราชการครูผ่านระบบ TRS รอบใหม่ เริ่ม 1 ก.ค. 2568

หลังจากดำเนินการย้ายข้าราชการครูรอบแรกผ่านระบบ TRS (Teacher Rotation System) เมื่อต้นปี 2568 และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ก.ค.ศ. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางการย้ายให้มีความชัดเจน โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 10 ตุลาคม 2568 โดยสาระสำคัญประกอบด้วย:

  • ปรับปรุงองค์ประกอบ ตัวชี้วัด คะแนน และกรอบการพิจารณาย้าย
  • ปรับแนวปฏิบัติการประมวลผลและพิจารณาการย้ายผ่านระบบ TRS
  • กำหนดปฏิทินการย้ายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

เป้าหมายหลักของการปรับปรุงครั้งนี้คือเพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมในการย้ายตำแหน่ง ลดการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก และสอดรับกับนโยบาย “ครูคืนถิ่น” ของกระทรวงศึกษาธิการ

ขยับเกณฑ์ประเมิน “ผู้บริหารสถานศึกษา” แยกตามขนาดโรงเรียน

ก.ค.ศ. ยังเห็นชอบหลักเกณฑ์การย้ายตำแหน่ง “ผู้บริหารสถานศึกษา” โดยเฉพาะการกำหนดขนาดของโรงเรียนและเกณฑ์การประเมินศักยภาพของผู้ขอย้าย สำหรับปี 2568 โรงเรียนจะถูกจัดขนาดเป็น 4 ประเภท ตามจำนวนนักเรียน ได้แก่ ขนาดเล็ก (ไม่เกิน 119 คน), กลาง (120–719 คน), ใหญ่ (720–1,679 คน) และใหญ่พิเศษ (มากกว่า 1,680 คน)

องค์ประกอบในการประเมินครอบคลุมทั้งด้านวิชาการ ประสบการณ์ วิสัยทัศน์ คุณธรรม และผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน เช่น:

  1. ความรู้ความสามารถด้านบริหารการศึกษา
  2. ประสบการณ์และระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
  3. ผลงานและคุณภาพงาน
  4. วิสัยทัศน์และการพัฒนาวิชาชีพ
  5. ความประพฤติและค่านิยมสร้างสรรค์
  6. ผลประเมินตามข้อตกลงพัฒนางาน (PA)

ปรับเกณฑ์คัดเลือก “ผอ.-รองผอ.” ให้ทันยุค ย้ำวิสัยทัศน์-ผลงานเด่น

ในอีกประเด็นสำคัญ ก.ค.ศ. ได้ให้ความเห็นชอบรายละเอียดการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้ง “รองผู้อำนวยการ” และ “ผู้อำนวยการสถานศึกษา” ตามหลักเกณฑ์ใหม่ (ว12/2568) ที่สอดคล้องกับมาตรฐานตำแหน่ง โดยมีการแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ภาค:

  • ภาค ก ความรู้ความสามารถ (ข้อเขียน 100 คะแนน)
  • ภาค ข ประสบการณ์และผลงาน (ประวัติ 60 คะแนน, ผลงาน 40 คะแนน)
  • ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง (วิสัยทัศน์ 50 คะแนน, สัมภาษณ์ 50 คะแนน)

โดยผู้ผ่านการคัดเลือกจะขึ้นบัญชีรายชื่อเป็นเวลา 1 ปีนับจากวันประกาศ.

แหล่งที่มา : สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.), ศธ.

Posted on

สพฐ.ประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.สพท.ปี พ.ศ.2568

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แจ้งหนังสือเวียนถึงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต เรื่องประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ.2568 (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ศธ 04009/ว750 ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2568)

ดาวน์โหลดเอกสาร

แหล่งที่มา : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ศธ.

Posted on

สพฐ.ห้ามครูและบุคลากรนำรถราชการไปใช้ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในหนังสือราชการถึงหัวหน้าส่วนราชการ และองค์กรในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อ กำชับให้ข้าราชการและบุคลากรปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการใช้รถราชการอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 มีรายงานข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงต่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่นำรถราชการไปใช้ส่วนตัว เช่น การเดินทางระหว่างบ้านพักกับที่ทำงาน และเบิกจ่ายค่าน้ำมันจากทางราชการ เสมือนว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงมีคำสั่งให้หัวหน้าส่วนราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการชี้แจง กำชับ และควบคุมดูแลบุคลากรในสังกัดให้ปฏิบัติตามระเบียบการใช้รถราชการอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ และรักษาความโปร่งใสในหน่วยงานราชการ.

ดาวน์โหลดไฟล์เอกสาร

แหล่งที่มา : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ศธ.

Posted on

บทวิเคราะห์: อนาคตนักศึกษาต่างชาติสั่นคลอน หลังรัฐบาลสหรัฐฯสั่งเพิกถอนสิทธิ์ฮาร์วาร์ด

(ภาพประกอบ-สร้างจากคอมพิวเตอร์)

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2025 รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศยกเลิกสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างชาติอย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่ามหาวิทยาลัยปฏิเสธความร่วมมือกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ในการส่งมอบข้อมูลพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติ เป็นการดำเนินมาตรการลงโทษที่ส่งแรงสะเทือนถึงรากฐานของระบบอุดมศึกษาในสหรัฐฯ และสะท้อนถึงการใช้อำนาจรัฐที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นไปเพื่อผลทางการเมืองมากกว่าความมั่นคงจริงจัง

ประเด็นสำคัญและการวิเคราะห์

1. การใช้มาตรการลงโทษเชิงสถาบันเพื่อต่อสู้ทางอุดมการณ์

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่าเป็น “แหล่งเพาะแนวคิดต่อต้านอเมริกาและยิว” และไม่ดำเนินมาตรการจริงจังต่อการประท้วงของนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส รวมถึงแนวทางส่งเสริมความหลากหลาย (DEI) ที่ถูกมองว่า “เหยียดเชื้อชาติย้อนกลับ” การถอนใบอนุญาตนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยน SEVP (Student and Exchange Visitor Program) จึงเป็นมาตรการตอบโต้ที่ชัดเจนต่อเป้าหมายทางอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

2. ผลกระทบต่อประชาคมโลกและความเป็นสากลของมหาวิทยาลัย

การเพิกถอนสิทธิ์รับนักศึกษาต่างชาติทันที ทำให้นักศึกษาหลายพันคนที่มีสถานะเป็นชาวต่างชาติต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านวีซ่า ด้านการเรียน และด้านที่อยู่อาศัย นักศึกษาจำนวนหนึ่งที่เตรียมตัวมาเรียนในปีการศึกษาใหม่ปีนี้ ต้องยกเลิกแผนการเดินทางอย่างกะทันหัน บางรายต้องหามหาวิทยาลัยใหม่ ทั้งหมดนี้ได้ทำลายความเชื่อมั่นที่ว่าสหรัฐฯเป็นศูนย์กลางของการศึกษาระดับโลก

3. ความขัดแย้งเรื่องอำนาจรัฐกับเสรีภาพทางวิชาการ

การเรียกร้องให้ส่งข้อมูล “พฤติกรรมทางความคิด” ของนักศึกษาต่างชาติ รวมถึงวิดีโอการประท้วง ถือเป็นการล้ำเส้นต่อเสรีภาพทางวิชาการและสิทธิส่วนบุคคล ฮาร์วาร์ดยืนยันว่าเงื่อนไขเหล่านี้ละเมิดรัฐธรรมนูญและการดำเนินการของรัฐบาลเป็นการคุกคามสถาบันการศึกษาทั้งระบบ

4. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและอิทธิพลทางวัฒนธรรม

การตัดสิทธิ์รับนักศึกษาต่างชาติและแช่แข็งเงินทุนของฮาร์วาร์ดกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงการเตรียมยกเลิกสถานะปลอดภาษีของมหาวิทยาลัย ไม่เพียงแต่กระทบต่อสถาบันเดียว แต่ยังส่งสัญญาณอันตรายต่อมหาวิทยาลัยอื่นๆในสหรัฐฯ ที่ มีนโยบายคล้ายคลึงกัน การกระทำนี้ยังเป็นบ่อนทำลาย “soft power” ของสหรัฐฯ ซึ่งเคยใช้การศึกษาระดับสูงเป็นเครื่องมือในการสร้างพันธมิตรและอิทธิพลทั่วโลก

5. การเมืองในประเทศที่ส่งผลถึงนโยบายการศึกษา

ในช่วงเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา การโจมตีมหาวิทยาลัยที่ถูกมองว่า “เสรีนิยมเกินไป” เป็นยุทธศาสตร์ของพรรครีพับลิกันเพื่อดึงคะแนนเสียงจากฐานอนุรักษ์นิยม นโยบายนี้จึงถูกมองว่าเป็น “การแสดงอำนาจ” มากกว่าความพยายามรักษาความมั่นคง

สรุป :

กรณีนี้ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่อาจส่งผลรุนแรงต่ออนาคตของการศึกษานานาชาติในสหรัฐฯ การใช้อำนาจรัฐเพื่อกดดันมหาวิทยาลัยให้เปลี่ยนจุดยืนทางอุดมการณ์เป็นแนวทางที่เสี่ยงต่อการบ่อนทำลายหลักประชาธิปไตย เสรีภาพทางวิชาการ และภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางด้านวิชาการชั้นนำของโลก.

แหล่งอ้างอิง:

  • ถ้อยแถลงจาก DHS และ Harvard University
Posted on

สำนักงาน ก.ค.ศ.(สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) มีมติเห็นชอบให้กำหนดผู้มีอำนาจพิจารณาอนุญาตการลาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาขึ้นใหม่ (ว14/2568)

สำนักงาน ก.ค.ศ.(สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) มีมติเห็นชอบให้กำหนดผู้มีอำนาจหรือพิจารณาอนุญาต และอำนาจพิจารณาหรืออำนาจการลาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาขึ้นใหม่ (ว 14/2568)

แหล่งที่มา : สำนักงาน ก.ค.ศ.

Posted on

“มาตรฐานครูปฐมวัย” ฉบับใหม่จากคุรุสภา: สร้างคุณภาพครู สร้างอนาคตเด็กไทย

(ภาพประกอบ)

คุรุสภาเร่งผลักดันร่างข้อบังคับมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ฉบับใหม่ หวังยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยตั้งแต่รากฐาน รองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคใหม่และเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการคุรุสภาแล้ว และอยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาลงนามก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา

ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า การจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภาดังกล่าว เป็นการสนับสนุนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาครูให้มีคุณภาพสูง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความสุขของผู้เรียน

ร่างข้อบังคับครูปฐมวัยฉบับใหม่: เนื้อหาครอบคลุม 3 ด้านหลัก

  1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
    กำหนดให้ครูปฐมวัยต้องมีความรู้ลึกซึ้งด้านพัฒนาการเด็ก สมองและการเรียนรู้ตามช่วงวัย การสร้างสัมพันธภาพกับเด็ก การออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและการประเมินพัฒนาการแบบองค์รวม สอดคล้องกับสังคมและระบบนิเวศรอบตัวเด็ก เช่น ครอบครัว ชุมชน สาธารณสุข และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน
    ครูปฐมวัยต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู ใส่ใจดูแลเด็กด้วยความเมตตา ออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และบูรณาการที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย สร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน ใช้การสื่อสารเชิงบวกในการพัฒนาเด็ก ตลอดจนใช้เทคโนโลยีการศึกษาร่วมกับกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อเสริมสมรรถนะพื้นฐานของเด็กอย่างเหมาะสม
  3. มาตรฐานการปฏิบัติตน
    ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู มีคุณธรรม จริยธรรม และวางตนให้เหมาะสมกับบทบาทของครูผู้เป็นผู้ดูแลเด็กในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต

นอกจากนี้ ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยยังต้องมีประสบการณ์ปฏิบัติการสอนอย่างน้อย 1 ปีในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนด

เน้นครูเป็นรากฐานการศึกษาตั้งแต่วัยแรกเริ่ม

“คุรุสภาเห็นความสำคัญของครูปฐมวัยในฐานะผู้ออกแบบการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็กในช่วงสำคัญของชีวิต ซึ่งจะเป็นรากฐานในการเติบโตและเรียนรู้ในขั้นต่อไป” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว พร้อมระบุว่าร่างข้อบังคับฉบับใหม่นี้มีเป้าหมายให้ครูมีสมรรถนะทางวิชาชีพที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และส่งเสริมพัฒนาการเด็กอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ คุรุสภาได้เปิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันผลิตครู หน่วยงานผู้ใช้ครู ครูในวิชาชีพ รวมถึงผู้ปกครองและนิสิตนักศึกษา ร่วมแสดงความคิดเห็นในกระบวนการจัดทำข้อบังคับ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและครอบคลุมทุกมิติ.