Posted on

Paralysis Demon: ภูตในยามหลับหรือภาพหลอนจากสมอง? วิเคราะห์ปรากฏการณ์ปีศาจอัมพาตด้วยงานวิจัย”

เมื่อร่างกายตื่นแต่จิตใจยังติดอยู่ในฝัน
หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ “สะดุ้งตื่นกลางดึก รู้สึกเหมือนถูกกดทับ พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ และรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในห้อง” ปรากฏการณ์นี้มักเรียกกันว่า “Paralysis Demon” หรือ “ปีศาจอัมพาต” โดยเป็นคำที่นิยมใช้บนโลกออนไลน์ เพื่ออธิบายประสบการณ์ของ “sleep paralysis” หรือ “ภาวะผีอำ” ในทางวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากกลไกของสมอง ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ

Sleep Paralysis คืออะไร?

Sleep Paralysis หรือ อาการอัมพาตขณะหลับ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนผ่านระหว่างช่วงหลับลึก (non-REM) และช่วงหลับฝัน (REM sleep) หรือระหว่างการตื่นนอน
ในช่วง REM สมองจะยังคงทำงานเพื่อสร้างความฝัน แต่ร่างกายจะถูก “ล็อก” เพื่อไม่ให้เราขยับตามความฝัน หากเกิดการตื่นขึ้นมาก่อนที่สมองจะปลดล็อกร่างกาย เราจะรู้สึกเหมือนถูกตรึง ขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ และบางครั้งอาจรู้สึกถึง “การปรากฏตัว” ของสิ่งลึกลับใกล้ตัว

Paralysis Demon: จากภาพหลอนในสมองสู่ปีศาจในความเชื่อ

งานวิจัยจำนวนมากอธิบายว่าภาพของ “Paralysis Demon” เป็นผลจากอาการ hypnopompic hallucination (ภาพหลอนขณะตื่น) ซึ่งเกิดจากความสับสนของสมองที่ยังไม่แยกความจริงออกจากความฝันในช่วงตื่นนอน

📌 งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Waterloo ประเทศแคนาดา (2012) พบว่า 20-30% ของประชากรทั่วไปเคยประสบภาวะนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มเห็นภาพหลอนมากที่สุดคือผู้ที่มีความเครียด วิตกกังวล และนอนผิดเวลา

อ้างอิง: Cheyne JA, Rueffer SD, Newby-Clark IR. Hypnagogic and hypnopompic hallucinations during sleep paralysis: Neurological and cultural construction of the night-mare. Conscious Cogn. 1999;8(3):319-337.
https://doi.org/10.1006/ccog.1999.0404

ภาพหลอนที่ผู้ประสบมักพบ ได้แก่:

  • เงาดำเคลื่อนที่ในห้อง
  • สิ่งมีชีวิตปีศาจนั่งทับหน้าอก
  • เสียงกระซิบ หรือเสียงฝีเท้า
  • ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่ง “ชั่วร้าย” อยู่ใกล้

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด Sleep Paralysis และภาพหลอน

  1. ความเครียดและภาวะวิตกกังวลสูง
    การหลับไม่ลึกจากความเครียด ทำให้สมองหลุดเข้าสู่ภาวะ sleep paralysis ได้ง่ายขึ้น
  2. ภาวะขาดการนอน หรือการนอนผิดเวลา
    คนที่นอนน้อย หรือนอนแบบไม่เป็นเวลา เช่น นักศึกษา คนทำงานกะกลางคืน มีโอกาสสูง
  3. การใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์
    ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
  4. โรคจิตเภท หรือกลุ่มอาการผิดปกติทางจิตบางประเภท
    แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติ

📌 งานวิจัยจาก Sleep Medicine Reviews (2011) ระบุว่า ผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลเรื้อรัง มีโอกาสเผชิญภาวะ sleep paralysis และภาพหลอนมากกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า

อ้างอิง: Sharpless BA, Barber JP. Lifetime prevalence rates of sleep paralysis: A systematic review. Sleep Med Rev. 2011;15(5):311-315.
https://doi.org/10.1016/j.smrv.2011.01.007

วิธีจัดการและป้องกัน Sleep Paralysis

  • สร้างสุขอนามัยการนอนที่ดี (Sleep hygiene) เช่น เข้านอน-ตื่นให้ตรงเวลา
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน
  • ลดความเครียดด้วยการทำสมาธิหรือโยคะ
  • หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ซึ่งเป็นท่าที่กระตุ้นภาวะนี้ในหลายกรณี
  • หากเกิดขึ้นบ่อย ควรพบแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อประเมินภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับเรื้อรังหรือ PTSD

สรุป: ปีศาจที่อยู่ในสมอง ไม่ใช่ในความเชื่อ

ปรากฏการณ์ “Paralysis Demon” ที่ดูน่ากลัวนั้น แท้จริงแล้วคือกลไกหนึ่งของสมองที่ทำงานผิดจังหวะระหว่างการหลับและการตื่น ภาพหลอนและความรู้สึกหวาดกลัวเป็นสิ่งที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จึงเป็นการคลายความกลัว และช่วยส่งเสริมให้เราดูแลสุขภาพการนอนของตนเองได้ดียิ่งขึ้น.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Cheyne JA, Rueffer SD, Newby-Clark IR. (1999). Hypnagogic and hypnopompic hallucinations during sleep paralysis: Neurological and cultural construction of the night-mare. Conscious Cogn. 8(3):319-337.
    https://doi.org/10.1006/ccog.1999.0404
  2. Sharpless BA, Barber JP. (2011). Lifetime prevalence rates of sleep paralysis: A systematic review. Sleep Med Rev. 15(5):311-315.
    https://doi.org/10.1016/j.smrv.2011.01.007
Posted on

งานที่ทำส่งผลต่อใจ! เผยอาชีพที่เสี่ยงภาวะซึมเศร้าและเครียดเรื้อรังสูงสุด

งานวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเผยว่า ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตของคนทำงานแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรมและประเภทของอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพในกลุ่มบริการ ร้านอาหาร สื่อบันเทิง และดูแลสุขภาพ มีแนวโน้มเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรัง และภาวะทุกข์อย่างรุนแรงมากกว่ากลุ่มอาชีพอื่น ๆ

ความเครียดไม่เท่ากันในแต่ละสายงาน

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากโครงการสำรวจสุขภาพประชากร Behavioral Risk Factor Surveillance System (BRFSS) ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างกว่า 536,000 คน ใน 37 มลรัฐของสหรัฐฯ ช่วงปี 2015–2019 โดยเน้นเฉพาะกลุ่มแรงงานวัยผู้ใหญ่ที่มีงานทำ

ผลการสำรวจพบว่า:

  • 14.2% ของแรงงานทั้งหมดเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะซึมเศร้า
  • 9.6% มีความเครียดเรื้อรัง (Frequent Mental Distress – FMD)
  • 4.1% เผชิญกับภาวะทุกข์อย่างรุนแรงในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
  • ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ารายงานว่าในหนึ่งเดือนมี “วันที่รู้สึกไม่ดีทางจิตใจ” (MUD) เฉลี่ย 9.5 วัน เทียบกับ 2.2 วัน ในกลุ่มที่ไม่มีภาวะนี้

สายงานบริการและสื่อมีแนวโน้มเสี่ยงสูง

เมื่อวิเคราะห์ตามสายอาชีพ พบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่:

  • งานบริการอาหารและเครื่องดื่ม
  • งานดูแลสุขภาพ
  • งานศิลปะ บันเทิง และสื่อ
  • พนักงานขาย และบริการลูกค้า

กลุ่มเหล่านี้รายงานระดับภาวะซึมเศร้าและความเครียดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของแรงงานทั่วไป โดยเฉพาะอาชีพในภาคบริการและร้านอาหารซึ่งมีภาวะ “ทุกข์รุนแรง” สูงถึง 6.8%

ปัจจัยเสี่ยงด้านประชากร

นอกจากอาชีพแล้ว ปัจจัยประชากรที่สัมพันธ์กับสุขภาพจิต ได้แก่:

  • เพศหญิง มีภาวะซึมเศร้ามากกว่าเพศชายเกือบ 2 เท่า
  • ผู้มีอายุ 18–34 ปี มีแนวโน้มเครียดและซึมเศร้าสูงที่สุดในทุกช่วงวัย
  • ผู้ที่ไม่มีคู่ และ ไม่มีประกันสุขภาพ เผชิญกับความเครียดและภาวะทุกข์ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างชัดเจน

กลุ่มงานแรงงานหนักกลับรายงานสุขภาพจิตต่ำ แต่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูง

น่าสังเกตว่าแม้อาชีพในภาคแรงงาน เช่น เหมืองแร่, การก่อสร้าง และ เกษตรกรรม รายงานภาวะซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่อุตสาหกรรมเหล่านี้กลับมีอัตราการฆ่าตัวตายของผู้ชายสูงที่สุดในประเทศ สะท้อนความเป็นไปได้ว่ากลุ่มนี้อาจไม่เข้าถึงบริการสุขภาพจิตเพราะอุปสรรคด้านสถานที่ การรับรู้ หรือความอับอายจากสังคม.

ทางออกที่ควรพิจารณา

ผู้วิจัยชี้ว่าผลลัพธ์นี้เน้นย้ำความจำเป็นในการจัดการปัจจัยเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยอาจนำแนวทางของ NIOSH Total Worker Health ซึ่งผสานสุขภาพกายและใจเข้ากับนโยบายแรงงาน มาใช้เพื่อลดผลกระทบเชิงจิตใจของแรงงานในแต่ละกลุ่มอาชีพ.

แหล่งที่มา:
Sussell AL, et al. US Workers’ Self-Reported Mental Health Outcomes by Industry and Occupation. JAMA Network Open. 2025;6(6):e2514212. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.14212

Posted on

เปิดผลวิจัยชิ้นใหม่! โควิดทำเด็กสุขภาพแย่ลง แต่ไม่ใช่เพราะออนไลน์

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เด็ก ๆ ทั่วโลกต้องเรียนออนไลน์ อยู่บ้าน และใช้ชีวิตแบบจำกัดการเคลื่อนไหวมากขึ้น ซึ่งหลายคนสงสัยว่าแบบเรียนออนไลน์นี่แหละตัวร้ายที่ทำให้เด็กไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

แต่ผลการวิจัยล่าสุดจากสหรัฐฯ ที่วิเคราะห์ข้อมูลจากนักเรียนกว่า 150,000 คนใน 264 โรงเรียนกลับพบว่า เด็กฟิตน้อยลงจริงในช่วงโควิด-19 แต่ไม่ใช่เพราะเรียนออนไลน์!

เด็กออกกำลังกายน้อยลง จนร่างกายไม่ฟิต

ผลวิจัยระบุว่า ระหว่างช่วงโควิด-19 เด็กมีแนวโน้ม “ไม่ผ่านเกณฑ์ความฟิต” ทั้งในด้าน

  • สมรรถภาพหัวใจและปอด (Cardiorespiratory Fitness: CRF)
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal Fitness: MSF)

เด็กผู้หญิงมีค่าความฟิตลดลงเฉลี่ย 0.55 mL/kg/min ส่วนเด็กผู้ชายลดลงมากกว่านั้น คือ 0.86 mL/kg/min ซึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงระดับความสามารถในการออกแรงต่อเนื่อง

ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ไม่ฟิต แต่คือการ “ไม่ได้ขยับตัว”

สิ่งที่น่าสนใจคือ โรงเรียนที่ให้เด็กเรียนออนไลน์หรือเรียนแบบสลับ (hybrid) นานกว่า 15 สัปดาห์ กลับมีสัดส่วนเด็กที่ “ผ่านเกณฑ์ความฟิต” สูงกว่าโรงเรียนที่เรียนออนไลน์ในระยะสั้น

นักวิจัยเชื่อว่า ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ร่างกายเด็กแย่ลง แต่เป็นเพราะช่วงโควิดนั้น เด็กถูกห้ามเล่นกีฬา ไม่ได้เข้าสังคม ไม่มีกิจกรรมกลางแจ้ง และไม่มีโอกาสได้ขยับร่างกายตามปกติ

ฟิตน้อยลง อ้วนมากขึ้น เครียดง่ายขึ้น

เมื่อเด็กไม่ได้ออกกำลังกาย ผลที่ตามมาคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีโอกาสเกิดโรคอ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว

ไม่เพียงแค่นั้น การเคลื่อนไหวน้อยยังส่งผลต่อ สุขภาพจิต เด็กด้วย เช่น อาการเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง

ข้อเสนอจากงานวิจัย: ต้องมีแผนดูแลสุขภาพเด็กในยามวิกฤติ

นักวิจัยเสนอว่า หากในอนาคตเกิดวิกฤติเช่นโรคระบาดหรือภัยธรรมชาติอีก ผู้ปกครอง ครู และผู้กำหนดนโยบายควรมีแผนรับมือเพื่อช่วยให้เด็กยังสามารถรักษาความฟิตได้ เช่น:

  • การจัดคลาสออกกำลังกายออนไลน์
  • กิจกรรมออกกำลังกายที่ทำในบ้านได้
  • สนับสนุนการเล่นกีฬาในครอบครัว

สรุป

โควิด-19 ไม่ได้แค่กระทบการเรียนของเด็ก แต่ยังทำให้สุขภาพร่างกายของพวกเขาถดถอยอย่างชัดเจน เราไม่ควรมองข้ามเรื่องความฟิตของเด็กในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน การออกกำลังกายไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น และเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ.


แหล่งที่มา:
Pavlovic A, et al. Longitudinal Outcomes of the COVID-19 Pandemic on Youth Physical Fitness. JAMA Network Open. Published June 4, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.13721

Posted on

ผลการศึกษาวิจัยชี้ชัด “ความไม่มั่นคงทางสังคม” เพิ่มความเสี่ยงต่อการเก็บอาวุธปืนแบบไม่ปลอดภัยในสหรัฐอเมริกา

ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน JAMA Network Open เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2025 ได้เปิดเผยว่า ปัจจัยทางสังคม เช่น ความยากจน ความไม่มั่นคงด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย ปัญหาการเดินทาง และภาระทางการเงิน มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมการเก็บอาวุธปืนแบบไม่ปลอดภัย (เช่น เก็บปืนแบบบรรจุกระสุนโดยไม่ล็อก) ในกลุ่มครัวเรือนในสหรัฐอเมริกา

งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่ 44,736 คน ใน 5 รัฐ พบว่า ราว 29.3% อยู่ในบ้านที่มีปืน โดยในจำนวนนี้ 16.4% เก็บปืนอย่างไม่ปลอดภัย และกลุ่มที่มีความเปราะบางทางสังคมมีแนวโน้มที่จะเก็บปืนอย่างไม่ปลอดภัยมากกว่ากลุ่มอื่นถึง 2 เท่า หรือมากกว่า

ความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติและเศรษฐกิจสัมพันธ์กับความเสี่ยง

แม้ว่าผู้ที่มีอาวุธปืนส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวขาว (White non-Hispanic) ที่มีรายได้สูงและการศึกษาดี แต่การเก็บปืนแบบไม่ปลอดภัยกลับพบมากในกลุ่มคนผิวดำที่ไม่ใช่เชื้อสายฮิสแปนิก (Black non-Hispanic) โดยมีอัตราสูงกว่าคนผิวขาวถึง 2.23 เท่า

ความไม่มั่นคงด้านอาหารมีความสัมพันธ์กับการเก็บปืนอย่างไม่ปลอดภัยมากถึง 3 เท่า ในขณะที่ปัญหาการเงิน และการเดินทางลำบาก เพิ่มความเสี่ยงในระดับที่ใกล้เคียงกัน

ครอบครัวที่มีเด็กกลับเก็บปืนอย่างปลอดภัยมากกว่า

น่าสังเกตว่า ครอบครัวที่มีเด็กมีแนวโน้มที่จะมีอาวุธปืนมากกว่า แต่กลับเก็บปืนอย่างปลอดภัยมากกว่า (ลดความเสี่ยงถึง 62%) โดยเฉพาะในรัฐที่มีกฎหมายห้ามเด็กเข้าถึงอาวุธปืน (Child Access Prevention Laws – CAP laws)

พฤติกรรมเสี่ยงและสุขภาพจิตมีผลต่อพฤติกรรมการเก็บปืน

ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก หรือรู้สึกไม่พอใจในชีวิต มีแนวโน้มสูงกว่าคนทั่วไปในการเก็บปืนอย่างไม่ปลอดภัย ขณะที่คนที่มีภาวะเครียดทางจิตใจบ่อยกลับมีแนวโน้มจะเก็บปืนอย่างปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัจจัยทางจิตวิทยา

ข้อเสนอเชิงนโยบาย: มุ่งเป้าลดความเหลื่อมล้ำเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

นักวิจัยเสนอว่าการจัดการกับปัญหานี้ควรเริ่มจากระดับโครงสร้าง เช่น:

  • พัฒนานโยบายช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและการเคหะ
  • จัดให้มีอุปกรณ์เก็บปืนอย่างปลอดภัยในราคาที่เข้าถึงได้
  • สนับสนุนกฎหมาย CAP laws ในทุกรัฐ
  • ดำเนินแคมเปญสาธารณสุขให้ความรู้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง

ข้อสรุป: อาวุธปืนในบ้านไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว

ปืนที่เก็บอย่างไม่ปลอดภัย ไม่เพียงสร้างความเสี่ยงให้เจ้าของ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงแก่เด็กในบ้าน และชุมชนโดยรวม โดยเฉพาะในบริบทของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเชื้อชาติ

การลดความรุนแรงจากปืนจึงต้องไม่ใช่แค่การควบคุมจำนวนปืน แต่ต้องแก้ไขปัจจัยต้นทาง ได้แก่ ความยากจน ความไม่มั่นคงทางสังคม และความเหลื่อมล้ำในระบบ


แหล่งที่มา :

Parekh T, et al. Social Drivers of Health and Firearm Storage Practices. JAMA Network Open. Published June 2, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.13280

Posted on

ผู้หญิงที่ใช้เฮโรอีนในแทนซาเนีย เสี่ยงติดเชื้อ HIV สูงขึ้น หากเคยถูกจำคุก – งานวิจัยเตือนถึงปัญหาเรื้อรังในระบบยุติธรรม

ถูกจำคุกแล้วเสี่ยงติดเชื้อ HIV มากขึ้น – เสียงเตือนจากแอฟริกา

งานวิจัยใหม่จากวารสาร JAMA Network Open เผยให้เห็นว่าผู้หญิงที่ใช้เฮโรอีนในเมืองดาร์เอสซาลาม ประเทศแทนซาเนีย ที่เคยถูกจำคุกเมื่อไม่นานมานี้ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการติดเชื้อ HIV และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อย่างมาก

งานวิจัยนี้ศึกษาผู้หญิง 195 คนที่ใช้เฮโรอีน พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่ง (61%) เคยถูกจำคุกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน ใช้สารเสพติดหลายประเภท และเคยเสพยาเกินขนาดมากกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยถูกจำคุก

ชีวิตหลังคุก: เสี่ยงทั้งโรค ทั้งสังคมตีตรา

นอกจากพฤติกรรมเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ HIV แล้ว ผู้หญิงที่เคยถูกจำคุกยังต้องเผชิญกับปัญหาอื่น ๆ ได้แก่:

  • ถูกทำร้ายร่างกายหรือทางเพศ
  • เป็นโรควิตกกังวลในระดับรุนแรง
  • ถูกดูถูกหรือปฏิบัติไม่ดีจากครอบครัวและบุคลากรสาธารณสุข
  • ขาดการเข้าถึงการรักษา HIV อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังพ้นโทษ

งานวิจัยยังพบว่า ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HIV และเคยถูกจำคุก มีโอกาสสูงถึง 10 เท่า ที่จะหยุดการรักษา HIV เทียบกับผู้ที่ไม่เคยถูกจำคุก

เหตุใดการจำคุกจึงเป็นจุดเสี่ยง?

ในแทนซาเนีย การใช้เฮโรอีนและการค้าประเวณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผู้หญิงที่มีปัญหายาเสพติดมักถูกจับกุมบ่อย และระบบเรือนจำมีข้อจำกัดมาก เช่น:

  • ไม่มีการแจกถุงยางอนามัย
  • เข้าถึงการรักษา HIV ยาก
  • ขาดบริการบำบัดยาเสพติดในเรือนจำ

การถูกจำคุกจึงกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และกลับไปใช้ยาอีกครั้งหลังพ้นโทษ

คำแนะนำเชิงนโยบายและสาธารณสุข

นักวิจัยเสนอแนวทางเพื่อช่วยลดปัญหานี้ เช่น:

  • เบี่ยงเบนผู้เสพยาไม่ให้เข้าสู่เรือนจำ แต่ให้เข้ารับการบำบัดแทน
  • ขยายบริการสุขภาพในเรือนจำ โดยเฉพาะบริการเมทาโดนและการรักษา HIV
  • ดูแลต่อเนื่องหลังพ้นโทษ เช่น การจัดกลุ่มสนับสนุนในชุมชน และการติดตามด้านสุขภาพ
  • ส่งเสริมบริการจิตวิทยา เช่น การบำบัดพฤติกรรม เพื่อช่วยให้ผู้หญิงที่เคยถูกจำคุกสามารถรับมือกับความเครียดและอดีตที่กระทบใจได้ดีขึ้น

ข้อสรุป

งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การจำคุกไม่ใช่แค่เรื่องของความผิดทางกฎหมาย แต่มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้หญิงที่ใช้เฮโรอีนในหลายมิติ ทั้งกาย ใจ และสังคม หากไม่มีการแก้ไขในระดับนโยบาย สังคมจะต้องแบกรับผลกระทบจากปัญหา HIV ที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่เปราะบางที่สุด


แหล่งที่มา :
Atkins K, Mushi D, Konda J, et al. Recent Incarceration and HIV Risk Among Women Who Use Heroin. JAMA Network Open. 2025;8(1):e2454455. doi:10.1001/jamanetworkopen.2024.54455

Posted on

งานวิจัยชี้: โซเชียลมีเดียอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นอาการซึมเศร้าในวัยรุ่น

(ภาพประกอบ)

การใช้โซเชียลมีเดียในหมู่เยาวชนกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ภาวะสุขภาพจิตของวัยรุ่นเข้าสู่ภาวะวิกฤต ล่าสุด งานวิจัยขนาดใหญ่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2025 ได้แสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า การเพิ่มเวลาการใช้โซเชียลมีเดียในช่วงวัยเด็กตอนต้น (early adolescence) มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของอาการซึมเศร้าในปีต่อมา ในขณะที่อาการซึมเศร้าในช่วงเวลาก่อนหน้าไม่สัมพันธ์กับการใช้โซเชียลที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง

🔍 รายละเอียดของงานวิจัย

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากโครงการวิจัยขนาดใหญ่ Adolescent Brain Cognitive Development (ABCD) Study ที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างเด็กและวัยรุ่นจำนวน 11,876 คน อายุ 9-10 ปี จากทั่วสหรัฐอเมริกา เป็นระยะเวลา 4 ปี (2016–2022)

นักวิจัยประเมินการใช้โซเชียลมีเดียจากการรายงานด้วยตนเอง และใช้แบบประเมิน Child Behavior Checklist เพื่อวัดระดับอาการซึมเศร้าในเด็ก โดยวิเคราะห์ข้อมูลแบบ cross-lagged panel model ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในช่วงเวลาที่แตกต่างกันได้อย่างแม่นยำ และควบคุมปัจจัยแปรปรวนส่วนบุคคล เช่น เพศ รายได้ครัวเรือน และระดับการศึกษาของผู้ปกครอง

📈 ผลลัพธ์สำคัญ

  • การใช้โซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ 1 และ 2 มีความสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้นในปีถัดไป
    • ปี 1 → ปี 2: β = 0.07; p = .01
    • ปี 2 → ปี 3: β = 0.09; p < .001
  • ไม่พบความสัมพันธ์ในทางกลับกัน (อาการซึมเศร้าไม่ทำนายการใช้โซเชียลที่เพิ่มขึ้น)
  • ไม่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างบุคคล (between-person differences) นั่นคือ เด็กที่ใช้โซเชียลมากกว่าคนอื่นไม่ได้แปลว่าจะมีภาวะซึมเศร้ามากกว่าเสมอไป แต่สิ่งที่สำคัญคือ “การเปลี่ยนแปลงภายในคน” (within-person changes)

🧠 วิเคราะห์เชิงทฤษฎี: โมเดล DSMM

ผลการศึกษานี้สามารถอธิบายผ่าน โมเดลความไวต่อผลกระทบของสื่อ (Differential Susceptibility to Media Effects Model – DSMM) ซึ่งระบุว่า ผลกระทบของสื่อไม่ได้เกิดกับทุกคนเท่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น บุคลิกภาพ อายุ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และบริบททางสังคม

ช่วงวัยเด็กตอนต้นเป็นช่วงที่มีความเปราะบางทางจิตใจ เด็กอาจมีความรู้สึกไวต่อการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในโลกออนไลน์ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ตนเอง ความมั่นใจ และความรู้สึกโดดเดี่ยวในระยะยาว

💡 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและคลินิก

  • ผู้ปกครองและแพทย์ควรให้คำแนะนำเชิงคาดการณ์ (anticipatory guidance) แก่เด็กและวัยรุ่นเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะกลุ่มอายุที่ต่ำกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำ (13 ปี สำหรับแพลตฟอร์มส่วนใหญ่)
  • ควรมีการจัดทำแผนครอบครัวเกี่ยวกับการใช้สื่อ (family media plan) และส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีเป้าหมาย เช่น การเชื่อมต่อกับเพื่อนที่ให้กำลังใจ แทนการเสพเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียด
  • การเรียนรู้ถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่ออารมณ์ตนเอง อาจช่วยให้วัยรุ่นปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ลบ ลดการเปรียบเทียบ หรือใช้โซเชียลเพื่อสร้างเครือข่ายสนับสนุนเชิงบวก

📌 ข้อจำกัดของงานวิจัย

แม้ว่าการศึกษาใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่และวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงลึก แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น:

  • การออกแบบแบบสังเกต (observational) อาจมีอคติจากการรายงานด้วยตนเอง
  • ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้
  • การวัดผลประจำปีอาจไม่ละเอียดพอที่จะตรวจสอบผลกระทบในระยะสั้น เช่น ภายในวันหรือสัปดาห์

🔬 ทิศทางการวิจัยในอนาคต

นักวิจัยเสนอให้ใช้การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ (เช่น การบันทึกประจำวัน หรือใช้เซนเซอร์จากสมาร์ตโฟน) เพื่อเข้าใจกลไกระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับอารมณ์ เช่น ความคิดลบ ความเครียด หรือการเปรียบเทียบตนเอง ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา.

📚 แหล่งอ้างอิง

Nagata JM, et al. (2025). Social Media Use and Depressive Symptoms During Early Adolescence. JAMA Network Open. Published May 21, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.11704
US Surgeon General. (2023). Advisory on Social Media and Youth Mental Health.

Posted on

โรคอ้วน: ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และแนวทางฟื้นฟูสุขภาพ

โรคอ้วน (Obesity) ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งบางชนิด

โรคอ้วนคืออะไร?

โรคอ้วนคือภาวะที่ร่างกายมีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (BMI ≥ 30 kg/m²) โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) ได้แบ่งระดับความรุนแรงของโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • อ้วนระดับ 1: BMI 30–34.9
  • อ้วนระดับ 2: BMI 35–39.9
  • อ้วนระดับ 3 (อ้วนขั้นรุนแรง): BMI ≥ 40

ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากโรคอ้วน

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายระบบของร่างกาย ดังนี้:

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

ผู้ที่มีไขมันสะสมในช่องท้องมากมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลินและไขมันในเลือดสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายและหลอดเลือดอุดตัน

🔬 อ้างอิง: Global Burden of Disease Study 2017 พบว่าโรคอ้วนมีส่วนต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงถึง 4 ล้านคนต่อปีทั่วโลก

2. เบาหวานชนิดที่ 2

ไขมันสะสมส่วนเกินรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและพัฒนาเป็นเบาหวานในที่สุด

🔬 อ้างอิง: Hu, F.B. et al. (2001). Diet, lifestyle, and the risk of type 2 diabetes mellitus in women. NEJM, 345(11): 790–797.

3. มะเร็งบางชนิด

งานวิจัยแสดงความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม (หลังหมดประจำเดือน) และมะเร็งตับ

4. สุขภาพจิต

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

แนวทางปรับปรุงสุขภาพและลดความเสี่ยงจากโรคอ้วน

การลดน้ำหนักแม้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความเสี่ยงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวทางที่แนะนำประกอบด้วย:

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

  • ลดน้ำตาลและอาหารแปรรูป
  • เพิ่มผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพสูง
  • ใช้หลักการ “กินให้ช้าลง-กินให้น้อยลง”

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ควรมีกิจกรรมที่ใช้แรงระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
  • การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิกล้วนมีประโยชน์

3. ปรับสภาพแวดล้อม

  • จัดบ้านหรือที่ทำงานให้เอื้อต่อการเลือกสุขภาพดี เช่น มีผลไม้แทนขนม
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารขณะดูโทรทัศน์หรือเล่นมือถือ

4. ขอคำปรึกษาจากแพทย์

หากน้ำหนักเกินมากหรือมีโรคประจำตัวร่วม ควรขอคำปรึกษาเพื่อวางแผนลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย รวมถึงการพิจารณายาหรือการผ่าตัดลดน้ำหนักหากจำเป็น

🔬 อ้างอิง: Hall, K.D. et al. (2011). Quantification of the effect of energy imbalance on bodyweight. The Lancet, 378(9793): 826–837.

บทสรุป

โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ แต่คือภัยเงียบที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อสุขภาพในหลายด้าน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ได้ในระยะยาว.

Posted on

นักวิจัยพบเซลล์ในสมองผู้ชายเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า: ภูมิคุ้มกันสมองอาจเป็นกุญแจสำคัญต่อโรคซึมเศร้าในผู้ชาย

(ภาพประกอบ)

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบบทบาทสำคัญของเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมองที่อาจอธิบายความแตกต่างระหว่างเพศในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า

ภูมิคุ้มกันในสมองเชื่อมโยงกับอารมณ์?

แม้ว่าโรคซึมเศร้าจะส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในแง่ของอัตราการเป็นโรค แต่ผู้ชายกลับมีแนวโน้มที่จะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การฆ่าตัวตายมากกว่า งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ชี้ว่า “เซลล์ภูมิคุ้มกันในสมอง” อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่อธิบายความแตกต่างนี้

ทีมวิจัยนำโดย ดร. เชอร์รี ฮวน (Dr. Sherry H. H. Hu) ศึกษาการแสดงออกของยีนในเนื้อสมองของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคซึมเศร้า และพบว่าผู้ชายที่มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงมีความผิดปกติในกิจกรรมของไมโครเกลีย (microglia) — เซลล์ภูมิคุ้มกันที่ควบคุมการอักเสบและการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในสมอง

ทำไมไมโครเกลียจึงสำคัญ?

ไมโครเกลียไม่ได้เป็นเพียง “ตำรวจ” ที่คอยตรวจจับและกำจัดสิ่งแปลกปลอมในสมอง แต่ยังมีบทบาทในกระบวนการเรียนรู้และอารมณ์ด้วย การทำงานที่ผิดปกติของไมโครเกลียอาจทำให้สมองเชื่อมต่อกันได้ไม่ดี ส่งผลต่อความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า

ในสมองของผู้ชายที่มีภาวะซึมเศร้า นักวิจัยพบว่าไมโครเกลียมีการแสดงออกของยีนที่ลดลง โดยเฉพาะในบริเวณ “anterior cingulate cortex” — พื้นที่สมองที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ อารมณ์ และความเครียด

ความแตกต่างระหว่างเพศ: เรื่องของสมองและภูมิคุ้มกัน

แม้ผู้หญิงจะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า แต่กลับพบว่าในสมองของผู้หญิงที่เป็นโรคนี้ ไมโครเกลียไม่ได้มีความผิดปกติแบบเดียวกับที่พบในผู้ชาย ซึ่งบ่งชี้ว่ากลไกของโรคอาจแตกต่างกันในแต่ละเพศ

นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่อาจนำไปสู่การพัฒนา “ยารักษาโรคซึมเศร้าเฉพาะเพศ” ในอนาคต

ทางเลือกใหม่ในการรักษา?

การรักษาโรคซึมเศร้าในปัจจุบันส่วนใหญ่เน้นที่การปรับสมดุลสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน แต่หากสมมุติฐานเรื่องภูมิคุ้มกันเป็นจริง นั่นหมายความว่า “ภูมิคุ้มกันในสมอง” อาจเป็นเป้าหมายใหม่ของการรักษา โดยเฉพาะในผู้ชาย

แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น และยังไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยหรือรักษาได้ทันที แต่มันให้เบาะแสใหม่ที่อาจนำไปสู่แนวทางการรักษาแบบ “เจาะจงเพศ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแวดวงวิทยาศาสตร์การแพทย์.


แหล่งอ้างอิง: