Posted on

เพิ่มน้ำหนักวัยเด็ก ช่วยให้สูงขึ้น ไม่เสี่ยงอ้วนหรือความดันสูง งานวิจัยจากมาลีเผย

มาลี, แอฟริกาตะวันตก – งานวิจัยติดตามกลุ่มเด็กในประเทศมาลีนานกว่า 20 ปี พบว่า เด็กที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในวัยเด็กเล็ก มีแนวโน้มจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สูงขึ้น โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูงมากนัก

การศึกษาครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1998 โดยนักวิจัยได้ติดตามเด็กกว่า 1,300 คนในหมู่บ้านชนบทของประเทศมาลี ตั้งแต่อายุประมาณ 1 ขวบ จนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยวัดส่วนสูง น้ำหนัก และความดันโลหิตอย่างต่อเนื่อง

เด็กที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า หากเด็กมีน้ำหนักมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงอายุ 1–10 ปี จะมีแนวโน้มสูงขึ้นเฉลี่ย 3–4 เซนติเมตรเมื่ออายุประมาณ 21 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มที่เคยมีปัญหาขาดสารอาหารหรือแคระแกร็น

ความเสี่ยงโรคอ้วนและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

แม้ว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าความดันโลหิตและค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงขึ้นเล็กน้อยในวัยผู้ใหญ่ แต่ผลกระทบโดยรวมถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประโยชน์จากการมีรูปร่างที่สูงขึ้น เช่น ลดความเสี่ยงการคลอดติดขัดในเพศหญิง และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาหรือรายได้ในเพศชาย

ผู้วิจัยแนะควรส่งเสริมโภชนาการเด็กแม้พ้นวัย 2 ขวบ

โดยทั่วไป มาตรการด้านสาธารณสุขมักให้ความสำคัญกับโภชนาการในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต (ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 2 ขวบ) แต่การศึกษานี้ชี้ว่า การดูแลโภชนาการหลังวัย 2 ขวบก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังมีเด็กแคระแกร็นจำนวนมาก

ผลสะท้อนนโยบายในประเทศยากจน

งานวิจัยนี้มีนัยสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยเสนอว่าการให้โอกาสเด็กได้รับโภชนาการเพียงพอ แม้จะเพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย ก็อาจช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างมีศักยภาพและสุขภาพดีในระยะยาว.

แหล่งที่มา
Strassmann BI, Amankwaa A, Osei A, et al. Risks and Benefits of Weight Gain in Children With Undernutrition. JAMA Network Open. 2025;6(6):e2514289. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.14289

Posted on

งานวิจัยชี้ เด็กที่อ้วนในระหว่างรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มีโอกาสเสียชีวิตและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูงกว่า

(ภาพประกอบ-สร้างจาก AI)

ข่าวเชิงวิเคราะห์
ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนในเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมโฟบลาสติก (ALL) อาจไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพทั่วไป แต่ยังเกี่ยวข้องกับโอกาสรอดชีวิตและการกลับมาเป็นซ้ำของโรค – นี่คือข้อค้นพบสำคัญจากงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open ซึ่งติดตามเด็กป่วยจำนวนเกือบ 800 คนตลอดระยะเวลาการรักษาและเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว

น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้เพียงส่งผลต่อรูปลักษณ์ แต่ส่งผลต่อชีวิต

การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลของเด็ก 794 คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น ALL โดยติดตามค่า BMI (ดัชนีมวลกาย) ตั้งแต่เริ่มการรักษาจนถึงสิ้นสุดโปรแกรมบำบัด พบว่า เด็กที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนในหลายช่วงเวลาระหว่างการรักษา มีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่า และมีโอกาสที่โรคจะกลับมาเป็นซ้ำสูงกว่ากลุ่มที่มีน้ำหนักเกินแค่ช่วงเวลาเดียวหรือไม่มีเลยอย่างชัดเจน

  • เด็กที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนตั้งแต่ 2 ช่วงเวลาขึ้นไป มีอัตรารอดชีวิต 3 ปีที่ต่ำกว่า (93.8%) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่น้ำหนักเกินไม่เกิน 1 ครั้ง (98.0%)
  • อัตราการกลับมาเป็นซ้ำของโรคก็สูงกว่าชัดเจน (10.5% เทียบกับ 5.8%)
  • โอกาสรอดชีวิตโดยไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำ (event-free survival) ก็ลดลงเช่นกัน

“ระยะเวลาที่อ้วน” สำคัญกว่าภาวะอ้วนในจุดใดจุดหนึ่ง

ในอดีต นักวิจัยหลายกลุ่มพยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง “การมีน้ำหนักเกิน ณ จุดเริ่มต้นของการรักษา” กับโอกาสรอดชีวิต หรือการเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา แต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน

งานวิจัยฉบับนี้จึงเสนอแนวคิดใหม่ว่า “ระยะเวลาที่เด็กอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน” อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่มีความหมายมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของผลต่อไมโครสิ่งแวดล้อมของมะเร็ง และกระบวนการเผาผลาญ (metabolome) ของร่างกาย

ข้อเสนอเพื่อการป้องกันในอนาคต :

หนึ่งในข้อเสนอของผู้วิจัยคือ ควรมีมาตรการจัดการและควบคุมภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนในเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ALL อย่างต่อเนื่องระหว่างการรักษา โดยเฉพาะในช่วงต้นของโปรแกรมการบำบัด เพื่อไม่ให้ภาวะน้ำหนักเกินกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะยาวที่ส่งผลต่อชีวิต

ข้อมูลน่ารู้:

  • เด็กอายุเฉลี่ยในกลุ่มทดลองคือ 6.7 ปี
  • อัตราเด็กที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเพิ่มขึ้นจาก 29.5% ที่จุดเริ่มต้นการรักษา เป็น 48.4% เมื่อจบการรักษา
  • เด็กที่มีน้ำหนักเกิน/อ้วนที่จุดเริ่มต้น “ไม่ได้มีความเสี่ยงผลข้างเคียงจากการรักษาเพิ่มขึ้น” แต่ “หากมีน้ำหนักเกินยาวนาน” กลับพบความเสี่ยงเสียชีวิตและโรคกลับมาเพิ่มขึ้นชัดเจน

สรุปสำหรับผู้อ่านทั่วไป:

หากบุตรหลานของคุณอยู่ระหว่างการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน อย่าเพิกเฉยต่อการควบคุมโภชนาการและน้ำหนักตัว แม้จะไม่ได้เห็นผลในทันที แต่การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมอาจเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความเสี่ยงที่โรคจะกลับมาในระยะยาว งานวิจัยนี้คือหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนเรื่องนี้อย่างชัดเจน.

อ้างอิง:
Braun L, Kelly M, et al. Association of Duration of Overweight or Obesity With Outcomes in Children With Acute Lymphoblastic Leukemia. JAMA Netw Open. 2024;7(5):e2412345. doi:10.1001/jamanetworkopen.2024.12345

Posted on

โรคอ้วน: ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และแนวทางฟื้นฟูสุขภาพ

โรคอ้วน (Obesity) ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งบางชนิด

โรคอ้วนคืออะไร?

โรคอ้วนคือภาวะที่ร่างกายมีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (BMI ≥ 30 kg/m²) โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) ได้แบ่งระดับความรุนแรงของโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • อ้วนระดับ 1: BMI 30–34.9
  • อ้วนระดับ 2: BMI 35–39.9
  • อ้วนระดับ 3 (อ้วนขั้นรุนแรง): BMI ≥ 40

ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากโรคอ้วน

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายระบบของร่างกาย ดังนี้:

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

ผู้ที่มีไขมันสะสมในช่องท้องมากมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลินและไขมันในเลือดสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายและหลอดเลือดอุดตัน

🔬 อ้างอิง: Global Burden of Disease Study 2017 พบว่าโรคอ้วนมีส่วนต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงถึง 4 ล้านคนต่อปีทั่วโลก

2. เบาหวานชนิดที่ 2

ไขมันสะสมส่วนเกินรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและพัฒนาเป็นเบาหวานในที่สุด

🔬 อ้างอิง: Hu, F.B. et al. (2001). Diet, lifestyle, and the risk of type 2 diabetes mellitus in women. NEJM, 345(11): 790–797.

3. มะเร็งบางชนิด

งานวิจัยแสดงความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม (หลังหมดประจำเดือน) และมะเร็งตับ

4. สุขภาพจิต

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

แนวทางปรับปรุงสุขภาพและลดความเสี่ยงจากโรคอ้วน

การลดน้ำหนักแม้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความเสี่ยงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวทางที่แนะนำประกอบด้วย:

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

  • ลดน้ำตาลและอาหารแปรรูป
  • เพิ่มผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพสูง
  • ใช้หลักการ “กินให้ช้าลง-กินให้น้อยลง”

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ควรมีกิจกรรมที่ใช้แรงระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
  • การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิกล้วนมีประโยชน์

3. ปรับสภาพแวดล้อม

  • จัดบ้านหรือที่ทำงานให้เอื้อต่อการเลือกสุขภาพดี เช่น มีผลไม้แทนขนม
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารขณะดูโทรทัศน์หรือเล่นมือถือ

4. ขอคำปรึกษาจากแพทย์

หากน้ำหนักเกินมากหรือมีโรคประจำตัวร่วม ควรขอคำปรึกษาเพื่อวางแผนลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย รวมถึงการพิจารณายาหรือการผ่าตัดลดน้ำหนักหากจำเป็น

🔬 อ้างอิง: Hall, K.D. et al. (2011). Quantification of the effect of energy imbalance on bodyweight. The Lancet, 378(9793): 826–837.

บทสรุป

โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ แต่คือภัยเงียบที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อสุขภาพในหลายด้าน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ได้ในระยะยาว.