Posted on

ลดไขมันส่วนเกินอย่างไรดี

เพื่อลดไขมันส่วนเกินและควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน, ควรปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติตัวดังนี้:

  1. คุมอาหาร: เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ไม่ติดหนัง โดยเฉพาะปลาทะเล เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีคอเลสเตอรอลสูง ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ เช่น เมนูกะทิ เนื้อสัตว์แปรรูป ขนมอบ (ขนมปัง พาย เค้ก คุ้กกี้ โดนัท) เป็นต้น.
  2. ควบคุมปริมาณและชนิดของไขมันในอาหาร: ควบคุมปริมาณและชนิดของไขมันในอาหารที่รับประทาน เพื่อไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกาย.
  3. เลือกรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 (Omega 3) เช่น เนื้อปลา น้ำมันปลา น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น.
  4. ควบคุมน้ำหนัก: ลดน้ำหนักในผู้ป่วยน้ำหนักเกินและผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนลงพุง สามารถลดไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride, TG) และเพิ่มระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL-C) และยังสามารถลดความดันโลหิตได้ด้วย.
  5. ออกกำลังกาย: ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์เพื่อลดระดับไขมันแอลดีแอล (LDL-C) เพิ่มระดับไขมันเอชดีแอล (HDL-C).
  6. เลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: เลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เพราะมีผลทำให้ไขมันในเลือดสูง.
  7. รับประทานยาลดระดับไขมันในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์: รับประทานยาลดระดับไขมันในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์หากมีความจำเป็น.
  8. ควบคุมการบริโภคคาร์โบไฮเดรตและไขมัน: ควบคุมการบริโภคคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ควบคุมแหล่งอาหารที่ให้พลังงานส่วนเกินและไม่ให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น น้ำตาล ลดหรือเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์.
  9. เลือกรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วย กรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 (Omega 3) เช่น เนื้อปลา น้ำมันปลา น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น.
  10. เพิ่มกิจกรรมทางกาย: เพิ่มกิจกรรมทางกาย เช่น เดิน วิ่ง เต้นแอโรบิค เป็นต้น.
  11. ควบคุมน้ำหนัก: ตั้งเป้าหมายที่การลดน้ำหนัก 5-10% ของน้ำหนักเริ่มต้น (เช่น น้ำหนักเริ่มต้น 100 กิโลกรัม ดังนั้น 5-10% ของน้ำหนัก 100 กิโลกรัม คือ 5-10 กิโลกรัม).
  12. เลือกใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันจากสัตว์: เลือกใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก ยกเว้น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ซึ่งประกอบไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัวและอาจเพิ่มระดับแอลดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด.
  13. เลือกรับประทานไขมันไม่อิ่มตัว: เลือกรับประทานไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ถั่วเปลือกแข็ง (วอลนัท ถั่วลิสง อัลมอนด์) เป็นมื้อว่างไม่เกิน 1 อุ้งมือต่อวัน.
  14. ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคอเลสเตอรอลสูง: ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น เนย นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูง.
  15. ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันทรานส์: ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันทรานส์ เช่น เนยเทียม (มาการีน (margarine)) เนยขาว (shortening) ครีมเทียม นมข้นจืด ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมในอาหารพวกขนมอบ เช่น ขนมปัง พาย เค้ก คุ้กกี้ โดนัท ของทอด เช่น เฟรนช์ฟรายด์ ไก่ทอด ไอศกรีม เป็นต้น.
  16. ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันอิ่มตัวสูง: ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู น้ำมันไก่.
  17. ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง: ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก.
  18. ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันชนิดเอชดีแอลสูง: ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันชนิดเอชดีแอลสูง เช่น เนื้อปลา น้ำมันปลา น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น.
  19. ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันชนิดแอลดีแอลสูง: ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันชนิดแอลดีแอลสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูง.
  20. ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์สูง: ควบคุมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์สูง เช่น น้ำมันจากปลา.

Morikami น้ำมันปลา โอเมก้า3 ผสม วิตามินอี 30 ซอฟท์เจล แพ็ก 3 ขวด

เข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

โฟร์โมสต์ โอเมก้า 3 นมUHT รสช็อกโกแลต 110 มล. (ยกลัง 48กล่อง)

เข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

WELLANE โอเมก้า-3 โอเดอร์เลส ฟิชออยล์ 1000 มก. พลัส วิตามินอี บรรจุ 75 ซอฟต์เจล

เข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Pharmatech โอเมก้า 3 จากน้ำมันปลา วิตามินอี บรรจุ 30 แคปซูล

เข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Posted on

วิตามินบำรุงไต: สารอาหารที่ช่วยเสริมการทำงานของไตให้แข็งแรง

ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย การมีสุขภาพไตที่ดีจึงส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม เราสามารถบำรุงไตได้ง่ายๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมการทำงานของไต ดังนี้

วิตามินบำรุงไต

  1. วิตามินบี 9 (โฟเลต) ช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและชะลอการดูดซึมฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยป้องกันการสะสมของฟอสฟอรัสในไตและลดความเสี่ยงของนิ่วในไต แหล่งอาหาร: ไข่ไก่ ขนมปัง ซีเรียล เห็ด ข้าวโพดหวาน อะโวคาโด มะม่วง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง ตับ เนื้อไก่ เนื้อวัว
  2. วิตามินบี 12 (โคลาบามิน) ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง กระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง และดูแลการทำงานของไต แหล่งอาหาร: ปลาทะเล ไข่ไก่ เนื้อแดง สาหร่าย เทมเป้
  3. วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องไตจากความเสียหาย แหล่งอาหาร: ผลไม้ตระกูลส้ม สตรอว์เบอร์รี ฝรั่ง กะหล่ำปลี บรอกโคลี ผักใบเขียว
  4. วิตามินดี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและควบคุมสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย แหล่งอาหาร: แสงแดดในช่วงเช้าและเย็น ปลาชนิดต่างๆ เห็ด ไข่แดง ซีเรียล นม
  5. กรดไขมันโอเมก้า 3 มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และรักษาระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ แหล่งอาหาร: ปลาทะเล ปลาทู ปลาสวาย ปลาดุก ปลาช่อน ปลาทูน่า ปลาซาดีน

การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอสามารถช่วยบำรุงไตและลดความเสี่ยงของโรคไตได้ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติของไต เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขุ่น ปัสสาวะมีเลือดปน หรือมีอาการบวม ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม