Posted on

จีนประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายตับหมูตัดต่อพันธุกรรมสู่มนุษย์

(ภาพประกอบ-สร้างจาก AI)

แพทย์ในประเทศจีนได้รายงานรายละเอียดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายตับจากหมูที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมไปสู่มนุษย์เป็นครั้งแรก โดยการปลูกถ่ายนี้เกิดขึ้นในปี 2024 กับผู้ป่วยที่สมองตาย และตับของหมูสามารถทำงานได้ดีในร่างกายมนุษย์เป็นเวลา 10 วัน โดยไม่มีสัญญาณของการปฏิเสธอวัยวะจากระบบภูมิคุ้มกันหรือการอักเสบสะสมแต่อย่างใด

ความหวังใหม่ของวงการแพทย์

นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามหาแนวทางใหม่ในการทดแทนอวัยวะของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ซึ่งรวมถึงการใช้ตับหมู เนื่องจากอวัยวะของหมูมีความคล้ายคลึงกับอวัยวะของมนุษย์ งานวิจัยก่อนหน้านี้ที่มหาวิทยาลัยเพนน์ เมดดิซีน (Penn Medicine) ได้ประสบความสำเร็จในการใช้ตับหมูตัดต่อพันธุกรรมสำหรับการกรองเลือดของผู้ป่วยที่สมองตายเป็นเวลา 72 ชั่วโมง และพบว่าไม่มีสัญญาณของการอักเสบ

ความท้าทายของการปลูกถ่ายตับหมู

แม้ว่าการปลูกถ่ายไตและหัวใจจากหมูตัดต่อพันธุกรรมไปสู่มนุษย์จะมีความคืบหน้าอย่างมาก แต่นักวิทยาศาสตร์ยังคงเผชิญความท้าทายในการปลูกถ่ายตับ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ซับซ้อนมากกว่าหัวใจหรือไต โดยตับมีบทบาทสำคัญในการกรองเลือด ขจัดสารพิษ ผลิตน้ำดี และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ก้าวสำคัญของการทดลองในจีน

ในการปลูกถ่ายครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตัดต่อยีน 6 ตำแหน่งในตับของหมูสายพันธุ์ Bama ขนาดเล็กเพื่อให้เข้ากันกับร่างกายมนุษย์มากขึ้น การผ่าตัดดำเนินขึ้นในเดือนมีนาคม 2024 โดยคณะแพทย์ยังคงเก็บตับของมนุษย์ไว้ในร่างกายร่วมกับตับหมูเพื่อลดความเสี่ยง

แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจว่าตับหมูจะสามารถทำงานแทนที่ตับมนุษย์ได้ทั้งหมดหรือไม่ แต่ผลการทดลองครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญ และอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ต้องรอการปลูกถ่ายตับมนุษย์ในอนาคต

อนาคตของการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์

แม้จะยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่การศึกษานี้เป็นอีกก้าวสำคัญของการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยที่ต้องการอวัยวะปลูกถ่ายทั่วโลก.

แหล่งอ้างอิง :

  • Nature Journal (2024)
  • Penn Medicine Research
  • รายงานจากโรงพยาบาล Xijing ประเทศจีน
Posted on

ดูแลแมวอย่างไรไม่ให้เครียด? รวมข้อผิดพลาดที่เจ้าของแมวต้องรู้

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีพฤติกรรมและลักษณะนิสัยเฉพาะตัว พวกมันเป็นอิสระ มีโลกส่วนตัวสูง และบางครั้งอาจดูเหมือนไม่สนใจเจ้าของ แต่จริง ๆ แล้ว แมวมีความรู้สึกและความต้องการที่ละเอียดอ่อนมาก เจ้าของแมวจำนวนมากอาจไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมบางอย่างของตนส่งผลให้แมวรู้สึกเครียดหรือไม่พอใจ ดังนั้น การเข้าใจพฤติกรรมที่แมวไม่ชอบจะช่วยให้เจ้าของสามารถดูแลและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับสัตว์เลี้ยงของตนได้ บทความนี้จะกล่าวถึงพฤติกรรมของเจ้าของที่มักทำให้แมวไม่พอใจ และแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้แมวมีความสุขและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

1. การบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ

หนึ่งในพฤติกรรมที่ทำให้แมวรู้สึกอึดอัดมากที่สุดคือการบังคับให้ทำสิ่งที่พวกมันไม่ต้องการ เช่น การอุ้มแมวทั้งที่มันยังไม่พร้อม การจับตัวมันในขณะที่มันพยายามหนี หรือการกอดรัดอย่างแน่นหนา

แนวทางที่ถูกต้อง:

  • ให้เวลาแมวทำความคุ้นเคยกับเจ้าของเอง
  • หากต้องการอุ้มแมว ให้ดูปฏิกิริยาของมันก่อน หากแมวรู้สึกผ่อนคลายค่อยอุ้ม
  • ใช้วิธีล่อด้วยขนม หรือของเล่นเพื่อให้แมวเข้าหาเอง

2. เสียงดังและการตะโกนใส่แมว

แมวเป็นสัตว์ที่ไวต่อเสียงมาก การตะโกน ดุด่า หรือเสียงดังที่เกิดขึ้นรอบตัวอาจทำให้แมวรู้สึกเครียดและกลัว

แนวทางที่ถูกต้อง:

  • พยายามพูดกับแมวด้วยเสียงนุ่มนวลและสงบ
  • หลีกเลี่ยงการทำเสียงดังขณะเล่นกับแมว
  • หากแมวทำผิดพลาด ใช้วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการให้รางวัลมากกว่าการดุด่า

3. การรบกวนเวลาพักผ่อนของแมว

แมวเป็นสัตว์ที่ต้องการการนอนหลับและพักผ่อนเป็นอย่างมาก พวกมันสามารถนอนได้ถึง 12-16 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น การรบกวนแมวขณะนอนหลับจะทำให้พวกมันหงุดหงิดและไม่พอใจ

แนวทางที่ถูกต้อง:

  • หลีกเลี่ยงการรบกวนแมวในช่วงที่มันกำลังหลับ
  • จัดเตรียมที่นอนที่เงียบสงบและปลอดภัยให้แมว
  • หากต้องการเล่นกับแมว รอให้มันตื่นเองแล้วใช้ของเล่นดึงดูดความสนใจ

4. การทำให้แมวรู้สึกไม่ปลอดภัย

แมวเป็นสัตว์ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ของตนเอง หากมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง เช่น การย้ายบ้าน การนำสัตว์เลี้ยงตัวใหม่เข้ามา หรือแม้แต่การเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ อาจทำให้แมวรู้สึกเครียด

แนวทางที่ถูกต้อง:

  • หากต้องย้ายบ้าน ควรให้แมวมีเวลาปรับตัว และจัดมุมที่คุ้นเคยให้แมว
  • เมื่อมีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ ให้แนะนำพวกมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • จัดให้แมวมีพื้นที่ส่วนตัวที่สามารถหลบซ่อนหรือพักผ่อนได้อย่างปลอดภัย

5. การทำความสะอาดกระบะทรายไม่เพียงพอ

แมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาดมาก การที่กระบะทรายไม่สะอาดอาจทำให้แมวเลือกที่จะไม่ใช้กระบะทราย หรือหาที่อื่นขับถ่ายแทน

แนวทางที่ถูกต้อง:

  • ควรทำความสะอาดกระบะทรายอย่างน้อยวันละครั้ง
  • ใช้ทรายที่แมวชื่นชอบและเปลี่ยนเป็นประจำ
  • วางกระบะทรายในที่ที่เงียบสงบและไม่มีสิ่งรบกวน

6. การสัมผัสในจุดที่แมวไม่ชอบ

แมวมีจุดที่พวกมันไม่ต้องการให้สัมผัส เช่น ท้อง หาง หรืออุ้งเท้า บางครั้งเจ้าของอาจคิดว่าแมวชอบให้ลูบที่จุดเหล่านี้ แต่จริง ๆ แล้วอาจทำให้แมวรู้สึกอึดอัด

แนวทางที่ถูกต้อง:

  • สังเกตปฏิกิริยาของแมวเมื่อสัมผัส
  • ลูบเฉพาะจุดที่แมวชอบ เช่น ใต้คาง ข้างแก้ม หรือระหว่างหู
  • หลีกเลี่ยงการลูบจุดที่ทำให้แมวรู้สึกไม่สบายตัว

7. การให้อาหารไม่เหมาะสม

แมวต้องการอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพ การให้อาหารที่มีส่วนผสมที่ไม่ดี หรือให้อาหารที่มีปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลต่อสุขภาพของแมวในระยะยาว

แนวทางที่ถูกต้อง:

  • เลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมกับแมว
  • หลีกเลี่ยงการให้อาหารที่มีโซเดียมสูง หรืออาหารของมนุษย์
  • ให้แมวกินตามเวลาที่กำหนด เพื่อป้องกันภาวะอ้วน

สรุป

การเลี้ยงแมวอย่างถูกต้องไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่ความรักของเจ้าของเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความเข้าใจธรรมชาติและพฤติกรรมของแมวด้วย เจ้าของที่เข้าใจสิ่งที่แมวไม่ชอบ จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้แมวรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเจ้าของให้เหมาะสมจะช่วยให้แมวและเจ้าของสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ในระยะยาว.

References :

  1. Bradshaw, J. (2013). Cat Sense: How the New Feline Science Can Make You a Better Friend to Your Pet. Basic Books.
  2. Turner, D. C., & Bateson, P. (Eds.). (2013). The Domestic Cat: The Biology of its Behaviour. Cambridge University Press.
  3. Ellis, S., & Wells, D. (2010). The influence of owner characteristics on the behaviour of their cats. Applied Animal Behaviour Science, 123(1-2), 42-50.
  4. McGowan, R. T., & Ellis, J. J. (2018). The importance of behavioral enrichment for cats in home environments. Journal of Feline Medicine and Surgery, 20(2), 104-113.
Posted on

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้! เลิกบุหรี่ก่อนผ่าตัดช่วยลดความเสี่ยง

การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการรอดชีวิตและการฟื้นตัวของผู้ป่วย การศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่ใน JAMA Network Open วิเคราะห์ข้อมูลจาก 54 งานวิจัย และเมตา-วิเคราะห์ 24 งานวิจัย พบว่า การสูบบุหรี่ในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดถึง 31% เมื่อเทียบกับผู้ที่เลิกสูบมานานกว่า 4 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังพบว่าคนที่ยังสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัดมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ถึง 2.83 เท่า

ผลการศึกษา: การสูบบุหรี่และระยะเวลาการเลิกสูบ จากการศึกษาที่มีผู้ป่วยรวมกว่า 39,499 ราย มีการแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็นผู้ที่ยังสูบบุหรี่ในช่วงก่อนผ่าตัด (ภายใน 4 สัปดาห์) และผู้ที่เลิกสูบมานานกว่า 4 สัปดาห์ ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าการสูบบุหรี่ในระยะใกล้เคียงกับการผ่าตัดสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่สูงขึ้น

เมื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาที่หยุดสูบบุหรี่ นักวิจัยพบว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างผู้ที่หยุดสูบบุหรี่ภายใน 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัดกับผู้ที่หยุดสูบบุหรี่ในช่วง 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือนก่อนการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม คนที่หยุดสูบบุหรี่นานกว่า 1 ปี มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่ำกว่าผู้ที่ยังสูบบุหรี่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมา

ผลกระทบของการสูบบุหรี่ต่อภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนที่พบมากในผู้ที่สูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด ได้แก่

  • ปัญหาทางเดินหายใจ เช่น ปอดแฟบ (atelectasis) และปอดอักเสบ (pneumonia)
  • การติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
  • การหายของแผลล่าช้าเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดลดลง
  • ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ และลิ่มเลือดอุดตัน

ข้อจำกัดของการศึกษา แม้ว่าการศึกษานี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่ การพึ่งพาข้อมูลจากการรายงานตัวเองของผู้ป่วยเกี่ยวกับสถานะการสูบบุหรี่ และความหลากหลายของวิธีการกำหนดระยะเวลาการเลิกสูบบุหรี่ในแต่ละงานวิจัย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์โดยรวมยังคงยืนยันว่าการเลิกสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัดมีผลดีต่อการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

ข้อเสนอแนะและแนวทางปฏิบัติ จากผลการศึกษานี้ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความสำคัญกับการให้คำแนะนำและสนับสนุนให้ผู้ป่วยเลิกสูบบุหรี่โดยเร็วที่สุดก่อนการผ่าตัด โดยแนะนำแนวทางที่มีประสิทธิภาพ เช่น:

  • การบำบัดพฤติกรรมร่วมกับการใช้ยา เช่น นิโคตินทดแทน หรือยาลดความอยากบุหรี่
  • การสนับสนุนทางจิตใจและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเลิกสูบบุหรี่
  • การออกแบบโปรแกรมการเลิกบุหรี่เฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด

สรุป การเลิกสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัดมะเร็งเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดและช่วยเพิ่มโอกาสการฟื้นตัวของผู้ป่วย แม้ว่าการหยุดสูบในช่วงเวลาใกล้กับการผ่าตัดอาจไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจน แต่การเลิกสูบเป็นเวลานานขึ้นสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การบูรณาการโปรแกรมช่วยเลิกบุหรี่เข้ากับกระบวนการดูแลผู้ป่วยมะเร็งจึงเป็นกลยุทธ์ที่ควรได้รับการส่งเสริมในวงการแพทย์.

Reference : JAMA Network Open Journal, 2025.

Posted on

โรคเก๊าท์ : โรคของคนรักเนื้อสัตว์? ความจริงที่คุณต้องรู้

โรคเก๊าท์คืออะไร?

โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกายจนก่อให้เกิดผลึกยูเรตในข้อต่อ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน มีอาการปวด บวม แดง และร้อนบริเวณข้อต่อ โดยส่วนใหญ่มักเกิดที่หัวแม่เท้า ข้อเท้า และเข่า

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์มีหลายปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเกิดโรค ได้แก่:

  1. อาหารและเครื่องดื่ม – การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะเบียร์) จะเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด
  2. พันธุกรรม – หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โอกาสเกิดโรคในรุ่นต่อไปก็สูงขึ้น
  3. โรคประจำตัว – ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคอ้วน และเบาหวาน มีแนวโน้มเป็นโรคเก๊าท์มากขึ้น
  4. ยาบางชนิด – ยาขับปัสสาวะบางชนิด (เช่น thiazide) และยารักษาโรคหัวใจอาจส่งผลให้ระดับกรดยูริกเพิ่มขึ้น
  5. พฤติกรรมการใช้ชีวิต – การใช้ชีวิตที่ไม่มีการออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์

ผลกระทบของโรคเก๊าท์

  1. อาการปวดข้ออย่างรุนแรง – มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการนอนหลับ
  2. ข้ออักเสบเรื้อรัง – หากไม่ได้รับการรักษา โรคเก๊าท์อาจทำให้เกิดข้อผิดรูปและสูญเสียการทำงานของข้อ
  3. นิ่วในไต – กรดยูริกที่ตกผลึกในไตอาจนำไปสู่การเกิดนิ่ว ซึ่งทำให้เกิดภาวะไตเสื่อม
  4. ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด – งานวิจัยบางชิ้นพบว่าผู้ป่วยโรคเก๊าท์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น

แนวทางการป้องกันและรักษา

  1. การควบคุมอาหาร
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง และอาหารทะเล
    • ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
    • เพิ่มการบริโภคอาหารที่ช่วยลดระดับกรดยูริก เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว นมไขมันต่ำ และธัญพืชเต็มเมล็ด
  2. การรักษาด้วยยา
    • ยาลดกรดยูริก เช่น Allopurinol และ Febuxostat ช่วยลดการผลิตกรดยูริก
    • ยาต้านการอักเสบ เช่น NSAIDs และ Colchicine ใช้ลดอาการอักเสบเฉียบพลัน
  3. การออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก
    • การออกกำลังกายช่วยลดระดับกรดยูริกและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
    • การลดน้ำหนักช่วยลดภาระของข้อต่อและลดโอกาสเกิดโรคเก๊าท์

บทสรุป

โรคเก๊าท์เป็นภาวะที่สามารถป้องกันและควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ควบคุมอาหาร และการใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ดังนั้น การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและแนวทางการดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคนี้

References:

  1. National Health Service (NHS). (2023). “Gout”. Retrieved from https://www.nhs.uk
  2. American College of Rheumatology. (2023). “Gout Guidelines”. Retrieved from https://www.rheumatology.org
  3. Choi, H. K., & Curhan, G. (2005). “Gout: Epidemiology and Risk Factors”. The New England Journal of Medicine.
Posted on

ไขปริศนา: กรุ๊ปเลือดส่งผลต่อสุขภาพสมองของเราจริงหรือ?

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตและพิการที่สำคัญทั่วโลก ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การสูบบุหรี่ และพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม การศึกษาใหม่ชี้ให้เห็นว่ากรุ๊ปเลือดอาจมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มหรือลดความเสี่ยงของโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A

ความเชื่อมโยงระหว่างกรุ๊ปเลือดกับโรคหลอดเลือดสมอง

การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนวัยอันควร (ก่อนอายุ 60 ปี) มากกว่าผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดอื่น ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาด้านพันธุกรรม 48 รายการ ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 17,000 ราย และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เป็นโรคนี้เกือบ 600,000 ราย ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด A มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองก่อนอายุ 60 ปี มากกว่ากลุ่มที่มีกรุ๊ปเลือด O ประมาณ 16%

ทำไมกรุ๊ปเลือดจึงมีผลต่อโรคหลอดเลือดสมอง?

กลไกที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อมโยงนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านการแข็งตัวของเลือดและความสามารถในการไหลเวียนของเลือด คนที่มีกรุ๊ปเลือด A อาจมีแนวโน้มที่เลือดจะจับตัวเป็นลิ่มได้ง่ายกว่ากรุ๊ปเลือด O ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

แม้ว่ากรุ๊ปเลือดอาจมีบทบาทต่อความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง แต่ปัจจัยอื่น ๆ ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณา ได้แก่:

  • ความดันโลหิตสูง – เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้หลอดเลือดในสมองตีบตันหรือแตก
  • คอเลสเตอรอลสูง – อาจทำให้หลอดเลือดอุดตันและนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
  • เบาหวาน – ส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ – สามารถเพิ่มความเสี่ยงโดยทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัว

วิธีลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

ไม่ว่าคุณจะมีกรุ๊ปเลือดอะไร การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังนี้:

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด
  • ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดความดันโลหิตและรักษาสุขภาพของหลอดเลือด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือด
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

บทสรุป

แม้ว่ากรุ๊ปเลือดอาจมีบทบาทในความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อโรคนี้ การเข้าใจความเสี่ยงและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ไม่ว่าคุณจะมีกรุ๊ปเลือดใด การรักษาวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพยังคงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพในระยะยาว.

References :

  1. American Stroke Association. (2022). Blood Type and Stroke Risk: What You Need to Know.
  2. Neurology Journal. (2022). Blood Type and Early-Onset Stroke Risk: A Genetic Analysis.
  3. Harvard Medical School. (2022). The Role of Blood Types in Cardiovascular and Stroke Risk.

Posted on

บุหรี่ไฟฟ้า: ภัยเงียบของเยาวชนและแนวทางควบคุมในสถานศึกษา

บทนำ

ในปัจจุบัน บุหรี่ไฟฟ้า (Electronic Cigarette หรือ E-Cigarette) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่น แม้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่ามีอันตรายต่อสุขภาพและผลกระทบต่อสังคมในหลายมิติ บทความนี้จะวิเคราะห์อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า ผลกระทบต่อสังคม และแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการได้นำมาใช้เพื่อควบคุมปัญหานี้

1. อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า

1.1 สารเคมีอันตรายในบุหรี่ไฟฟ้า

บุหรี่ไฟฟ้าทำงานโดยใช้แบตเตอรี่เพื่อให้ความร้อนกับน้ำยานิโคตินหรือสารแต่งกลิ่นต่าง ๆ ทำให้เกิดไอระเหยที่ผู้ใช้สูดเข้าไป แม้ว่าจะไม่มีการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ปกติ แต่ยังมีสารเคมีอันตรายหลายชนิด เช่น:

  • นิโคติน: สารเสพติดที่ทำให้เกิดภาวะเสพติดและมีผลกระทบต่อสมอง
  • โพรพิลีนไกลคอล (Propylene Glycol) และ กลีเซอรีน (Glycerin): แม้จะใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร แต่การสูดดมอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองปอด
  • สารแต่งกลิ่นและรส: อาจมีสารที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบจากไอระเหย (EVALI)
  • โลหะหนัก: เช่น ตะกั่ว นิกเกิล และแคดเมียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

1.2 ผลกระทบต่อสุขภาพ

การสูบบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อร่างกายหลายด้าน ได้แก่:

  • ระบบทางเดินหายใจ: เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดเรื้อรังและมะเร็งปอด
  • ระบบหัวใจและหลอดเลือด: เพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
  • ผลกระทบต่อสมอง: โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ นิโคตินสามารถส่งผลต่อสมาธิ ความจำ และการตัดสินใจ
  • ผลกระทบต่อสตรีมีครรภ์: นิโคตินอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์

2. ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสังคม

2.1 เยาวชนและการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า

จากสถิติพบว่ามีเยาวชนไทยจำนวนมากที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าเนื่องจากความเข้าใจผิดว่าไม่มีอันตราย อีกทั้งการตลาดที่ทำให้ดูทันสมัยและกลิ่นรสที่หลากหลายทำให้เยาวชนติดง่ายขึ้น การเสพติดนิโคตินสามารถนำไปสู่การใช้สารเสพติดอื่นในอนาคต

2.2 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายผิดกฎหมาย ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีบุหรี่แบบดั้งเดิม

2.3 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ขยะจากบุหรี่ไฟฟ้า เช่น หัวพ่น แบตเตอรี่ และขวดน้ำยา เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีสารพิษที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ง่าย

3. นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ

3.1 การห้ามใช้และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายเข้มงวดในการป้องกันและควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา โดยมีมาตรการ เช่น:

  • การห้ามขายและพกพาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา
  • การให้ความรู้และรณรงค์ป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน
  • การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้กระทำผิด

3.2 การบูรณาการการเรียนรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า

มีการจัดทำหลักสูตรเพื่อส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เยาวชนเข้าใจถึงผลเสียต่อสุขภาพและหลีกเลี่ยงการใช้

3.3 การบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า

รัฐบาลไทยได้ออกกฎหมายควบคุมการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

บทสรุป

บุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่มีแนวโน้มตกเป็นเหยื่อของการตลาดและการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์นี้ ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญในการลดปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน.

References :

  1. World Health Organization. (2023). “E-Cigarettes: A Public Health Threat.” Retrieved from https://www.who.int
  2. กระทรวงสาธารณสุข. (2566). “ผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพและสังคมไทย.” Retrieved from https://www.moph.go.th
  3. กระทรวงศึกษาธิการ. (2566). “นโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาไทย.” Retrieved from https://www.moe.go.th
  4. American Lung Association. (2023). “The Dangers of Vaping and E-Cigarettes.” Retrieved from https://www.lung.org
Posted on

มาร์ก คาร์นีย์ ส่งสัญญาณ: การเยือนยุโรปสะท้อนทิศทางใหม่ของแคนาดา

การเยือนต่างประเทศครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี มาร์ก คาร์นีย์ ของแคนาดา ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการทูตของประเทศ เมื่อเขาเลือกเดินทางไปยุโรปก่อนสหรัฐอเมริกา ซึ่งขัดแย้งกับธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้นำแคนาดามักให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านทางใต้เป็นลำดับแรก

สัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับยุโรป

คาร์นีย์ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างแคนาดากับยุโรป คาร์นีย์ กล่าวถึงแคนดาว่าเป็น “ประเทศที่มีความเป็นยุโรปมากที่สุดในบรรดาประเทศที่ไม่ได้อยู่ในยุโรป” พร้อมแสดงเจตจำนงที่จะเป็น “พันธมิตรที่เชื่อถือได้และแข็งแกร่ง” ของยุโรป

ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรต่อแคนาดา โดยใช้มาตรการทางภาษีที่เข้มงวด รวมถึงการแสดงความคิดเห็นเชิงลบเกี่ยวกับอธิปไตยของแคนาดา การสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งกับยุโรปอาจเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับ คาร์นีย์ ในการลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงจากสหรัฐฯ

การส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ถึงทรัมป์

คาร์นีย์ ไม่เพียงปฏิเสธแนวคิดของ ทรัมป์ ที่เสนอให้แคนาดากลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ แต่ยังประกาศว่าประเทศของเขากำลังทบทวนการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35 จากสหรัฐฯ พร้อมกันนั้นเขายังได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ

แม้จะมีท่าทีแข็งกร้าว แต่ คาร์นีย์ ก็แสดงท่าทีพร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐฯ โดยกล่าวว่า “เมื่อสหรัฐฯ พร้อมที่จะพูดคุย เราก็พร้อมที่จะเจรจา” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแคนาดายังคงต้องการรักษาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ แต่ไม่ยอมรับเงื่อนไขที่เสียเปรียบ

ผลกระทบต่อการเมืองภายในแคนาดา

คาร์นีย์ ซึ่งเพิ่งเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและจะนำพรรคเสรีนิยมเข้าสู่การเลือกตั้งในปลายปีนี้ ได้รับแรงหนุนจากท่าทีแข็งกร้าวของ ทรัมป์ ก่อนหน้านี้ พรรคเสรีนิยมดูเหมือนจะประสบปัญหาด้านความนิยมและเผชิญกับการท้าทายจากพรรคอนุรักษนิยมที่นำโดย ปิแอร์ ปัวลิเยฟร แต่การโจมตีทางการเมืองและเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ อาจทำให้ประชาชนแคนาดาหันมาสนับสนุน คาร์นีย์ และพรรคของเขามากขึ้น

บทสรุป

การเลือกเดินทางเยือนยุโรปแทนสหรัฐฯ ของ คาร์นีย์ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพิธีการ แต่เป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญเกี่ยวกับแนวทางของแคนาดาในเวทีระหว่างประเทศ ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับวอชิงตัน การกระชับความสัมพันธ์กับยุโรปอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับแคนาดาในการรักษาอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและการทูตของตน ท้ายที่สุดแล้ว ผลกระทบของการเดินทางครั้งนี้อาจไม่ได้มีเพียงในเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการเมืองภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเลือกตั้งครั้งต่อไปของแคนาดา.

Reference: Coohfey.com

Posted on

ภาวะสุขภาพจิตหลังอุบัติเหตุ: ผลกระทบระยะยาวและปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้

การศึกษาเผยว่า 11.3% ของผู้ป่วยอุบัติเหตุมีพัฒนาการไปสู่โรคทางจิตเวชใหม่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาซ้ำ การฆ่าตัวตาย และการเสียชีวิต

การศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่ใน JAMA Network Open ได้แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาโรคทางจิตเวชใหม่ในระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและอัตราการเสียชีวิตของพวกเขา

ผลลัพธ์สำคัญจากการศึกษา

งานวิจัยนี้ศึกษาในกลุ่มประชากร 29,191 คน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยอุบัติเหตุในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียระหว่างปี 1994 ถึง 2020 โดยติดตามผลเป็นระยะเวลามัธยฐาน 99.8 เดือน และพบว่า:

  • 11.3% ของผู้ป่วยพัฒนาโรคทางจิตเวชใหม่หลังจากอุบัติเหตุ เช่น การพึ่งพายาเสพติด (8.2%) และโรควิตกกังวลรวมถึง PTSD (5.4%)
  • ภาวะสุขภาพจิตใหม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาซ้ำ การฆ่าตัวตาย และการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ โดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ:
    • โอกาสเข้ารับการรักษาซ้ำเนื่องจากอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 1.30 เท่า
    • ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 3.14 เท่า
    • ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุเพิ่มขึ้น 1.24 เท่า

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโรคทางจิตเวชหลังอุบัติเหตุ

การศึกษาได้ระบุปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสในการพัฒนาโรคทางจิตเวชหลังจากอุบัติเหตุ ได้แก่:

  • อายุน้อย – ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่ามีแนวโน้มพัฒนาโรคทางจิตเวชมากกว่าผู้สูงอายุ
  • ว่างงาน – การไม่มีงานทำเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและความเครียด
  • โสดหรือหย่าร้าง – สถานะสมรสมีความสัมพันธ์กับความมั่นคงทางอารมณ์
  • เชื้อสายชนพื้นเมือง – ผู้ที่มีเชื้อสายชนพื้นเมืองมีแนวโน้มพัฒนาโรคทางจิตเวชมากขึ้น
  • สถานะเศรษฐกิจและสังคมต่ำ – รายได้และการศึกษาที่ต่ำเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตที่ย่ำแย่
  • การบาดเจ็บทางสมอง – ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บที่สมองมีความเสี่ยงต่อการพัฒนาโรคทางจิตเวชสูงขึ้น

การดูแลสุขภาพจิตหลังอุบัติเหตุ: สิ่งที่ควรทำ

  1. ติดตามผลทางสุขภาพจิต – โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขควรมีระบบติดตามภาวะสุขภาพจิตของผู้ป่วยอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
  2. ให้การช่วยเหลือด้านจิตเวช – ผู้ป่วยที่พัฒนาโรคทางจิตเวชหลังอุบัติเหตุควรได้รับการสนับสนุน เช่น การให้คำปรึกษาและการบำบัด
  3. ป้องกันการใช้สารเสพติด – การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลิกใช้สารเสพติด โดยเฉพาะโอปิออยด์ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการพึ่งพายาเสพติด
  4. สนับสนุนการกลับเข้าสังคมและการทำงาน – โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพและช่วยเหลือด้านอาชีพสามารถช่วยลดผลกระทบทางจิตใจในระยะยาวได้

บทสรุป

งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบระยะยาวของอุบัติเหตุต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย โดยพบว่าผู้ป่วยบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงต่อการพัฒนาโรคทางจิตเวชใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเข้ารับการรักษาซ้ำ การฆ่าตัวตาย และการเสียชีวิต การให้ความสำคัญกับการติดตามสุขภาพจิตของผู้ป่วยอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเปราะบาง อาจช่วยลดผลกระทบเชิงลบและปรับปรุงคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้.

Reference : JAMA Network Open, 2025

Posted on

งานวิจัยพบว่าโปรไบโอติกช่วยลดระยะเวลามีไข้ในเด็กที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน

มิลาน, อิตาลี – ผลการศึกษาทางคลินิกแบบสุ่มที่ดำเนินการโดยคณะนักวิจัยจากโรงพยาบาล Ca’ Granda Ospedale Maggiore Policlinico ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี พบว่าโปรไบโอติกชนิดผสมสามารถช่วยลดระยะเวลามีไข้ในเด็กที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (URTIs) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โปรไบโอติกมีผลต่อไข้ของเด็กอย่างไร?

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรไบโอติกที่ประกอบด้วย Bifidobacterium breve M-16V, Bifidobacterium lactis HN019, และ Lactobacillus rhamnosus HN001 ต่อระยะเวลามีไข้ของเด็กที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน การศึกษาได้ดำเนินการระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ถึง 20 มิถุนายน 2566 ในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 28 วัน ถึง 4 ปี ที่เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลดังกล่าว

การออกแบบการศึกษา

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบสุ่ม ปกปิดทั้งสามฝ่าย และมีกลุ่มควบคุม โดยเด็กที่เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 128 คน ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติก: ได้รับโปรไบโอติกขนาด 0.5 มล. ต่อวัน เป็นเวลา 14 วัน
  • กลุ่มที่ได้รับยาหลอก: ได้รับยาหลอกที่มีลักษณะเหมือนโปรไบโอติก แต่ไม่มีจุลินทรีย์ที่มีชีวิต

ผลการศึกษา

ผลการศึกษาพบว่าเด็กที่ได้รับโปรไบโอติกมีระยะเวลามีไข้เฉลี่ย 3 วัน (ช่วงค่ากลางระหว่าง 2-4 วัน) ซึ่งสั้นกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งมีระยะเวลามีไข้เฉลี่ย 5 วัน (ช่วงค่ากลางระหว่าง 4-6 วัน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.001)

อัตราความเสี่ยงที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted Risk Ratio, ARR) เท่ากับ 0.64 (ช่วงความเชื่อมั่น 95%: 0.51-0.80) แสดงให้เห็นว่าการใช้โปรไบโอติกสามารถลดระยะเวลามีไข้ได้ประมาณ 2 วัน เมื่อเทียบกับยาหลอก

ความปลอดภัยของโปรไบโอติก

งานวิจัยยังพบว่าไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้โปรไบโอติก อาการข้างเคียงที่พบมีอัตราที่ใกล้เคียงกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรไบโอติกและกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ได้แก่ ท้องผูก (16% เทียบกับ 12%) และปวดท้อง (8% เทียบกับ 4%) ซึ่งไม่มีความแตกต่างทางสถิติ

บทสรุปของการศึกษา

ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าโปรไบโอติกสามารถเป็นแนวทางเสริมในการรักษาไข้ในเด็กที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน โดยสามารถลดระยะเวลามีไข้ได้ประมาณ 2 วัน เมื่อเทียบกับการไม่ได้รับโปรไบโอติก ทั้งนี้ ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยในการใช้โปรไบโอติกในเด็ก ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กในอนาคต.

Reference : JAMA Network Open Journal.