Posted on

🏥 ความรุนแรงในสถานพยาบาล: งานวิจัยใหม่ชี้พยาบาลคือกลุ่มเสี่ยงหลัก


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญหา “ความรุนแรงในสถานพยาบาล (Workplace Violence: WPV)” กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลของวงการสาธารณสุขทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้วาจารุนแรง การคุกคาม ไปจนถึงการทำร้ายร่างกายบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะในหน่วยบริการฉุกเฉินและหอผู้ป่วยที่มีความเครียดสูง

งานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025
ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจาก รายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient Safety Event Reports: PSEs) ซึ่งถูกใช้เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อศึกษาลักษณะของความรุนแรงในที่ทำงานของบุคลากรทางการแพทย์

ผลการศึกษานี้ชี้ว่า

“รายงานเหตุการณ์ PSE เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้เต็มศักยภาพ และสามารถช่วยวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของความรุนแรงในสถานพยาบาลได้อย่างแม่นยำ เพื่อวางแผนป้องกันและปกป้องความปลอดภัยของบุคลากรแนวหน้าได้ดียิ่งขึ้น”


📋 รายละเอียดของการศึกษา

งานวิจัยนี้ดำเนินการโดย ศูนย์วิจัย MedStar Health Research Institute รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา
ภายใต้การนำของ ดร. Azade Tabaie
เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง (Cross-sectional Study) ที่วิเคราะห์ข้อมูลจากรายงาน PSE ทั้งหมด 15,426 ฉบับ
ซึ่งถูกรวบรวมจาก ระบบโรงพยาบาลหลายแห่งในเขต Mid-Atlantic ของสหรัฐอเมริกา
ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 20 กันยายน 2023

จากรายงานทั้งหมด ทีมวิจัยคัดเลือกข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงในสถานที่ทำงาน (Workplace Violence: WPV) จำนวน 975 รายงาน (คิดเป็น 6.3%)
และทำการตรวจสอบเชิงลึกโดยนักวิจัยอิสระ 2 คน เพื่อยืนยันลักษณะของเหตุการณ์และความสอดคล้องของข้อมูล


⚠️ ผลการศึกษา: “เสียงสะท้อนจากแนวหน้า”

ในจำนวน 975 รายงาน พบว่า 831 เหตุการณ์ (85.2%) เป็นเหตุการณ์ที่เข้าข่าย “ความรุนแรงในที่ทำงาน (WPV)” โดยมีลักษณะดังนี้

ประเภทเหตุการณ์จำนวน (%)รายละเอียด
👥 ผู้ป่วยหรือญาติทำร้ายบุคลากร (Patient/Visitor-on-Staff)673 (76.7%)พบมากที่สุดในทุกกรณี
💬 การใช้ถ้อยคำรุนแรงหรือคุกคาม (Verbal Harm)331 (39.8%)เป็นรูปแบบความรุนแรงที่พบบ่อยที่สุด
🧑‍⚕️ ผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นพยาบาล277 (33.3%)โดยเฉพาะในหอผู้ป่วยและแผนกฉุกเฉิน
😡 สาเหตุหลักของเหตุรุนแรงความ “กระวนกระวาย (Agitation)” 23.2% และ “ก้าวร้าว (Aggression)” 21.5%
🚨 การเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าช่วยเหลือ391 (47.1%)และมีการแจ้งตำรวจในบางกรณี (8.4%)
🏥 สถานที่เกิดเหตุ767 (92.3%)ส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล

นอกจากนี้ยังพบว่า พยาบาลเป็นผู้รายงานเหตุการณ์มากที่สุด (64.1%) ซึ่งสะท้อนถึงภาระทางจิตใจและความเสี่ยงที่บุคลากรกลุ่มนี้ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง


🧠 ความหมายและข้อค้นพบที่สำคัญ

ผลลัพธ์จากการศึกษาเผยให้เห็นว่า “รายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย (PSEs)”
ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะต่อการปรับปรุงคุณภาพการดูแลผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็น ฐานข้อมูลสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์เหตุรุนแรงในระบบสาธารณสุข ได้อย่างละเอียด

ดร. Azade Tabaie ผู้วิจัยหลัก กล่าวว่า

“การใช้ข้อมูล PSEs เพื่อจำแนกและวิเคราะห์รูปแบบของเหตุรุนแรงในที่ทำงาน ช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่าความรุนแรงมักเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดกับใคร และเกิดจากปัจจัยใด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาแผนป้องกันเชิงระบบ”

เธอเน้นว่า การนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เชิงรุกจะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถออกแบบมาตรการ “ป้องกันความรุนแรงเชิงเฉพาะจุด (Targeted Intervention)” ได้ เช่น

  • การอบรมเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารกับผู้ป่วยก้าวร้าว
  • การเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในพื้นที่เสี่ยง
  • การวางระบบการรายงานเหตุรุนแรงแบบไม่ระบุตัวตน เพื่อปกป้องผู้แจ้งเหตุ

🧩 ความสำคัญในเชิงนโยบาย

การวิจัยนี้ตอกย้ำความจริงว่า “ความรุนแรงในโรงพยาบาลไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะบุคคล แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ”
โดยเฉพาะในประเทศที่มีบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน การดูแลจิตใจและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน

องค์กรต่าง ๆ เช่น Centers for Disease Control and Prevention (CDC) และ World Health Organization (WHO)
ต่างระบุให้การป้องกันความรุนแรงในสถานพยาบาลเป็น “ยุทธศาสตร์หลักของระบบสุขภาพปลอดภัย (Safe Health Workforce Strategy)

หากสามารถใช้ข้อมูลจาก PSEs อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้หน่วยงานสาธารณสุขสามารถ

  • วางระบบติดตามเหตุรุนแรงแบบเรียลไทม์
  • จัดสรรบุคลากรในพื้นที่เสี่ยงได้เหมาะสม
  • และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัยของคนทำงาน” ควบคู่กับ “ความปลอดภัยของผู้ป่วย”

🕊️ บทสรุป

งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า รายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย (PSEs)
เป็น “ขุมข้อมูล” ที่สามารถใช้วิเคราะห์เหตุการณ์ความรุนแรงในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การเข้าใจลักษณะของความรุนแรง คือก้าวแรกของการป้องกัน”

และเมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจน องค์กรสามารถออกแบบแนวทางการป้องกันเฉพาะพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ — โดยเฉพาะพยาบาลที่อยู่แนวหน้า — ได้ทำงานอย่างปลอดภัย และลดความเครียดจากความรุนแรงในที่ทำงาน


📚 แหล่งอ้างอิง

  • Tabaie A, et al. Insights From Patient Safety Event Reports on Workplace Violence in Health Care Settings. JAMA Network Open. 2025;8(11):e2544642. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.44642
  • MedStar Health Research Institute, Maryland, USA
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC): Workplace Violence Prevention for Health Care and Social Service Workers
  • World Health Organization (WHO): Framework for Safe and Respectful Health Workplaces

🟣 หมายเหตุสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้จากงานวิจัยทางการแพทย์ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแทนคำแนะนำจากหน่วยงานทางกฎหมายหรือสาธารณสุข หากคุณทำงานในสถานพยาบาลและประสบเหตุรุนแรง ควรรายงานต่อผู้บังคับบัญชาและขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายในอย่างเหมาะสม

Posted on

📱 งานวิจัยชี้ การพักจากโซเชียลมีเดียเพียงหนึ่งสัปดาห์ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตของวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่


พักโซเชียลมีเดียแค่ 1 สัปดาห์ สุขภาพจิตดีขึ้นทันตา!

ในยุคที่โทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียกลายเป็น “เพื่อนสนิทติดตัว” ของคนรุ่นใหม่ คำถามสำคัญที่สังคมและนักจิตวิทยาทั่วโลกพยายามหาคำตอบคือ —
“การลดเวลาอยู่บนโซเชียลมีเดีย จะช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้จริงหรือไม่?”

งานวิจัยใหม่จากสหรัฐอเมริกา ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นว่า

การลดการใช้โซเชียลมีเดียเพียง 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการทางสุขภาพจิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง ภาวะซึมเศร้า (Depression), ความวิตกกังวล (Anxiety) และ ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia)


👩‍🔬 รายละเอียดของการศึกษา

การศึกษาครั้งนี้เป็น การวิจัยแบบ Cohort Study จัดทำโดยทีมนักจิตเวชศาสตร์จาก Beth Israel Deaconess Medical Center และ Harvard Medical School
โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 373 คน อายุระหว่าง 18–24 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุด

ผู้เข้าร่วมทุกคนใช้สมาร์ตโฟนและถูกติดตามพฤติกรรมในช่วงเวลา 2 สัปดาห์แรก จากนั้นกลุ่มหนึ่งเลือกทำ “Social Media Detox” เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยหยุดใช้แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook, Instagram, Snapchat, TikTok และ X (Twitter เดิม)


📊 ผลลัพธ์ที่ได้จากการลดการใช้โซเชียลมีเดีย

ผลการวิเคราะห์เชิงสถิติพบว่า การหยุดใช้โซเชียลมีเดียเพียง 7 วัน ให้ผลชัดเจนดังนี้

อาการสุขภาพจิตการเปลี่ยนแปลงหลังทำ Social Media Detox
😰 ความวิตกกังวล (Anxiety)ลดลง 16.1%
😞 ภาวะซึมเศร้า (Depression)ลดลง 24.8%
🌙 ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia)ลดลง 14.5%
💬 ความเหงา (Loneliness)ไม่พบความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ยังพบว่า หลังจากหยุดใช้โซเชียลมีเดีย ผู้เข้าร่วมใช้เวลาอยู่ที่บ้านและจ้องหน้าจออื่น (เช่นดูวิดีโอหรือเล่นเกม) มากขึ้นเล็กน้อย แต่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือว่า “เล็กน้อยมาก” เมื่อเทียบกับความแตกต่างรายบุคคลในพฤติกรรมโดยรวม


🧠 ความหมายของผลการศึกษา

ดร. John Torous (จอห์น โทรัส) ผู้ร่วมวิจัยจาก Harvard Medical School อธิบายว่า

“แม้เราจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าผลดีนี้จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดในเพียงสัปดาห์เดียว บ่งบอกว่าโซเชียลมีเดียอาจมีอิทธิพลทางจิตใจมากกว่าที่เราคิดไว้”

นักวิจัยกล่าวเพิ่มเติมว่า การลดการใช้โซเชียลไม่ได้หมายถึง “ต้องเลิกใช้ตลอดไป” แต่เป็น แนวทางการฟื้นฟูสมดุลทางจิตใจ (Digital Behavior Reset) ที่ช่วยให้สมองได้พักจากกระแสข้อมูลที่ไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน


💬 โซเชียลมีเดียกับสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่

งานวิจัยก่อนหน้านี้หลายชิ้นมีผลลัพธ์ที่ “ไม่ตรงกัน” เพราะส่วนใหญ่ใช้ข้อมูลจากการรายงานด้วยตนเอง (Self-Report)
แต่การศึกษาครั้งนี้ใช้การติดตามพฤติกรรมจริงผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า

โดยพบว่า ผู้ที่ใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปมักมีแนวโน้ม

  • เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
  • รู้สึกโดดเดี่ยวแม้อยู่ในโลกออนไลน์
  • และมีรูปแบบการนอนหลับที่แปรปรวน

สิ่งเหล่านี้สะสมจนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงของความผิดปกติทางอารมณ์ในระยะยาว


🧘‍♀️ สัปดาห์แห่งการดีท็อกซ์ดิจิทัล (Digital Detox Week)

แม้เพียงหนึ่งสัปดาห์ของการหยุดเล่นโซเชียลจะดูสั้น แต่ผลที่ได้ถือว่าน่าทึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลในระดับสูงตั้งแต่เริ่มต้น
การลดสิ่งกระตุ้นทางดิจิทัลช่วยให้จิตใจสงบลง ลดความกังวลเรื่อง “การเปรียบเทียบตัวเอง” และช่วยให้สมองกลับเข้าสู่ภาวะพักผ่อนมากขึ้น

ดร. Emily Calvert หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า

“เพียงสัปดาห์เดียวของการพักจากโลกออนไลน์ อาจช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงพลังของเวลาและความสงบที่หายไปเมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอ”


🔬 ข้อจำกัดของการศึกษา

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยอมรับว่า ผลลัพธ์นี้ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น

  • กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวชาวอเมริกัน อายุ 18–24 ปี
  • ยังไม่สามารถระบุได้ว่าผลดีนี้จะ “ยั่งยืน” แค่ไหนหากผ่านไปหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
  • และยังไม่ทราบผลกระทบในประชากรกลุ่มอื่น เช่น วัยทำงานหรือวัยรุ่นตอนต้น

นักวิจัยแนะนำว่าควรมีการศึกษาต่อเนื่องในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย เพื่อยืนยันผลในระยะยาวและเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง


💡 บทสรุป

ผลการศึกษานี้ยืนยันว่า

“การลดการใช้โซเชียลมีเดียเพียงหนึ่งสัปดาห์ สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ได้จริง”

โดยเฉพาะในด้าน การลดภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และอาการนอนไม่หลับ
แม้ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า “การพักจากโลกออนไลน์” อาจเป็นยาที่ไม่ต้องใช้ยาแต่ได้ผลดีอย่างคาดไม่ถึง


📚 แหล่งอ้างอิง

  • Calvert E, Torous J, et al. Association Between Social Media Detox and Mental Health Outcomes Among Young Adults. JAMA Network Open. 2025;8(11):e2545245. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.45245
  • Beth Israel Deaconess Medical Center, Department of Psychiatry, Harvard Medical School
  • American Psychological Association (APA): Social Media Use and Mental Health
  • World Health Organization (WHO): Digital Wellbeing and Youth Mental Health

🟣 หมายเหตุสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์เชิงวิชาการแก่สาธารณชน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ หากคุณมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับเรื้อรัง ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิก เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลอย่างเหมาะสม

Posted on

🧠 เปิดข้อมูลใหม่ “สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย” อาจทิ้งผลกระทบไว้นานกว่าที่คิด: งานวิจัยใหม่จากสหรัฐฯ มีคำตอบ

แม้การบาดเจ็บที่ศีรษะจะดูเหมือนไม่รุนแรง แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยบางรายกลับมีอาการไม่หายภายในระยะเวลาอันสั้น ล่าสุดงานวิจัยจากวารสารทางการแพทย์ JAMA Network Open พบว่า ผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บสมองเล็กน้อย (ที่เรียกทั่วไปว่า “สมองกระทบกระเทือน”) มีเกือบ หนึ่งในสาม ที่อาการยังคงอยู่แม้ผ่านไปแล้วถึง 1 เดือน

🔍 การศึกษาครั้งใหญ่ในผู้ป่วยกว่า 800 ราย

งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “HeadSMART II” ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลผู้ใหญ่จำนวน 803 คน ที่เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินภายใน 4 วันหลังจากได้รับบาดเจ็บศีรษะ โดยผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการระดับ “สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย” (ระดับความรู้สติอยู่ในเกณฑ์ปกติ)

เมื่อติดตามผลหลังจากผ่านไป 30 วัน นักวิจัยพบว่า ร้อยละ 29.3 ของผู้ป่วยยังคงมีอาการต่อเนื่อง เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย และมีปัญหาด้านการจดจำหรือสมาธิ

⚠️ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการไม่หายภายใน 30 วัน

จากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด ทีมวิจัยพบปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการคงอยู่ ได้แก่

  1. เพศหญิง – ผู้หญิงมีโอกาสที่อาการจะอยู่ต่อมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า
  2. น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน – ผู้ที่มีดัชนีมวลกายสูง มีโอกาสที่อาการจะเรื้อรังมากขึ้น
  3. ลักษณะของการบาดเจ็บ – เช่น การล้มหัวกระแทก การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือการถูกทำร้ายร่างกาย มีความเสี่ยงสูงกว่า
  4. มีประวัติไมเกรนหรือปวดศีรษะเรื้อรังมาก่อน – ทำให้สมองไวต่อการกระทบกระเทือนและฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนทั่วไป
  5. มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล – ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจมีผลต่อการฟื้นตัวของสมองอย่างมีนัยสำคัญ
  6. มีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย – เช่น แขนขาอ่อนแรงหรือพูดไม่ชัดในช่วงแรกของอาการ
  7. ต้องตรวจเอกซเรย์สมองหลายครั้งในระยะเริ่มต้น – มักสะท้อนว่ามีอาการซับซ้อนมากกว่า

👩‍⚕️ ทำไมผู้หญิงจึงเสี่ยงมากกว่า

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ผู้หญิงอาจมีความแตกต่างทางฮอร์โมนและโครงสร้างสมองบางส่วนที่ตอบสนองต่อแรงกระแทกต่างจากผู้ชาย นอกจากนี้ ปัจจัยทางสังคม เช่น ความเครียดสะสม หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอหลังบาดเจ็บ อาจทำให้อาการฟื้นตัวช้ากว่า

⚖️ น้ำหนักตัวและสุขภาพทั่วไปมีผลจริงหรือ?

น้ำหนักตัวที่มากเกินไปไม่เพียงส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด แต่ยังมีผลต่อกระบวนการฟื้นฟูของสมองหลังการบาดเจ็บด้วย งานวิจัยชี้ว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมีแนวโน้มจะมีอาการหลงเหลือนานกว่า เพราะมีการอักเสบในร่างกายมากกว่าคนทั่วไป

🧩 ประวัติโรคประจำตัวและสุขภาพจิตก็มีส่วน

ผู้ที่เคยมีไมเกรน ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล มักมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่า เพราะสมองของพวกเขาอยู่ในภาวะที่ “ไวต่อความเครียด” มากกว่าปกติ

ดังนั้น หลังได้รับบาดเจ็บ แม้อาการจะดูไม่รุนแรง แต่ถ้ามีอาการปวดศีรษะ เวียนหัว หรือมึนงงต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจซ้ำ

🏥 สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตหลังศีรษะกระแทก

  • ปวดศีรษะมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • เวียนหัวหรือเสียการทรงตัว
  • พูดไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน
  • คลื่นไส้หรืออาเจียนซ้ำ ๆ
  • มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงหรือหงุดหงิดง่ายผิดปกติ

หากมีอาการเหล่านี้ภายใน 24–48 ชั่วโมง ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

💬 ข้อเสนอแนะจากทีมวิจัย

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรได้รับ การติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหลัง 1 เดือน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะอาการเรื้อรัง และควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ด้านการพักผ่อน การออกกำลังกายเบา ๆ การลดความเครียด และการนอนหลับให้เพียงพอ

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังเน้นว่า “การบาดเจ็บสมองเล็กน้อยไม่ควรถูกมองข้าม” เพราะถึงแม้จะไม่รุนแรงในตอนแรก แต่อาจกระทบต่อการทำงาน การเรียนรู้ และคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้

📋 บทสรุป

งานวิจัยนี้ตอกย้ำว่า “สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย” ไม่ได้หมายความว่าจะหายเองเสมอไป ปัจจัยอย่างเพศ น้ำหนักตัว ประวัติสุขภาพจิต และลักษณะของการบาดเจ็บ ล้วนมีผลต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย

การรู้เท่าทันอาการและเฝ้าระวังตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้แพทย์สามารถดูแลและป้องกันไม่ให้อาการกลายเป็นเรื้อรังได้

🩺 หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางสุขภาพและสรุปข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องสุขภาพสมองและการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น

ข้อมูลทั้งหมด ไม่ถือเป็นการวินิจฉัยโรคหรือคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง หรือสงสัยว่าตนเองอาจได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควร ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ เว็บไซต์ไม่สนับสนุนให้ผู้อ่านตัดสินใจรักษาตนเองโดยอ้างอิงจากข้อมูลในบทความเพียงอย่างเดียว และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์

คำแนะนำเพิ่มเติม: หากเกิดอุบัติเหตุศีรษะกระแทกอย่างแรง หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัวมาก อาเจียน ซึม พูดไม่ชัด หรือแขนขาอ่อนแรง ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่อให้แพทย์ตรวจประเมินโดยเร็วที่สุด

🔗 แหล่งอ้างอิง

Peacock WF Jr, Kuehl D, Diaz-Arrastia R, et al.
Factors Associated With Persistent Symptoms Following Mild Traumatic Brain Injury.
JAMA Network Open. 2025;8(10):e2537729.
doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.37729.
เผยแพร่โดย สมาคมการแพทย์อเมริกัน (American Medical Association)
อ่านต้นฉบับได้ที่นี่

Posted on

🏋️ผู้เชี่ยวชาญยืนยัน! ผู้สูงอายุสามารถฟื้นฟูสุขภาพและความสุขได้ทุกช่วงอายุ

งานวิจัยและคำแนะนำจากหลายหน่วยงานยืนยันตรงกันว่า ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร การขยับร่างกาย กินอาหารเหมาะสม นอนหลับดี รักษาความสัมพันธ์ทางสังคม และฝึกกล้ามเนื้อ—ช่วยฟื้นคืนสมรรถภาพกาย ใจ และสมองได้จริง ลดความเสี่ยงหกล้ม สมองเสื่อม โรคหัวใจ และภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น (อ้างอิงแนวทางกิจกรรมทางกายขององค์การอนามัยโลก(WHO), 2020; สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ สหรัฐอเมริกา(NIA) 2024–2025) PMC+2World Health Organization+2

🏃‍♀️ กิจกรรมทางกาย: “ยา” ต้นทุนต่ำที่ได้ผลที่สุด

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำผู้ใหญ่รวมถึงผู้สูงอายุให้ทำกิจกรรมแอโรบิกระดับปานกลางอย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ หรือระดับหนัก 75–150 นาที/สัปดาห์ พร้อมฝึกกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ ≥2 วัน และเน้นการฝึกทรงตัวเพื่อลดหกล้มในกลุ่มวัยสูงอายุ แนวทางล่าสุดย้ำว่า “ขยับเท่าไรก็ดีกว่าไม่ขยับ” และควรลดพฤติกรรมเนือยนิ่งให้น้อยที่สุด British Journal of Sports Medicine+1

หลักฐานทบทวนแบบ Cochrane และคำแนะนำจาก คณะทำงานบริการป้องกันของสหรัฐอเมริกา(USPSTF) ระบุว่า “โปรแกรมออกกำลังที่เน้นการทรงตัว/การทำหน้าที่” (เช่น ฝึกยืน-นั่ง ยืนขาเดียว เดินก้าวข้ามสิ่งกีดขวาง) และการออกกำลังกายแบบผสม (สมดุล+ต้านแรง) ลดการหกล้มได้จริง ขณะที่วิตามินดีอย่างเดียว “ไม่ช่วยลดหกล้ม” ในผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชน Cochrane+2Cochrane+2

ทิปส์ปฏิบัติ: เริ่มจากเดินเร็ว 30 นาที/วัน สลับวันฝึกแรงต้าน (ยกน้ำหนักยางยืด/เครื่อง) 2 ครั้ง/สัปดาห์ เสริมฝึกทรงตัวหรือ “ไทชิ” ซึ่งมีหลักฐานว่าช่วยสมดุลและลดล้มอย่างมีนัยสำคัญในผู้สูงอายุทั้งที่สุขภาพดีและกลุ่มเสี่ยง PMC+1

🛡️ ป้องกันการหกล้ม: เป้าหมายเร่งด่วนของทุกบ้าน

“การหกล้ม” คือสาเหตุบาดเจ็บอันดับหนึ่งของคนอายุ ≥65 ปี—เกิดขึ้นกับ “1 ใน 4” คนสูงวัยในแต่ละปี และการล้มครั้งหนึ่งเพิ่มโอกาสล้มซ้ำเป็นเท่าตัว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)) รายงานข้อมูลล่าสุดปี 2024–2025 ว่าภาระการเสียชีวิตจากการล้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ แนวทางจึงย้ำให้คัดกรองความเสี่ยง ปรับสิ่งแวดล้อมบ้าน (เก็บสายไฟ/พรมลื่น เพิ่มราวจับ–แสงสว่าง) ตรวจสายตา/การได้ยิน และทำโปรแกรมฝึกสมดุลอย่างสม่ำเสมอ AP News+3CDC+3CDC+3

ทิปส์ปฏิบัติ (ไทย): แนวทางของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และเอกสารไทยเฮลธ์ชี้ว่าการฝึกเดินที่ถูกต้อง รองเท้าเหมาะสม ฝึกกล้ามเนื้อและการทรงตัว ช่วยลดเสี่ยงหกล้มได้จริง ควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์หรือวันเว้นวัน Thai Health+1

💤 การนอนหลับ: 7–9 ชั่วโมงที่ส่งผลไกลกว่าที่คิด

สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ(NIA) และกรมอนามัยไทยแนะนำผู้สูงอายุให้นอน 7–9 ชั่วโมง/คืน โดยมี “สุขอนามัยการนอน” ที่ดี เช่น เข้านอน-ตื่นนอนเวลาเดิม งดคาเฟอีน/แอลกอฮอล์ก่อนนอน 4–6 ชม. ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่ใกล้เวลานอน และรับแสงเช้าอย่างน้อย 30 นาที หลักฐานเชิงสรุปยังชี้ว่านอน 7–8 ชั่วโมงสัมพันธ์กับผลสุขภาพที่ดีกว่าในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุโดยรวม อนามัยมีเดีย+3National Institute on Aging+3PubMed+3

🧠 โภชนาการและสมอง: มุ่งให้ความสำคัญกับ “MIND diet + โปรตีนพอเหมาะ”

งานทดลองแบบสุ่มควบคุม (MIND trial) ทดสอบอาหารแบบ MIND ซึ่งผสานจุดเด่นของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนและ DASH พบว่าสามารถชะลอการเสื่อมของการรู้คิดได้เมื่อปฏิบัติร่วมกับพฤติกรรมสุขภาพอื่น ๆ (ผลบางส่วนบ่งชี้ทิศทางที่ดี แม้จะยังต้องติดตามผลยาว) ขณะที่งานสรุปเชิงทบทวนล่าสุดยังสนับสนุนบทบาทของ MIND ต่อสุขภาพสมองในผู้สูงอายุ New England Journal of Medicine+2PubMed+2

สำหรับ “โปรตีน” หลักฐาน RCT และทบทวนชี้ว่าการได้รับโปรตีนสูงขึ้น (ประมาณ 1.2–1.5 กรัม/กก./วัน ในกลุ่มเหมาะสม) โดยเฉพาะ “คู่กับ” เวทเทรนนิ่ง ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและสมรรถนะได้ในผู้สูงอายุบางกลุ่ม—แต่โปรตีนเดี่ยว ๆ โดยไม่มีการออกกำลังกาย อาจให้ผลจำกัด ดังนั้น สูตรทำจริง คือ “โปรตีนพอเหมาะ + ฝึกแรงต้าน” จะคุ้มค่าที่สุด (ปรึกษาแพทย์/นักกำหนดอาหารกรณีโรคไต/ยาที่ใช้) PMC+3PMC+3ScienceDirect+3

🏋️ เวทเทรนนิ่ง 8–12 สัปดาห์: เห็นผลไวในวัยเกษียณ

การฝึกต้านแรงเพียง 2 ครั้ง/สัปดาห์ นาน 6–8 สัปดาห์ สามารถเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อและความสามารถในการทำกิจวัตร (ลุก-นั่ง, เดิน) ได้อย่างมีนัยสำคัญในผู้สูงอายุ และมีหลักฐานใหม่ ๆ ว่าโปรแกรมเครื่องยกน้ำหนักแบบเป็นระบบช่วยปรับ “Timed Up-and-Go / Sit-to-Stand” ดีขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงประโยชน์ต่อเนื่องระยะยาวหากคงโปรแกรมไว้ PMC+2MDPI+2

🧑‍🤝‍🧑 ความเชื่อมโยงทางสังคม: วัคซีนใจต้านเหงา–ซึมเศร้า

ที่ปรึกษาสาธารณสุขสหรัฐ (สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกา(US Surgeon General)) ออก “คำแถลงด้านสาธารณสุข” ปี 2023 ว่าภาวะเหงา/โดดเดี่ยวเป็น “วิกฤตสาธารณสุข” ส่งผลต่อความเสี่ยงโรคหัวใจ ซึมเศร้า การนอน และการตายก่อนวัย และเสนอแผนเสริมสร้าง “Social Connection” ระดับบุคคล–ชุมชน ผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมสังคมสม่ำเสมอมีแนวโน้มสุขภาวะโดยรวมและการรู้คิดดีกว่า HHS.gov+2HHS.gov+2

ทิปส์ปฏิบัติ (ไทย): กรมกิจการผู้สูงอายุแนะนำให้ครอบครัวชวนทำกิจกรรมร่วมกัน ให้บทบาทปรึกษาในบ้าน และสนับสนุนกิจกรรมที่เสริมคุณค่าในตัวเอง—ช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและเสริมความหมายของชีวิตในวัยสูงอายุ Department of Elderly Affairs+1

🚭 เลิกบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์: สายไหนก็ได้กำไร

หลักฐานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)) ย้ำว่า “เลิกเมื่อไรก็ได้ประโยชน์” ลดเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยและโรคเรื้อรัง เพิ่มอายุขัยได้หลายปี แม้เริ่มเลิกในวัยหลัง 60 ก็ยังเห็นประโยชน์ด้านปอด–หัวใจและคุณภาพชีวิต ขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลก(WHO) ระบุว่าการลดอันตรายจากแอลกอฮอล์เป็นวาระสำคัญ (นโยบาย SAFER) และแนวทางโภชนาการสหรัฐแนะนำว่า หาก จะดื่ม ควรดื่มอย่าง “พอเหมาะ” เท่านั้น โดยผู้สูงอายุควรปรึกษาแพทย์เพราะยาหลายชนิดมีปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ และหลักฐานใหม่ชี้ว่าแอลกอฮอล์สัมพันธ์กับความเสี่ยงสมองเสื่อมที่สูงขึ้นตามปริมาณการบริโภคตลอดชีวิต The Washington Post+5CDC+5CDC+5

🏠 เช็กลิสต์ “เริ่มวันนี้” สำหรับผู้สูงอายุและผู้ดูแล

  • ขยับทุกวัน: เดินเร็ว 30 นาที + ฝึกแรงต้าน 2 วัน/สัปดาห์ + ฝึกทรงตัว/ไทชิ 2–3 วัน/สัปดาห์ (ปรับตามสมรรถภาพ) British Journal of Sports Medicine+1
  • บ้านปลอดล้ม: เก็บของกีดขวาง เพิ่มราวจับและไฟสว่าง ตรวจสายตา/การได้ยินประจำปี CDC
  • นอนให้พอ: เป้าหมาย 7–9 ชม. งดคาเฟอีน–แอลกอฮอล์ก่อนนอน รับแสงเช้า จัดห้องนอนให้มืด–เงียบ National Institute on Aging+1
  • จานอาหารแบบ MIND: ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี ปลา ไก่ น้ำมันมะกอก—จำกัดของทอด อาหารแปรรูป เนื้อแดง–เนื้อแปรรูป New England Journal of Medicine
  • โปรตีนพอเหมาะ + เวทเทรนนิ่ง: เล็ง 1.0–1.2 (ถึง 1.5 ในบางกรณีที่เหมาะสม) กรัม/กก./วัน ร่วมฝึกแรงต้าน; หากมีโรคประจำตัวปรึกษาแพทย์/นักกำหนดอาหารก่อน PMC+1
  • ต่อสายสัมพันธ์: นัดพบเพื่อน/ครอบครัว เข้าชมรมอาสา–ชมรมผู้สูงวัย สื่อสารกับชุมชนสม่ำเสมอ HHS.gov
  • งดบุหรี่ จำกัดแอลกอฮอล์: ขอรับบริการเลิกบุหรี่/ประเมินการดื่ม—ได้ประโยชน์ทันทีแม้เริ่มช้า CDC

🧪 หมายเหตุเชิงหลักฐาน (Key Evidence Highlights)

  • ออกกำลังกายลดล้ม: โปรแกรมสมดุล/หน้าที่ ลดจำนวนการล้ม ~23% (Cochrane 2019); USPSTF 2024 สรุป “ประโยชน์ระดับปานกลาง” ของการออกกำลังต่อการป้องกันการล้มในผู้สูงอายุเสี่ยงสูง Cochrane+1
  • ไทชิ = สมดุลดีขึ้น: เมตาอะนาลิซิส 2023 ยืนยันผลต่อสมดุล/ลดล้ม เพิ่มตามเวลา–ความถี่ฝึก PMC
  • การนอน 7–8 ชม.: เชื่อมโยงกับผลสุขภาพโดยรวมที่ดีกว่าในผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ PubMed
  • MIND/เมดิเตอร์เรเนียน: RCT และรีวิวชี้ทิศทางบวกต่อการรู้คิด โดยเฉพาะเมื่อผสานกับการเคลื่อนไหวและกิจกรรมกระตุ้นสมอง New England Journal of Medicine+1
  • โปรตีน + เวทเทรนนิ่ง: โปรตีนเพียงพอร่วมฝึกต้านแรงช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ/การทำหน้าที่ในผู้สูงอายุหลายกลุ่ม แต่ “โปรตีนอย่างเดียว” ผลอาจจำกัด PMC+1
  • เลิกบุหรี่ได้กำไรทุกวัย: ลดเสี่ยงตายก่อนวัย เพิ่มอายุขัย—แม้เลิกในวัยหลัง 60 ก็เห็นประโยชน์ทางคลินิกชัดเจน CDC+1

📌 สรุปเชิงนโยบายสาธารณสุข

การลงทุนใน กิจกรรมทางกาย เวทเทรนนิ่ง ความปลอดภัยในบ้าน การนอนดี โภชนาการแบบ MIND การเชื่อมต่อทางสังคม และบริการเลิกบุหรี่ คือ “แพ็กเกจสุขภาวะผู้สูงอายุ” ที่คุ้มค่าและทำได้จริง ทั้งระดับบุคคล ครอบครัวชุมชน และนโยบายรัฐ—สอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลก(WHO) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC) สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ(NIA) และแนวทางหน่วยงานไทยอย่างกรมอนามัย–กรมกิจการผู้สูงอายุ Department of Elderly Affairs+4World Health Organization+4CDC+4

หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์: บทความนี้จัดทำเพื่อการให้ข้อมูลด้านสุขภาพทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ส่วนบุคคล ผู้อ่านที่มีโรคประจำตัว/ใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมอาหาร ออกกำลังกายหรือปรับพฤติกรรมตามคำแนะนำข้างต้น

แหล่งอ้างอิงภาครัฐ

หน่วยงานในประเทศไทย

  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข: “10 วิธีนอนหลับดีสำหรับผู้สูงอายุ” และอินโฟกราฟิกสุขอนามัยการนอน (เข้าถึง 10 มี.ค. 2023; 17 ก.พ. 2023) อนามัยมีเดีย+1
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ: บทความส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ; คำแนะนำเมื่อนอนไม่หลับ; แนวทางป้องกันการหกล้ม (เอกสาร/หน้าให้ความรู้) Department of Elderly Affairs+2Department of Elderly Affairs+2

หน่วยงานต่างประเทศ

  • องค์การอนามัยโลก(WHO): แนวทางกิจกรรมทางกายและพฤติกรรมเนือยนิ่ง 2020; แฟกต์ชีทกิจกรรมทางกาย 2024; แฟกต์ชีทแอลกอฮอล์ 2024 British Journal of Sports Medicine+2World Health Organization+2
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)): ข้อมูลการหกล้มผู้สูงอายุ 2024; ประโยชน์ของการเลิกบุหรี่ 2024; แนวทางการดื่มแอลกอฮอล์อย่างพอเหมาะ (อ้างตาม Dietary Guidelines) 2025; ทรัพยากรสมองและการเคลื่อนไหวผู้สูงอายุ CDC+4CDC+4CDC+4
  • สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ สหรัฐ (สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ(NIA)): บทความ “การนอนและผู้สูงอายุ” และ “สุขภาพสมองและผู้สูงอายุ” (อัปเดต 2024–2025) National Institute on Aging+1
  • คณะทำงานบริการป้องกันของสหรัฐ (คณะทำงานบริการป้องกันของสหรัฐ(USPSTF)): คำแนะนำ 2024 การป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชน USPSTF

งานวิจัยเชิงทดลอง/ทบทวน

  • Barnes et al., 2023: การทดลองแบบสุ่มควบคุม “MIND diet” ในผู้สูงอายุเสี่ยงสมองเสื่อม (The New England Journal of Medicine) New England Journal of Medicine
  • Chen et al., 2023: เมตาอะนาลิซิสไทชิ ลดการล้ม–เพิ่มสมดุลในผู้สูงอายุ (Frontiers in Public Health) PMC
  • Cochrane Review, 2019: การออกกำลังลดการล้มในผู้สูงอายุที่อาศัยในชุมชน (Cochrane) Cochrane
  • Kirk et al., 2024: เมตาอะนาลิซิสเวทเทรนนิ่งแบบเครื่อง เพิ่มสมรรถนะการทำหน้าที่ในผู้สูงอายุ (JFMK) MDPI
  • Kim et al., 2020 / Park et al., 2018: โปรตีนระดับสูง (≈1.5 ก./กก./วัน) กับมวลกล้ามเนื้อ/สมรรถนะในผู้สูงอายุ (RCT) PMC+1
  • Chaput et al., 2020: ภาพรวม “ระยะเวลานอนกับสุขภาพ” ระบุช่วงเหมาะสม 7–8 ชม./วัน PubMed

คำย่อที่ใช้ในบทความ

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)
  • สถาบันแห่งชาติเพื่อผู้สูงอายุ สหรัฐอเมริกา (NIA)
  • คณะทำงานบริการป้องกันของสหรัฐ (USPSTF)
Posted on

💼 ทำไมคนหนุ่มสาวที่รอดชีวิตจากมะเร็งยังเผชิญความท้าทายในที่ทำงาน?

วิเคราะห์จากงานวิจัยใหม่ในวารสาร JAMA Network Open

🧠 บทนำ: หลังมะเร็งชีวิตไม่ได้ “กลับมาเหมือนเดิม” เสมอไป

แม้การแพทย์ยุคใหม่จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมาก “รอดชีวิต” ได้ยาวนานขึ้น แต่สิ่งที่คนทั่วไปอาจไม่รู้คือ “การกลับไปใช้ชีวิตการทำงานปกติ” ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 18–39 ปี ที่อยู่ในช่วงต้นของเส้นทางอาชีพ

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เดือนสิงหาคม ปี 2025 ได้สำรวจว่า ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งในวัยหนุ่มสาวเผชิญความท้าทายแบบใดบ้างในโลกของการทำงาน — ทั้งในแง่ การขาดงาน (absenteeism), ประสิทธิภาพในการทำงาน (presenteeism) และ คุณภาพชีวิตโดยรวม (quality of life)

📊 ใครคือกลุ่มที่เข้าร่วมการศึกษา?

งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากผู้รอดชีวิตจากมะเร็งจำนวน 198 คน ในช่วงอายุเฉลี่ย 39 ปี (โดยเฉลี่ยอายุ 31 ปีตอนเริ่มรักษา)
ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงกว่า 70% และกลุ่มมะเร็งที่พบมากที่สุดคือ มะเร็งเต้านม และ มะเร็งในระบบเลือด

นักวิจัยได้สอบถามทั้งเรื่องสถานะการทำงาน รายได้ การศึกษา สุขภาพกายใจ และความสามารถในการกลับมาทำงานในแต่ละวัน

💼 ผลลัพธ์: กลับมาทำงานได้ แต่ “ไม่เหมือนเดิม”

ผลการศึกษาเผยว่า แม้จะมีผู้รอดชีวิตกว่า 90% ที่กลับเข้าสู่การทำงานได้ แต่ราว 7% ยังคงว่างงาน ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ต่างจากคนทั่วไปในช่วงวัยเดียวกันมากนัก

แต่สิ่งที่แตกต่างคือ “คุณภาพชีวิต” —
คนที่ยังทำงานอยู่กลับพบว่า ประสิทธิภาพในการทำงาน (presenteeism) ลดลง เช่น เหนื่อยง่าย สมาธิลดลง หรือเจ็บป่วยเรื้อรังจากผลข้างเคียงของการรักษา ขณะที่บางคนต้องขาดงานบ่อยเพื่อไปตรวจติดตามอาการ

🧩 ตัวเลขน่าสนใจจากงานวิจัย

  • ค่าเฉลี่ยขาดงาน (Absenteeism): ศูนย์วันต่อเดือน (ส่วนใหญ่ยังทำงานได้เต็มเวลา)
  • ประสิทธิภาพการทำงาน (Presenteeism): อยู่ที่ประมาณ 80% ของศักยภาพปกติ
  • รายได้ที่สูญเสียไปจากการขาดงาน: ประมาณ 1,262 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
  • ผู้ที่ขาดงานบ่อยมีแนวโน้มเกิด ภาวะวิตกกังวล (Anxiety) และ ความเหนื่อยล้า (Fatigue) สูงกว่ากลุ่มอื่น

🧘‍♀️ จิตใจก็สำคัญไม่แพ้ร่างกาย

สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล มีแนวโน้มที่จะมี “ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง” และ “ขาดงานบ่อยขึ้น”

นักวิจัยชี้ว่า การสนับสนุนทางจิตใจหลังมะเร็งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น การให้คำปรึกษา (counseling) หรือโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพจิตใจในที่ทำงาน เพราะจะช่วยให้ผู้รอดชีวิตกลับมามีสมดุลชีวิตและการทำงานได้ดีขึ้น

🏢 บทเรียนสำหรับนายจ้างและสังคม

ผลวิจัยนี้ไม่ได้ชี้ให้เห็นเพียงตัวเลขของผู้ว่างงาน แต่ยังสะท้อนว่า “การกลับมาทำงาน” ไม่ได้หมายถึง “หายดีแล้ว”
องค์กรควรปรับแนวทางการจัดการ เช่น

  • ให้เวลาพักหรือทำงานยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ลดความกดดันในช่วงฟื้นตัว
  • สนับสนุนด้านสุขภาพจิตในที่ทำงาน

การสร้างสภาพแวดล้อมที่เข้าใจและให้โอกาส จะช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งสามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่และยั่งยืน

⚠️ หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์ในวารสาร JAMA Network Open เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในเชิงวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คำวินิจฉัยหรือคำแนะนำทางการแพทย์ส่วนบุคคล

หากผู้อ่านหรือบุคคลใกล้ชิดมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง หรือกำลังฟื้นฟูหลังการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยา หรือจิตแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและแนวทางดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

เนื้อหาภายในบทความนี้อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ เช่น

  • วารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA Network Open)
  • สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Institutes of Health: NIH)
  • องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO)

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อาจมีข้อจำกัดและอาจไม่สามารถใช้แทนการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ได้โดยตรง

💬 ข้อคิดส่งท้าย

สำหรับผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง การกลับมาทำงานอีกครั้งคือสัญลักษณ์แห่ง “ชัยชนะ” และ “ความหวัง”
แต่สิ่งที่สังคมควรช่วยกันตระหนักคือ ชัยชนะนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับ โอกาส ความเข้าใจ และการสนับสนุนทั้งร่างกายและจิตใจ

📚 แหล่งอ้างอิง

  • Bhatt NS, Voutsinas J, Winters M, et al. Work Status, Absenteeism, Presenteeism, and Quality of Life in Young Adult Cancer Survivors. JAMA Network Open. 2025;8(8):e2528882. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.28882
  • American Medical Association (AMA) – วารสาร JAMA Network Open, สหรัฐอเมริกา
Posted on

📰งานวิจัยชี้ ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งมีแนวโน้มใช้ยาซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไป

งานวิจัยใหม่เผยว่า ผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง (cancer survivors) มีแนวโน้มที่จะใช้ ยารักษาซึมเศร้า (antidepressants) และ ยาคลายความวิตกกังวล (anxiolytics) มากกว่าประชากรทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติและสภาพสังคมในการเข้าถึงยาเหล่านี้ JAMA Network

🧠 ที่มาของการศึกษา

  • งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบ cross-sectional อาศัยข้อมูลจาก National Health Interview Survey (NHIS) ในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี 2016–2018 JAMA Network
  • ผู้ตอบแบบสอบถามรวมทั้งหมด 53,117 คน โดยแบ่งเป็นผู้ที่ไม่มีประวัติมะเร็งจำนวน 48,026 คน และผู้ที่มีประวัติมะเร็ง 5,091 คน JAMA Network
  • หนึ่งในวัตถุประสงค์สำคัญคือการเปรียบเทียบอัตราการใช้ยาซึมเศร้าและยาคลายความวิตกกังวลระหว่างผู้ที่เคยป่วยมะเร็งกับคนทั่วไป และศึกษาปัจจัยทางสังคม เช่น เชื้อชาติ เพศ อายุ รายได้ ประกันสุขภาพ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง JAMA Network

🔍 ผลลัพธ์สำคัญ

1️⃣ ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งใช้ยาซึมเศร้าและยาคลายความวิตกกังวลมากกว่า

  • ผู้ที่มีประวัติมะเร็งมีโอกาสใช้ antidepressants มากกว่ากลุ่มที่ไม่มีมะเร็ง (อัตราส่วนปรับแล้ว aOR = 1.32; 95% CI: 1.18–1.49) JAMA Network
  • สำหรับ anxiolytics ผลการวิเคราะห์ปรับแล้วพบว่ามีโอกาสใช้งานได้สูงขึ้น (aOR = 1.38; 95% CI: 1.23–1.54) JAMA Network

2️⃣ ความแตกต่างตามเชื้อชาติ: ชาว Black ใช้ยาน้อยกว่าวงอื่น

  • ภายในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง พบว่า ผู้ที่ไม่ใช่เชื้อชาติ Hispanic Black (non-Hispanic Black) มีโอกาสใช้ยาซึมเศร้า (aOR = 0.60; 95% CI: 0.39–0.91) และยาคลายความวิตกกังวล (aOR = 0.63; 95% CI: 0.42–0.94) ต่ำกว่าผู้รอดชีวิตเชื้อชาติ White JAMA Network

3️⃣ ปัจจัยสังคมอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการใช้ยา

  • ผู้มีประกันสุขภาพประเภท Medicare หรือ Medicaid มีแนวโน้มใช้ยาคลายความวิตกกังวลสูงกว่าผู้ที่มีประกันแบบเอกชน JAMA Network
  • ผู้ที่ไม่แต่งงาน มีโอกาสใช้ยาได้มากกว่าผู้แต่งงาน ซึ่งอาจสื่อถึงบทบาทของ เครือข่ายสนับสนุนทางสังคม (social support) ต่อสุขภาพจิตของผู้รอดชีวิต JAMA Network+1
  • ประเภทของมะเร็งก็มีความสัมพันธ์ด้วย เช่น ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งสมองหรือมะเร็งตับอ่อน มีโอกาสใช้ยาซึมเศร้าหรือยาคลายความวิตกกังวลมากกว่าผู้เคยเป็นมะเร็งเต้านม (อ้างอิงผลวิเคราะห์ภายในกลุ่มผู้รอดชีวิต) JAMA Network

💬 ข้อวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

งานวิจัยนี้ย้ำให้เห็นว่า ปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล นับเป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการดูแลในผู้ที่เคยป่วยมะเร็ง แม้ผลการรักษาเนื้องอกจะสำคัญ แต่ “คุณภาพชีวิตจิตใจ” ก็ถือเป็นองค์ประกอบไม่อาจมองข้ามได้

การที่พบความแตกต่างในการใช้ยาตามเชื้อชาติ ประกันสุขภาพ หรือสถานะสมรส แปลว่าอาจมี อุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต ของผู้รอดชีวิตจากมะเร็งบางกลุ่ม เช่น ความไม่ไว้ใจระบบสาธารณสุข ปัญหาการเข้าถึงบริการ หรืออคติต่อสุขภาพจิตในบางชุมชน

ผู้เขียนบทความแนะนำให้ระบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง (oncology care) ให้ความสำคัญในการประเมินสุขภาพจิตควบคู่กับการรักษา ชี้ทางให้ผู้รอดชีวิตสามารถรับคำปรึกษา และเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่อาจถูกละเลยตามสถานะทางสังคม

⚠️ หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

ข้อมูลในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อ ให้ความรู้ทั่วไปด้านสุขภาพจิตและวิทยาศาสตร์การแพทย์ เท่านั้น มิได้นำมาแทนคำปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิตใด ๆ ผู้ที่มีอาการทางจิตใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเคยป่วยมะเร็ง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนนำข้อมูลไปใช้ ผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันตามปัจจัยสุขภาพ ภูมิหลัง และการดูแลเฉพาะราย

📚 แหล่งอ้างอิง

Miro-Rivera D, Norris RA, Osazuwa-Peters OL, Hurst JH, Barnes JM, Osazuwa-Peters N. Differential Use of Depression and Anxiety Medications in Adults With a History of Cancer. JAMA Network Open. Published Online: August 19, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.27585 JAMA Network
แหล่งที่มา: JAMA Network Open

Posted on

📢 งานวิจัยเผย พ่อแม่ที่จัดการอารมณ์ได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงซึมเศร้า–วิตกกังวลในลูก

🧩 ทำไมอารมณ์ของพ่อแม่สำคัญ

นักวิจัยหลายประเทศยืนยันตรงกันว่า วิธีที่พ่อแม่รับมือกับอารมณ์ของตนเอง มีผลโดยตรงต่อการเติบโตทางจิตใจของลูก พ่อแม่ที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี จะสามารถตอบสนองต่ออารมณ์ของลูกได้อย่างอบอุ่นและเหมาะสม ทำให้ลูกเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์ของตนเอง แต่หากพ่อแม่ใช้วิธีเก็บกดหรือระบายอย่างไม่เหมาะสม เด็กจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าได้มากขึ้น งานวิจัยแบบติดตามผลระยะยาว (longitudinal study) ก็ยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน

🧪 หลักฐานจากงานวิจัย

งานทบทวนและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ (meta-analysis) พบว่า โปรแกรมอบรมพ่อแม่ที่เน้นทักษะด้านอารมณ์ สามารถช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพ่อแม่ได้จริง พ่อแม่ที่ผ่านการอบรมมีแนวโน้มที่จะใช้วิธี “สะท้อนความรู้สึก” และ “ตั้งขอบเขตที่ชัดเจนแต่ไม่แข็งกร้าว” ทำให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูที่มีความสมดุล และพัฒนาเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตที่มั่นคงขึ้น

🧰 แนวทางจากหน่วยงานภาครัฐ

  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC) ของสหรัฐฯ แนะนำ “Positive Parenting Tips” หรือเคล็ดลับการเลี้ยงดูเชิงบวกที่ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจวิธีรับมือกับอารมณ์ของเด็กอย่างเหมาะสม
  • สำนักงานสารเสพติดและสุขภาพจิต(SAMHSA) ภายใต้ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์(HHS) มีเครื่องมือช่วยเหลือพ่อแม่ รวมถึงสายด่วน 1-800-662-HELP สำหรับให้คำปรึกษา
  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย) ร่วมมือกับ องค์การอนามัยโลก(WHO) ประเทศไทย ส่งเสริมโครงการ “การเลี้ยงดูเชิงบวก” เพื่อให้ครอบครัวไทยเข้าถึงแนวทางการเลี้ยงดูที่เหมาะสม

🧑‍⚕️ เมื่อครอบครัวเผชิญปัญหาหนัก

สำหรับครอบครัวที่มีลูกวัยรุ่นและเผชิญความเสี่ยง เช่น การทำร้ายตนเอง งานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ(NIMH) พบว่า จิตบำบัดพฤติกรรมวิภาษ(DBT) สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้จริง เพราะสอนทักษะการควบคุมอารมณ์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน

🛠️ เคล็ดลับที่ทำได้ทันที

  1. เริ่มจากพ่อแม่เอง: รู้จักสังเกตอารมณ์ตนเอง เช่น เมื่อโกรธให้หายใจลึก ๆ แล้วบอกลูกด้วยความจริงใจว่า “แม่กำลังโกรธ ขอเวลาสักครู่แล้วเราค่อยคุยกัน”
  2. เข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรม: หลักฐานทางวิชาการยืนยันว่าโปรแกรมเหล่านี้ช่วยลดความเครียดของพ่อแม่ และเสริมสร้างสุขภาพจิตลูกได้จริง
  3. ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น: พ่อแม่ในไทยสามารถโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ส่วนในสหรัฐฯ สามารถใช้สายด่วน SAMHSA Helpline ได้ฟรี

🧭 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

การเก็บกดอารมณ์หรือพยายามทำเหมือนไม่มีปัญหา ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในครอบครัว แต่กลับทำให้เด็กซึมซับรูปแบบที่ไม่ดี การเปิดใจยอมรับอารมณ์และเรียนรู้วิธีจัดการอย่างเหมาะสมคือแนวทางที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์กว่า

🧒 ผลลัพธ์ระยะยาว

เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่มีสุขภาพจิตที่ดีและจัดการอารมณ์ได้ จะมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก รู้จักเคารพผู้อื่น และสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงในอนาคตได้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญทั้งในการเรียนและการใช้ชีวิตในสังคม

📝 สรุปเชิงนโยบาย

ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างเห็นตรงกันว่า การลงทุนกับการอบรมพ่อแม่ด้านอารมณ์ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นในระยะยาว นอกจากนี้ ควรมีการบรรจุโปรแกรมเหล่านี้ในระบบบริการสุขภาพจิตขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ครอบครัวเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

📚 แหล่งอ้างอิงวิจัย

  • England-Mason G. & colleagues. Emotion socialization parenting interventions… (review/meta-analysis). ScienceDirect
  • Zahl-Olsen R. & colleagues. Effects of emotionally oriented parental interventions… (systematic review). PMC
  • Cohodes E.M. & colleagues. Parents’ expressive suppression & child internalizing problems. PMC
  • Byrd A.L. & colleagues. Intergenerational transmission of emotion regulation. PMC
  • NIMH science update: DBT improves emotion regulation & reduces suicide risk in youth. National Institute of Mental Health
  • Iwanski A. & colleagues. Parental ER strategies, parenting stress & child outcomes. ScienceDirect
  • Karl V. & colleagues. Parental psychopathology & youth ER networks. PMC

🏛️ แหล่งอ้างอิงจากหน่วยงานภาครัฐ

ประเทศไทย

  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข: หน้าองค์กรและข่าว/โครงการที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเชิงบวก; ร่วมมือกับ องค์การอนามัยโลก(WHO) ประเทศไทย ในการส่งเสริม positive parenting. dmh.go.th+1

ต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา)

  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC): ชุด Child Development & Positive Parenting Tips แยกตามช่วงวัย. CDC+2CDC+2
  • สำนักงานสารเสพติดและสุขภาพจิตแห่งสหรัฐอเมริกา(SAMHSA): ทรัพยากรสำหรับครอบครัว/พ่อแม่ และสายด่วนแห่งชาติ 1-800-662-HELP. SAMHSA+1
  • สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ(NIMH): บทสรุปงานวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ ดีบีที(DBT) และทักษะกำกับอารมณ์ในวัยรุ่น. National Institute of Mental Health

หมายเหตุสำคัญ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการให้ความรู้ ไม่ได้ใช้แทนคำวินิจฉัยหรือการรักษาจากแพทย์ หากพ่อแม่หรือเด็กมีอาการด้านสุขภาพจิตที่น่ากังวล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที เช่น สายด่วนสุขภาพจิต 1323 (ประเทศไทย) หรือ SAMHSA Helpline 1-800-662-HELP (สหรัฐอเมริกา)

Posted on

🐾แมวกับ “สัมผัสที่หก”: สิ่งที่งานวิจัยยืนยัน และสิ่งที่ยังไม่มีหลักฐาน

ยังไม่มีหลักฐานจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์ของรัฐที่ยืนยันว่าแมวมี “สัมผัสที่ 6” หรือทำนายภัยพิบัติได้โดยตรง ขณะที่หน่วยงานด้านสุขภาพยอมรับว่า “การเลี้ยงสัตว์” (รวมแมว) มี ประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ ของคน และแมวอาจตอบสนองต่อ สิ่งเร้าทางกายภาพปกติ (เช่น เสียง ความสั่น หรือสัญญาณเตือนอย่างเป็นทางการ) มากกว่าพลังลี้ลับ ทั้งนี้ ประชาชนควรพึ่ง ระบบเตือนภัยของรัฐ และปฏิบัติตามแนวทาง “เลี้ยงแมวอย่างปลอดภัย” เพื่อลดความเสี่ยงโรคจากสัตว์สู่คนด้วย. shakealert.org+3USGS+3NIH News in Health+3


🧠 “สัมผัสที่ 6” กับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

  • สำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส [USGS]) ระบุว่า แม้มีรายงานพฤติกรรมผิดปกติของสัตว์ก่อนแผ่นดินไหวตั้งแต่อดีตกาล แต่ ยังไม่มีหลักฐานที่ “สม่ำเสมอและเชื่อถือได้” รวมถึงยังไม่มี “กลไกที่อธิบายได้ชัดเจน” ว่าสัตว์ (หรือแมว) ทำนายแผ่นดินไหวได้ จึง ไม่ใช่วิธีเตือนภัยที่รัฐยอมรับ. USGS
  • แทนที่จะเป็น “สัมผัสที่ 6” นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าสัตว์อาจ รับรู้สิ่งเร้าทางกายภาพตามปกติ (เช่น คลื่นสั่นสะเทือนขนาดเล็กก่อนแรงสั่นหลัก หรือ P-waves) แล้ว ตอบสนองเร็ว กว่าที่มนุษย์จะรู้สึกได้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปของยูเอสจีเอส (USGS). USGS

🛡️ แมว “ปกป้อง” มนุษย์ได้อย่างไรในโลกจริง

  • ไม่ใช่พลังลี้ลับ แต่คือ ประโยชน์ด้านสุขภาพและอารมณ์: สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอช [NIH]) รายงานว่าปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ช่วย ลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ลดความดันโลหิต ลดความโดดเดี่ยว และเพิ่มแรงสนับสนุนทางสังคม—เป็นผลดีทางอ้อมต่อ “ความยืดหยุ่น” ของเจ้าของเมื่อเผชิญเหตุไม่คาดฝัน. NIH News in Health
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) ย้ำว่าแมว ช่วยพยุงกำลังใจ/สังคม ของผู้สูงอายุหรือผู้มีข้อจำกัดทางกาย–ใจได้จริง แต่ก็ต้องเลี้ยงอย่างปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (เช่น ทอกโซพลาสมา/พยาธิไส้เดือน). CDC

📡 เตือนภัยพิบัติ: พึ่ง “ระบบรัฐ” มากกว่า “สัญชาตญาณสัตว์”

  • หากพูดถึงการเตือนแผ่นดินไหวในชีวิตจริง ให้พึ่ง ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้าเชคอเลิร์ต (จัดการโดยยูเอสจีเอส [USGS] — ShakeAlert) ที่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าเป็นวินาทีเพื่อปกป้องชีวิต/ทรัพย์สิน (ครอบคลุมบางรัฐของสหรัฐฯ) ไม่ใช่รอพฤติกรรมสัตว์. shakealert.org+2USGS Earthquake Hazards+2
  • เหตุอากาศรุนแรง/ภัยอื่น ๆ ให้ติดตาม วิทยุสภาพอากาศทุกภัยขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นโอเอเอ [NOAA]) และประกาศเตือนจากรัฐอย่างต่อเนื่อง 24 ชม. รวมถึงแนวทาง “พร้อมรับมือ (Ready.gov)” ของสหรัฐฯ ที่สรุปช่องทางแจ้งเตือนฉุกเฉิน. National Weather Service+2NOAA+2

🐾 เลี้ยงแมวอย่างปลอดภัย: ลดความเสี่ยงโรค–เพิ่มคุณภาพชีวิต

  • ซีดีซี (CDC) แนะนำดูแลกระบะทราย เปลี่ยนทุกวัน/ล้างมือทุกครั้ง และรู้เท่าทันโรคจากแมว (เช่น ทอกโซพลาสโมซิส) เพื่อลดความเสี่ยงต่อคนในบ้าน โดยเฉพาะผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง/สตรีตั้งครรภ์. CDC+1
  • โดยรวม ซีดีซี (CDC) และ เอ็นไอเอช (NIH) ระบุว่าการเลี้ยงสัตว์มี ข้อดีต่อสุขภาพจิต–สังคม แต่ควบคู่กับ สุขอนามัยและการพาสัตว์พบสัตวแพทย์สม่ำเสมอ ตามคำแนะนำหน่วยงานรัฐ. CDC+1

🧩 สรุปเชิงหลักฐาน: “สัมผัสที่ 6” ยังไม่พิสูจน์—แต่แมวช่วยเราได้ในมิติสุขภาพ

  • ณ ปัจจุบัน ยูเอสจีเอส (USGS) ยืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สัตว์เลี้ยง (รวมแมว) จะทำนายแผ่นดินไหว/ภัยพิบัติได้อย่างเชื่อถือได้ ขณะที่ เอ็นไอเอช (NIH) และ ซีดีซี (CDC) ยอมรับประโยชน์ด้าน ลดความเครียด–ความโดดเดี่ยว–สนับสนุนทางสังคม ของการเลี้ยงแมวต่อมนุษย์ ซึ่งเป็นการ “ปกป้องใจ” มากกว่าปกป้องแบบเหนือธรรมชาติ. USGS+2NIH News in Health+2

✅ คู่มือปฏิบัติสำหรับผู้อ่าน

  1. ติดตามระบบเตือนภัยของรัฐ: สมัครและเปิดใช้งาน เชคอเลิร์ต (USGS—ShakeAlert) และฟัง วิทยุเอ็นโอเอเอ (NOAA Weather Radio); อย่าพึ่งสัญชาตญาณสัตว์เป็นหลัก. shakealert.org+1
  2. ดูแลความปลอดภัย–สุขอนามัยของแมว: ทำความสะอาดกระบะทราย/ล้างมือ/พบบุคลากรสัตวแพทย์ตามความเหมาะสม ตามคำแนะนำ ซีดีซี (CDC). CDC
  3. ใช้ประโยชน์เชิงสุขภาพจากการเลี้ยงสัตว์อย่างมีสติ: ให้เวลาคุณภาพกับสัตว์เลี้ยงเพื่อ ลดความเครียด และ เสริมแรงใจ ตามหลักฐานของ เอ็นไอเอช (NIH); หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้พึ่งเตือนภัยของรัฐเป็นอันดับแรก. NIH News in Health

🧾 แหล่งอ้างอิง

  • สำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส [USGS]) — คำอธิบาย “สัตว์ทำนายแผ่นดินไหวได้หรือไม่” และบทบาท เชคอเลิร์ต (ShakeAlert) ระบบเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้า. USGS+2USGS Earthquake Hazards+2
  • องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นโอเอเอ [NOAA])วิทยุสภาพอากาศทุกภัย (NOAA Weather Radio All Hazards) สำหรับประกาศเตือน 24 ชม. National Weather Service+1
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) — หน้าความรู้ “แมว” ในโครงการ Healthy Pets, Healthy People และแนวทางสุขอนามัย/ทอกโซพลาสโมซิส. CDC+1
  • สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอช [NIH]) — บทความ NIH News in Health: The Power of Pets ว่าด้วยประโยชน์ต่อความเครียด/ความดัน/สังคม. NIH News in Health
  • พร้อมรับมือ (Ready.gov; สังกัดกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ: ดีเอชเอส [DHS]) — ช่องทางการเตือนภัยและการแจ้งเตือนฉุกเฉิน. Ready

หมายเหตุบรรณาธิการ: บทความนี้ให้ข้อมูลตามหลักฐานจากหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่คำแนะนำเฉพาะบุคคล หากคุณกังวลพฤติกรรม/สุขภาพของแมว หรือมีคำถามด้านความปลอดภัยในภาวะฉุกเฉิน โปรดปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามระบบเตือนภัยของรัฐเสมอ.

Posted on

📱 ปกป้องสภาพจิตใจจากโซเชียล: เทคนิคเลี่ยงเนื้อหาที่รบกวนอารมณ์

สรุปข่าว: หลายประเทศและหน่วยงานรัฐออกคำแนะนำและกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อลดการเห็นคอนเทนต์ที่ชวนสะเทือนอารมณ์หรือเป็นอันตราย โดยประชาชนสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยการตั้งค่าบัญชี ลดการรับสื่อที่มากเกินไป และใช้ช่องทางร้องเรียนเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือเป็นการล่วงละเมิด พร้อมกับแนวทางดูแลสุขภาพจิตอย่างเป็นระบบจากหน่วยงานรัฐด้านสาธารณสุข. HHS.gov+2CDC+2


🧭 ภาพรวม: ทำไมการ “จำกัดการรับสื่อ” จึงสำคัญ

  • หน่วยงานรัฐด้านสุขภาพจิตชี้ว่า การรับสื่อเหตุการณ์สะเทือนใจมากเกินไป อาจเพิ่มความเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ และทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงควร ติดตามข่าวสารเท่าที่จำเป็นและตั้งขอบเขตเวลา ในการเสพสื่อ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุวิกฤตระดับสังคมหรือโลก. CDC+2SAMHSA+2
  • สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ (สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกา [U.S. Surgeon General, HHS]) เตือนว่าแม้โซเชียลมีเดียมีประโยชน์ แต่ยัง ขาดหลักฐานว่าปลอดภัยพอสำหรับเยาวชน และแนะนำให้ครอบครัว/โรงเรียนกำหนดแนวทางใช้สื่ออย่างรอบคอบ. HHS.gov+2HHS.gov+2

🔧 ขั้นตอนเชิงเทคนิคในแพลตฟอร์ม: ตั้งค่าให้ฟีด “สะอาดขึ้น”

  • ปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว/โฆษณา: ล้างคุกกี้ประวัติ, ปิดโฆษณาแบบปรับให้ตรงบุคคล (personalized ads) และใช้ตัวบล็อกโฆษณาเมื่อเหมาะสม—เป็นมาตรการลดการ “ไหลเข้ามา” ของคอนเทนต์/โฆษณาที่ไม่ต้องการ ตามคำแนะนำของ คณะกรรมการการค้าสหรัฐอเมริกา (เอฟทีซี [FTC]). Consumer Advice+1
  • ใช้เครื่องมือบล็อก–ปิดเสียง–ซ่อนคำ (mute/block/filter) ในแพลตฟอร์ม เพื่อหลีกเลี่ยงคำหลัก รูปแบบเนื้อหา หรือบัญชีที่ก่อกวนความสงบใจ ทั้งนี้ผู้ให้บริการในสหราชอาณาจักรมี หน้าที่ลดความเสี่ยงและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย ตาม กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ 2023 (Online Safety Act 2023) ที่กำกับโดย สำนักงานกำกับดูแลสื่อสารแห่งสหราชอาณาจักร (ออฟคอม [Ofcom]). GOV.UK+1

🧑‍⚕️ สุขภาพจิตต้องมาก่อน: วิธีดูแลตนเองตามหลักฐาน

  • จำกัดเวลาเสพข่าว/โซเชียลรายวัน, จัดตารางพักสายตา, เช็กอารมณ์ตัวเองสม่ำเสมอ เป็นแนวทางที่หน่วยงานรัฐอย่าง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) และ สำนักงานบริหารสารเสพติดและสุขภาพจิต (แซมซา [SAMHSA]) แนะนำเมื่อเผชิญข่าวเหตุร้าย/ภัยพิบัติ. CDC+2SAMHSA+2
  • ให้ความสำคัญกับการนอนและลดแสงสีฟ้า (blue light) ก่อนนอน เพื่อช่วยให้นอนหลับดีขึ้น—ข้อแนะนำจาก สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอ็มเอช [NIMH], ภายใต้สถาบันสุขภาพแห่งชาติ: เอ็นไอเอช [NIH]). National Institute of Mental Health
  • หากมีอาการ วิตกกังวลรุนแรง/ยืดเยื้อ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต โดยข้อมูลอ้างอิงอาการและทางเลือกการรักษามีบนเว็บไซต์ของ เอ็นไอเอ็มเอช (NIMH). National Institute of Mental Health

🛡️ เมื่อพบเนื้อหาล่วงละเมิดหรือผิดกฎหมาย: ช่องทางร้องเรียนของรัฐ

  • ในออสเตรเลีย ประชาชนสามารถ ร้องเรียนคอนเทนต์บูลลี่ผู้ใหญ่, คุกคาม, แชร์ภาพส่วนตัวโดยไม่ได้ยินยอม และเนื้อหาผิดกฎหมาย/จำกัด ผ่าน คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์ (eSafety Commissioner) ซึ่งมีอำนาจประสานลบเนื้อหา. eSafety Commissioner+1
  • ในสหภาพยุโรป มี ศูนย์อินเทอร์เน็ตปลอดภัย (Safer Internet Centres) และช่องทางของ คณะกรรมาธิการยุโรป สำหรับรายงานเนื้อหาผิดกฎหมายและรับคำปรึกษา. Digital Strategy+1
  • ขณะที่ ออฟคอม (Ofcom) ในสหราชอาณาจักร กำหนด มาตรการปกป้องเด็กกว่า 40 ข้อ ที่แพลตฟอร์มต้องนำไปใช้ภายใต้กฎหมายใหม่ ซึ่งรวมถึงกลไกจัดการ/ลบเนื้อหาที่เป็นอันตราย. www.ofcom.org.uk

👨‍👩‍👧 สำหรับพ่อแม่และโรงเรียน: กรอบดูแลการใช้โซเชียลของเยาวชน

  • สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกา (HHS) แนะนำให้ครอบครัว กำหนดกติกาการใช้โซเชียล, เลือกเวลา–พื้นที่ปลอดหน้าจอ และร่วมพูดคุยเรื่อง “เนื้อหาที่ไม่อยากเห็น” อย่างสม่ำเสมอ. โรงเรียนควรสอน ทักษะรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล และมีระบบช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ. HHS.gov+1
  • แซมซา (SAMHSA) เผยแพร่แนวทางสำหรับครู/บุคลากรโรงเรียนเพื่อช่วยนักเรียน รับมือสื่อรายงานเหตุร้าย และจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางอารมณ์. SAMHSA

🧱 เช็กลิสต์ “ปกป้องความสงบของใจ” ที่ทำได้ทันที

  1. กำหนดเวลารับสื่อ (เช้า–เย็นสั้น ๆ), ปิดการแจ้งเตือนบางคำ/บัญชี, และ เลี่ยงการดูซ้ำ ๆ ของภาพ/คลิปชวนสะเทือนใจ (คำแนะนำเชิงจิตวิทยาวิกฤตจาก ซีดีซี [CDC] และ แซมซา [SAMHSA]). CDC+1
  2. อัปเดตการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว/โฆษณา และล้างร่องรอยการติดตามตามคำแนะนำของ เอฟทีซี (FTC). Consumer Advice
  3. ก่อนนอนงดหน้าจอ–ลดแสงสีฟ้า, ทำกิจกรรมผ่อนคลาย เพื่อคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น (เอ็นไอเอ็มเอช [NIMH]). National Institute of Mental Health
  4. ใช้ช่องทางร้องเรียนของรัฐ (เช่น eSafety Commissioner ในออสเตรเลีย, ศูนย์อินเทอร์เน็ตปลอดภัย ในอียู, หรือกลไกที่แพลตฟอร์มต้องมีตาม กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ในสหราชอาณาจักร). eSafety Commissioner+2Digital Strategy+2

🏛️ นโยบาย–กฎเกณฑ์ที่ผู้ใช้ควรรู้ (อัปเดตสำคัญ)

  • หลายประเทศเริ่ม บังคับใช้มาตรการคุ้มครองผู้ใช้และเยาวชน บนแพลตฟอร์ม เช่น กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ของสหราชอาณาจักร (Ofcom) และกรอบการจำกัดเนื้อหา/การร้องเรียนของ eSafety Commissioner ในออสเตรเลียซึ่งกำลังขยายอำนาจจัดการเนื้อหาอันตราย. www.ofcom.org.uk+1

🧾 แหล่งอ้างอิงจากหน่วยงานภาครัฐ

  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) — ข้อแนะนำการรับมือเหตุร้าย/วิกฤต, จิตวิทยาในภาวะวิกฤต. CDC+1
  • สำนักงานบริหารสารเสพติดและสุขภาพจิต (แซมซา [SAMHSA]) — เคล็ดลับรับมือสื่อเหตุร้าย, เอกสารดูแลสุขภาพจิตเน้นจำกัดการรับสื่อ. SAMHSA+2SAMHSA+2
  • สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอ็มเอช [NIMH], ภายใต้สถาบันสุขภาพแห่งชาติ: เอ็นไอเอช [NIH]) — การดูแลสุขภาพจิต, การนอนและความวิตกกังวล. National Institute of Mental Health+1
  • คณะกรรมการการค้าสหรัฐอเมริกา (เอฟทีซี [FTC]) — การปกป้องความเป็นส่วนตัวออนไลน์, การจัดการการติดตามและโฆษณาแบบปรับให้ตรงบุคคล. Consumer Advice+1
  • สำนักงานกำกับดูแลสื่อสารแห่งสหราชอาณาจักร (ออฟคอม [Ofcom]) และ กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ 2023 — หน้าที่ของแพลตฟอร์มในการลดความเสี่ยงและลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย. GOV.UK+1
  • คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์ (eSafety Commissioner, ออสเตรเลีย) — ช่องทางร้องเรียนและการจัดการเนื้อหาออนไลน์ที่เป็นอันตราย. eSafety Commissioner+1
  • คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) และ ศูนย์อินเทอร์เน็ตปลอดภัย — ระบบรายงานและความร่วมมือเพื่อลดเนื้อหาผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม. Digital Strategy+1
  • สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกา (HHS)คำแนะนำด้านโซเชียลมีเดียและสุขภาพจิตของเยาวชน (ฉบับเต็ม/สรุปผู้บริหาร). HHS.gov+1

Posted on

งานวิจัยใหม่เผย: ยาอะไรช่วยบรรเทาโรคการกินผิดปกติได้จริง?

🔍 คำถามที่งานวิจัยตั้งไว้

งานวิจัยจาก JAMA Network Open ฉบับล่าสุด (เผยแพร่วันที่ 22 กรกฎาคม 2025) ตั้งคำถามสำคัญว่า:

“ยาที่ได้รับและไม่ได้รับการสั่งโดยแพทย์ชนิดใดที่ถูกใช้ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะการกินผิดปกติ (Eating Disorders: EDs) และสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับอาการของโรค?”

การศึกษาครั้งนี้มุ่งหวังจะเข้าใจพฤติกรรมการใช้ยาในกลุ่มผู้ป่วย EDs และเปิดเผยมุมมองของผู้ป่วยต่อประโยชน์และโทษของสารแต่ละชนิด


📊 รายละเอียดของผู้ตอบแบบสอบถาม

  • จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม: 7,648 คน
  • เพศหญิง: 94%
  • อายุเฉลี่ย: 24.3 ปี
  • พื้นที่อาศัย: ออสเตรเลีย (30%), สหราชอาณาจักร (21.3%), สหรัฐอเมริกา (18%)
  • ประเภทของ ED ที่รายงาน:
    • อโนเร็กเซีย (Anorexia Nervosa): 40.8%
    • บูลิเมีย (Bulimia Nervosa): 19.0%
    • การกินมากเกิน (Binge-Eating Disorder): 11.4%
    • การหลีกเลี่ยงอาหาร (Avoidant/Restrictive Food Intake Disorder): 8.9%
    • ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ: 37.7%
  • โรคร่วมทางจิตเวชที่พบมากที่สุด: ภาวะซึมเศร้า (65.5%)

💊 ยาและสารที่ถูกรายงานว่ามีผลต่ออาการของโรค EDs

✅ ยาที่รายงานว่ามีประโยชน์ต่ออาการของ EDs

  • กัญชา (Cannabis)
    ผู้ป่วยจำนวนมากระบุว่ากัญชาช่วยบรรเทาอาการของโรค EDs เช่น ลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือภาพลักษณ์ตนเอง
  • ไซเคดีลิกส์ (Psychedelics)
    เช่น แอลเอสดี (LSD) หรือเห็ดเมจิก รายงานว่ามีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเข้าใจตนเอง และลดพฤติกรรมเสี่ยงในบางราย

💡 ยาที่ใช้ตามใบสั่งแพทย์ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพจิตโดยรวม

  • ยาต้านเศร้า (Antidepressants)
    โดยเฉพาะ ฟลูออกซีทีน (Fluoxetine) สำหรับบูลิเมีย และ ลิสเดกซแอมเฟตามีน (Lisdexamfetamine) สำหรับการกินมากเกิน

❌ สารที่ถูกมองว่ามีผลเสียมากที่สุด

  • แอลกอฮอล์
  • นิโคตินและบุหรี่
  • คาเฟอีน
    ผู้ป่วยระบุว่าสารเหล่านี้มีแนวโน้มทำให้อาการ EDs แย่ลงหรือกระตุ้นพฤติกรรมหลีกเลี่ยงอาหาร

🧠 ข้อค้นพบสำคัญจากงานวิจัย

  • สารเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าช่วยบรรเทาอาการ EDs ได้
  • ยาตามใบสั่งแพทย์ ส่วนมากช่วยเรื่องสุขภาพจิตโดยรวม แต่ไม่ตรงเป้ากับอาการของ EDs โดยเฉพาะ
  • การใช้กัญชาและไซเคดีลิกส์ นั้นยังต้องการการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติม เนื่องจากผลลัพธ์ยังอยู่ในระดับ “การรับรู้ของผู้ใช้”

🧪 ความหมายเชิงนัยจากการศึกษา

แม้ว่ายารักษาโรคการกินผิดปกติจะยังมีไม่มากในระบบสุขภาพจิตปัจจุบัน แต่ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการใช้สารเพื่อบรรเทาอาการด้วยตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการรักษาแบบใหม่หากมีการวิจัยอย่างเป็นระบบ


📌 สรุป

  • งานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในงานชิ้นแรกที่รวบรวม มุมมองของผู้ป่วย EDs กว่า 7,000 คนทั่วโลก
  • ผลการศึกษาอาจนำไปสู่การปรับปรุงแนวทางการรักษาให้เหมาะกับความรู้สึกและประสบการณ์จริงของผู้ป่วย
  • การศึกษานี้สนับสนุนให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กัญชาและสารไซเคดีลิกส์ สำหรับใช้รักษา EDs

🔖 แหล่งอ้างอิง

Rodan SC, et al. Prescription and Nonprescription Drug Use Among People With Eating Disorders. JAMA Network Open. 2025; Published July 22, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.22406
เผยแพร่ภายใต้ใบอนุญาต CC-BY โดย JAMA Network Open.