Posted on

🦵 วิธียืดกล้ามเนื้อน่องที่ดีที่สุดเพื่อบรรเทาความไม่สบายช่วงล่าง ตามคำแนะนำจากนักกายภาพบำบัด






Posted on

วิธีออกกำลังกายให้ปลอดภัย เมื่อคุณมีน้ำหนักตัวมากหรือมีอายุมากขึ้น

การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีสุขภาพดี แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (Obese) หรืออายุมาก (Older Adults) การออกกำลังกายอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาจทำให้เกิดอาการ ปวดข้อเข่า (Knee pain) หรือ ปวดข้อเท้า (Ankle pain) ได้
อาการเหล่านี้มักทำให้หลายคนเลิกออกกำลังกาย ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว

บทความนี้จะเสนอ แนวทางแก้ไขปัญหา อย่างเป็นระบบ โดยอ้างอิงจาก งานวิจัยทางการแพทย์ และคำแนะนำจาก หน่วยงานของรัฐ ที่เชื่อถือได้


⚠️ ปัญหาและสาเหตุที่พบในผู้ที่ปวดข้อเข่าหรือข้อเท้าขณะออกกำลังกาย

ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือสูงวัยมักเผชิญปัญหาดังนี้:

  • ข้อต่อเสื่อมตามอายุ (Degenerative Joint Disease)
  • แรงกดทับที่ข้อเข่ามากกว่าปกติจากน้ำหนัก
  • การเลือกท่าออกกำลังกายไม่เหมาะสม
  • กล้ามเนื้อรอบข้ออ่อนแรง ทำให้รับน้ำหนักได้ไม่ดี

งานวิจัยจาก Johns Hopkins Arthritis Center ระบุว่า น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทุก 1 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงกดที่ข้อเข่า 4 กิโลกรัม ขณะเดิน


📉 ความเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวและอายุ

น้ำหนักตัวที่มากและอายุที่เพิ่มขึ้นเป็นสองปัจจัยหลักที่เร่งให้เกิดความเสื่อมของข้อต่อ โดยเฉพาะในเพศหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีระดับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ลดลง

  • อายุที่มากขึ้น = คอลลาเจน (Collagen) และของเหลวในข้อเข่าลดลง
  • น้ำหนักมาก = ข้อเข่ารับแรงซ้ำทุกครั้งที่ก้าวเดิน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ชี้ว่า ผู้ที่มี BMI มากกว่า 30 จะมีความเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมสูงกว่าคนปกติถึง 3 เท่า


🏃 แนวทางออกกำลังกายที่เหมาะสมและปลอดภัย

การเลือกวิธีออกกำลังกายที่ลดแรงกระแทก (Low Impact) เป็นกุญแจสำคัญ เช่น:

  • การเดินในน้ำ (Water walking) หรือแอโรบิกในน้ำ
  • การปั่นจักรยานแบบนั่ง (Recumbent bike)
  • โยคะ (Yoga) หรือพิลาทิส (Pilates) สำหรับผู้สูงวัย
  • การเดินเบา ๆ ด้วยรองเท้าพื้นนุ่ม

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระโดดหรือมีแรงกระแทก เช่น วิ่งบนพื้นแข็ง

งานวิจัยจาก American College of Rheumatology พบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกในน้ำช่วยลดอาการปวดข้อได้อย่างมีนัยสำคัญในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน


🥦 อาหารและสารอาหารที่ช่วยลดอาการอักเสบ

การอักเสบของข้อต่อเป็นสาเหตุหลักของอาการปวด การเลือกอาหารต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory foods) จึงช่วยบรรเทาได้ เช่น:

  • ปลาแซลมอน (Salmon), ปลาทูน่า: อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3)
  • ผักใบเขียวเข้ม: อุดมด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (Antioxidants)
  • น้ำมันมะกอก (Olive oil), ขมิ้นชัน (Turmeric), ขิง (Ginger)

ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป (Processed food), น้ำตาลสูง และไขมันทรานส์

งานวิจัยจาก Harvard T.H. Chan School of Public Health ระบุว่า ผู้ที่รับประทานอาหารต้านการอักเสบมีอาการปวดข้อเข่าลดลง และฟื้นตัวได้เร็วกว่า


🛠️ เทคโนโลยีช่วยฟื้นฟูและป้องกัน เช่น รองเท้าเฉพาะทางและอุปกรณ์พยุง

อุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงกดที่ข้อต่อมีบทบาทสำคัญ เช่น:

  • รองเท้าพื้นนุ่ม (Cushioned shoes) สำหรับผู้มีน้ำหนักตัวมาก
  • เฝือกพยุงข้อเข่า (Knee brace) แบบยืดหยุ่น
  • พื้นรองเท้าแบบลดแรงกระแทก (Shock-absorbing insoles)
  • อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน (Walking aid) เช่น ไม้เท้าแบบเบา

งานวิจัยจาก National Institutes of Health (NIH) แสดงให้เห็นว่า การใช้พื้นรองเท้าแบบเฉพาะทางสามารถลดแรงกระแทกได้มากถึง 25% ในผู้สูงอายุ


📊 กรณีศึกษาจากงานวิจัย

ตัวอย่างผู้หญิงอายุ 65 ปี ที่มีน้ำหนักเกินและปวดข้อเข่าเรื้อรัง เริ่มโปรแกรมออกกำลังกายในน้ำควบคู่กับโภชนาการและใส่รองเท้าพิเศษ พบว่า

  • ความสามารถในการเดินดีขึ้นใน 8 สัปดาห์
  • ลดความเจ็บปวดลง 40% จากแบบสอบถาม WOMAC
  • น้ำหนักลด 3 กิโลกรัม

อ้างอิง: Journal of Geriatric Physical Therapy, 2021


🏛️ คำแนะนำจากหน่วยงานรัฐ

1. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า:

ผู้ที่มีน้ำหนักมากควรเริ่มจากการเดินในน้ำ หรือยืดเหยียด เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดที่ข้อเข่า

2. CDC (Centers for Disease Control and Prevention)

ออกกำลังกายแบบ Low-impact อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม

3. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สนับสนุนกิจกรรม “เดิน 6,000 ก้าวลดเสี่ยงข้อเข่าเสื่อม” สำหรับกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป


🧩 บทสรุป

แม้การออกกำลังกายอาจทำให้ปวดข้อเข่าหรือข้อเท้าในผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือสูงวัย แต่การเลือกวิธีการออกกำลังกาย อาหาร และอุปกรณ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการและฟื้นฟูสุขภาพข้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าปล่อยให้อาการปวดเล็กน้อยกลายเป็นอุปสรรคของชีวิตที่กระฉับกระเฉง


🔗 แหล่งอ้างอิง:

  1. Centers for Disease Control and Prevention (CDC) – https://www.cdc.gov
  2. Johns Hopkins Arthritis Center – https://www.hopkinsarthritis.org
  3. Harvard T.H. Chan School of Public Health – https://www.hsph.harvard.edu
  4. National Institute of Arthritis and Musculoskeletal and Skin Diseases (NIAMS) – https://www.niams.nih.gov
  5. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – https://www.anamai.moph.go.th
  6. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) – https://www.thaihealth.or.th
Posted on

ผลวิจัยชี้! สมองเสื่อมช้าลงได้ หากคุณเปลี่ยน 7 พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

การเสื่อมถอยของสมองเมื่ออายุเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่หลายคนหวั่นกลัว เพราะอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) หรือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) แต่ข่าวดีคือ งานวิจัยขนาดใหญ่ล่าสุดพบว่า พฤติกรรมบางอย่างสามารถชะลอการเสื่อมของสมองได้จริง แม้ในผู้สูงอายุ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาราคาแพงหรือเทคโนโลยีขั้นสูง


🏃‍♂️ 1. การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ (Physical Activity)

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว โยคะ หรือว่ายน้ำ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ ซึ่งช่วยคงความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ และสมาธิ

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) และมหาวิทยาลัยไมอามี (University of Miami) พบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีการลดลงของสมองช้ากว่าผู้ไม่ออกกำลังกายถึง 10 ปี


🍎 2. การรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Diet)

อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนประกอบด้วย ผักผลไม้สด ธัญพืชเต็มเมล็ด (Whole grains) น้ำมันมะกอก ปลา และถั่ว ซึ่งอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันเซลล์สมองจากความเสียหาย

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ยืนยันว่าอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และอัลไซเมอร์


📚 3. การใช้สมองอย่างต่อเนื่อง (Cognitive Engagement)

การอ่านหนังสือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ หรือการเล่นเกมฝึกสมอง เช่น ปริศนาอักษรไขว้ (Crossword puzzles) และหมากรุก ช่วยกระตุ้นการเชื่อมโยงของเซลล์สมอง (Neural connections) ทำให้สมองยังคงตื่นตัวและแข็งแรง

งานวิจัยในวารสาร JAMA Neurology พบว่า ผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมกระตุ้นสมองบ่อย ๆ มีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมต่ำลงถึง 29%


👥 4. การเข้าสังคมสม่ำเสมอ (Social Interaction)

การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มอาสาสมัคร ช่วยลดความเครียดและความเหงา ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสื่อมถอยของสมอง

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) รายงานว่า การสนทนาเพียง 10 นาทีต่อวันกับผู้อื่นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองในระยะสั้นได้


😴 5. การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ (Quality Sleep)

การนอนอย่างเพียงพอและต่อเนื่องอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้สมองได้พักและฟื้นฟูระบบความจำ (Memory consolidation) รวมถึงล้างของเสียที่อาจสะสมและก่อให้เกิดโรคทางสมอง

ศูนย์วิจัยแห่งชาติว่าด้วยการนอนหลับของสหรัฐ (National Institute of Neurological Disorders and Stroke) แนะนำให้ควบคุมคุณภาพการนอนเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม


❤️ 6. การควบคุมโรคเรื้อรัง (Chronic Disease Management)

โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน (Diabetes), ความดันโลหิตสูง (Hypertension), และไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) มีความเชื่อมโยงกับภาวะสมองเสื่อม หากควบคุมโรคเหล่านี้ได้ดี ก็สามารถชะลอการเสื่อมของสมองได้

ข้อมูลจาก National Institute on Aging ชี้ว่า การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันให้ปกติสามารถลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้ถึง 39%


💊 7. หลีกเลี่ยงสารเสพติดและแอลกอฮอล์ (Substance and Alcohol Avoidance)

สารเสพติด รวมถึงการบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่อง จะทำลายเซลล์สมองโดยตรง ส่งผลให้สมองเสื่อมถอยเร็วขึ้น

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า แอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะสมองเสื่อมในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 65 ปี


🔎 สรุป: สมองเสื่อมไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ความเสื่อมถอยของสมองจะเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ แต่จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่า พฤติกรรมในชีวิตประจำวันมีบทบาทสำคัญในการชะลอหรือป้องกันการเสื่อมถอยนั้นได้อย่างมีนัยสำคัญ เพียงคุณใส่ใจสุขภาพกาย ใจ และพฤติกรรมประจำวันอย่างรอบด้าน


🔗 แหล่งอ้างอิง:

  1. Centers for Disease Control and Prevention (CDC) – https://www.cdc.gov
  2. National Institute on Aging (NIA) – https://www.nia.nih.gov
  3. World Health Organization (WHO) – https://www.who.int
  4. Columbia University & University of Miami Study, JAMA Neurology, 2023
  5. University of Michigan Social Brain Study, 2022
  6. National Institute of Neurological Disorders and Stroke – https://www.ninds.nih.gov
Posted on

กล้ามเนื้อฝ่อส่งผลต่ออายุขัยอย่างไร? วิเคราะห์จากงานวิจัยและแนวทางป้องกัน

ทำไมเราควรป้องกันกล้ามเนื้อฝ่อตั้งแต่วันนี้? เพราะมันเกี่ยวกับ “อายุขัย”

“กล้ามเนื้อฝ่อ” (Muscle Atrophy) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อลดขนาดลงและอ่อนแรงลง ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ภาวะทุพโภชนาการ หรือโรคประจำตัวบางชนิด การศึกษาหลายชิ้นในช่วงทศวรรษหลังแสดงให้เห็นว่า กล้ามเนื้อฝ่อไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แต่ยังสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับ อัตราการเสียชีวิตและอายุขัย โดยตรง

ในบทความนี้เราจะสำรวจว่า กล้ามเนื้อฝ่อส่งผลต่ออายุขัยมนุษย์อย่างไร แนวทางป้องกันทางพฤติกรรมและโภชนาการมีอะไรบ้าง พร้อมทั้งอ้างอิงงานวิจัยจากวารสารวิชาการที่ได้รับการยอมรับ

ส่วนที่ 1: กล้ามเนื้อฝ่อคืออะไร?

กล้ามเนื้อฝ่อ (Muscle Atrophy) คือภาวะที่เซลล์กล้ามเนื้อลดขนาดลง ทำให้มวลกล้ามเนื้อ (muscle mass) และแรงกล้ามเนื้อ (muscle strength) ลดลง โดยสาเหตุสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่:

  1. Disuse Atrophy – เกิดจากการไม่ได้ใช้งานกล้ามเนื้อ เช่น นอนติดเตียง ขาดการออกกำลังกาย
  2. Neurogenic Atrophy – เกิดจากการขาดการควบคุมของระบบประสาท เช่น โรค ALS หรือเส้นประสาทถูกกดทับ

งานวิจัยของ Janssen et al. (2002) แสดงให้เห็นว่ามวลกล้ามเนื้อที่ลดลงตามอายุเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อภาวะทุพพลภาพ (disability) และการเสียชีวิต

ส่วนที่ 2: กล้ามเนื้อฝ่อกับอายุขัย — มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

2.1 ความเชื่อมโยงระหว่างกล้ามเนื้อฝ่อกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

การศึกษาของ Srikanthan et al. (2014) ที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Medicine พบว่าในผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนกล้ามเนื้อน้อย (low muscle mass) มีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อสูงกว่า แม้ว่าจะมี BMI เท่ากัน

ในทำนองเดียวกัน งานวิจัยโดย Batsis et al. (2013) รายงานว่า “sarcopenia” (ภาวะกล้ามเนื้อลดลงในผู้สูงอายุ) มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตถึง 60% ภายใน 5 ปี

2.2 ความเสี่ยงของภาวะทุพพลภาพและการล้ม

เมื่อกล้ามเนื้อลดลง ความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวลดลง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุ การล้มเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและพิการในกลุ่มประชากรนี้ ตามรายงานของ WHO ปี 2022 การล้มเป็นสาเหตุการเสียชีวิตลำดับต้นๆ ในผู้สูงอายุทั่วโลก

ส่วนที่ 3: แนวทางป้องกันกล้ามเนื้อฝ่อตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

3.1 การออกกำลังกายแบบต้านแรง (Resistance Exercise)

งานวิจัยโดย Suetta et al. (2017) แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมฝึกต้านแรงแบบสม่ำเสมอในผู้สูงอายุสามารถช่วยเพิ่มทั้งมวลกล้ามเนื้อและแรงกล้ามเนื้อได้อย่างมีนัยสำคัญภายใน 12 สัปดาห์

แนวทางจาก American College of Sports Medicine (ACSM, 2019) แนะนำว่า:

  • ออกกำลังกายต้านแรงอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ใช้น้ำหนักที่สามารถทำซ้ำได้ 8-12 ครั้งต่อชุด

3.2 การเดิน การเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ

แม้แต่การเดินเพียง 30 นาทีต่อวัน ก็สามารถลดการสูญเสียกล้ามเนื้อได้ในระดับหนึ่ง ตามที่ Pahor et al. (2014) แสดงไว้ในการศึกษาผู้สูงอายุกว่า 1,600 คน พบว่าการเดินลดความเสี่ยงของความทุพพลภาพได้ถึง 18%

ส่วนที่ 4: อาหารและสารอาหารที่ช่วยป้องกันกล้ามเนื้อฝ่อ

4.1 โปรตีน

งานวิจัยของ Houston et al. (2008) ในกลุ่มผู้สูงอายุพบว่า การบริโภคโปรตีนอย่างน้อย 1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน มีผลต่อการรักษามวลกล้ามเนื้อในระยะยาว

แหล่งโปรตีนที่แนะนำ:

  • ปลา ไข่ เนื้อไก่ ถั่ว เต้าหู้

4.2 กรดอะมิโนลิวซีน (Leucine)

Leucine มีบทบาทกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อโดยตรง (ผ่าน mTOR pathway) งานวิจัยโดย Katsanos et al. (2006) พบว่า การเสริม leucine ช่วยกระตุ้นกลไกการฟื้นฟูกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุได้ชัดเจน

อาหารที่มี leucine สูง: นม ไข่ ไก่ ถั่วเหลือง ปลาทะเล

4.3 วิตามิน D

วิตามิน D มีบทบาทในการรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดการล้ม งานวิจัยโดย Bischoff-Ferrari et al. (2004) แสดงว่า การเสริมวิตามิน D ช่วยลดความเสี่ยงของการล้มลงในผู้สูงอายุได้ถึง 22%

ส่วนที่ 5: การประเมินความเสี่ยงและติดตามผล

5.1 การวัดมวลกล้ามเนื้อ

  • DXA Scan (Dual-energy X-ray Absorptiometry)
  • Bioelectrical Impedance Analysis (BIA)

5.2 การวัดสมรรถภาพกล้ามเนื้อ

  • Handgrip Strength – บ่งชี้ความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
  • Gait Speed – ความเร็วในการเดินสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต

งานวิจัยโดย Studenski et al. (2011) แสดงว่า gait speed ต่ำกว่า 0.8 m/s สัมพันธ์กับอายุขัยที่สั้นลง

สรุป

กล้ามเนื้อฝ่อไม่ใช่เพียงปัญหาความงามหรือการเคลื่อนไหว แต่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อคุณภาพชีวิตและอายุขัย โดยเฉพาะในวัยสูงอายุ การเข้าใจวิธีป้องกัน การกินอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินที่เหมาะสม รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ.

แหล่งอ้างอิง :

  1. Srikanthan, P., & Karlamangla, A. S. (2014). Muscle mass index as a predictor of longevity in older adults. American Journal of Medicine, 127(6), 547-553.
  2. Suetta, C., Aagaard, P., & Kjaer, M. (2017). Resistance training and aging: Impact on muscle strength and function. Scandinavian Journal of Medicine & Science in Sports, 27(11), 1484-1494.
  3. Houston, D. K., et al. (2008). Dietary protein intake is associated with lean mass change in older, community-dwelling adults: The Health, Aging, and Body Composition (Health ABC) Study. The American Journal of Clinical Nutrition, 87(1), 150-155.
  4. Bischoff-Ferrari, H. A., et al. (2004). Effect of Vitamin D on falls: a meta-analysis. JAMA, 291(16), 1999-2006.
  5. Katsanos, C. S., et al. (2006). A high proportion of leucine is required for optimal stimulation of the rate of muscle protein synthesis by essential amino acids in the elderly. American Journal of Physiology, 291(2), E381-E387.
  6. Pahor, M., et al. (2014). Effect of structured physical activity on prevention of major mobility disability in older adults: the LIFE study randomized clinical trial. JAMA, 311(23), 2387-2396.
  7. Studenski, S., et al. (2011). Gait speed and survival in older adults. JAMA, 305(1), 50-58.
  8. Batsis, J. A., & Mackenzie, T. A. (2013). Sarcopenia, sarcopenic obesity, and mortality in older adults: results from the NHANES III survey. Journal of the American Geriatrics Society, 61(1), 63-68.
Posted on

ผู้ป่วยเก๊าท์ออกกำลังกายได้หรือไม่? คำตอบจากงานวิจัย

โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในเลือด ซึ่งมักตกผลึกในข้อกระดูก ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง โดยเฉพาะที่ข้อนิ้วเท้า โรคนี้มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหาร การดื่มแอลกอฮอล์ และการออกกำลังกาย ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาจำนวนมากชี้ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการและลดความเสี่ยงของโรคเก๊าท์ในระยะยาวได้

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกายของผู้ป่วยโรคเก๊าท์

หลายคนมักหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายด้วยความกลัวว่าจะกระตุ้นอาการปวดเก๊าท์ให้รุนแรงขึ้น แต่อันที่จริง การไม่ออกกำลังกายเลยกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ และทำให้ภาวะยูริกในเลือดแย่ลงอีกด้วย

ข้อเท็จจริง: การออกกำลังกายกับโรคเก๊าท์

1. ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดกรดยูริกในเลือด

การลดน้ำหนักช่วยลดระดับกรดยูริกในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะอ้วน
📌 งานวิจัยจาก Annals of the Rheumatic Diseases (2007) พบว่าการลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหารสามารถลดระดับกรดยูริกได้อย่างมีนัยสำคัญ

Choi HK, et al. (2007). Weight change, purine-rich foods, and risk of gout in men. Ann Rheum Dis, 66(10):1273–1277.
https://ard.bmj.com/content/66/10/1273

2. ลดการอักเสบทั่วร่างกาย

การออกกำลังกายระดับปานกลางช่วยลดสารไซโตไคน์ที่กระตุ้นการอักเสบ ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดอาการเก๊าท์
📌 งานวิจัยจาก Current Opinion in Rheumatology (2019) ระบุว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิคต่อเนื่องช่วยลดระดับ IL-6 และ TNF-alpha ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของข้อ

Gleeson M, et al. (2019). Exercise, inflammation and chronic disease. Curr Opin Rheumatol, 31(1):47–54.
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30399085/

3. กระตุ้นการขับกรดยูริกผ่านไต

การออกกำลังกายเพิ่มอัตราการกรองของไต ช่วยให้ร่างกายกำจัดกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้ดีขึ้น
📌 การศึกษาจาก Clinical Rheumatology (2014) รายงานว่า ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ที่ออกกำลังกายระดับเบาถึงปานกลางอย่างสม่ำเสมอ มีระดับยูริกในเลือดลดลงโดยไม่ต้องเพิ่มยา

Keenan RT, et al. (2014). Clin Rheumatol. 33(4):495–501.
https://link.springer.com/article/10.1007/s10067-013-2386-4

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเก๊าท์

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วงที่ข้อยังอักเสบ
  • เริ่มด้วยกิจกรรมเบา เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ
  • เน้นความต่อเนื่องมากกว่าความหนัก (เช่น เดินเร็ว 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์)
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อลดความเข้มข้นของยูริกในเลือด
  • ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดหากมีอาการปวดข้อเรื้อรัง

สรุป: ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ช่วยคุมเก๊าท์ได้

แม้โรคเก๊าท์จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินและพันธุกรรม แต่พฤติกรรมการออกกำลังกายก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน การออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยลดระดับกรดยูริก ลดการอักเสบ และป้องกันโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ จึงควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพระยะยาว

แหล่งอ้างอิง:

  1. Choi HK, et al. (2007). Weight change, purine-rich foods, and risk of gout in men. Ann Rheum Dis, 66(10):1273–1277.
    https://ard.bmj.com/content/66/10/1273
  2. Gleeson M, et al. (2019). Exercise, inflammation and chronic disease. Curr Opin Rheumatol, 31(1):47–54.
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30399085/
  3. Keenan RT, et al. (2014). The impact of physical activity on serum uric acid levels in patients with gout. Clin Rheumatol, 33(4):495–501.
    https://link.springer.com/article/10.1007/s10067-013-2386-4
Posted on

เปิดผลวิจัยชิ้นใหม่! โควิดทำเด็กสุขภาพแย่ลง แต่ไม่ใช่เพราะออนไลน์

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เด็ก ๆ ทั่วโลกต้องเรียนออนไลน์ อยู่บ้าน และใช้ชีวิตแบบจำกัดการเคลื่อนไหวมากขึ้น ซึ่งหลายคนสงสัยว่าแบบเรียนออนไลน์นี่แหละตัวร้ายที่ทำให้เด็กไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

แต่ผลการวิจัยล่าสุดจากสหรัฐฯ ที่วิเคราะห์ข้อมูลจากนักเรียนกว่า 150,000 คนใน 264 โรงเรียนกลับพบว่า เด็กฟิตน้อยลงจริงในช่วงโควิด-19 แต่ไม่ใช่เพราะเรียนออนไลน์!

เด็กออกกำลังกายน้อยลง จนร่างกายไม่ฟิต

ผลวิจัยระบุว่า ระหว่างช่วงโควิด-19 เด็กมีแนวโน้ม “ไม่ผ่านเกณฑ์ความฟิต” ทั้งในด้าน

  • สมรรถภาพหัวใจและปอด (Cardiorespiratory Fitness: CRF)
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal Fitness: MSF)

เด็กผู้หญิงมีค่าความฟิตลดลงเฉลี่ย 0.55 mL/kg/min ส่วนเด็กผู้ชายลดลงมากกว่านั้น คือ 0.86 mL/kg/min ซึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงระดับความสามารถในการออกแรงต่อเนื่อง

ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ไม่ฟิต แต่คือการ “ไม่ได้ขยับตัว”

สิ่งที่น่าสนใจคือ โรงเรียนที่ให้เด็กเรียนออนไลน์หรือเรียนแบบสลับ (hybrid) นานกว่า 15 สัปดาห์ กลับมีสัดส่วนเด็กที่ “ผ่านเกณฑ์ความฟิต” สูงกว่าโรงเรียนที่เรียนออนไลน์ในระยะสั้น

นักวิจัยเชื่อว่า ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ร่างกายเด็กแย่ลง แต่เป็นเพราะช่วงโควิดนั้น เด็กถูกห้ามเล่นกีฬา ไม่ได้เข้าสังคม ไม่มีกิจกรรมกลางแจ้ง และไม่มีโอกาสได้ขยับร่างกายตามปกติ

ฟิตน้อยลง อ้วนมากขึ้น เครียดง่ายขึ้น

เมื่อเด็กไม่ได้ออกกำลังกาย ผลที่ตามมาคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีโอกาสเกิดโรคอ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว

ไม่เพียงแค่นั้น การเคลื่อนไหวน้อยยังส่งผลต่อ สุขภาพจิต เด็กด้วย เช่น อาการเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง

ข้อเสนอจากงานวิจัย: ต้องมีแผนดูแลสุขภาพเด็กในยามวิกฤติ

นักวิจัยเสนอว่า หากในอนาคตเกิดวิกฤติเช่นโรคระบาดหรือภัยธรรมชาติอีก ผู้ปกครอง ครู และผู้กำหนดนโยบายควรมีแผนรับมือเพื่อช่วยให้เด็กยังสามารถรักษาความฟิตได้ เช่น:

  • การจัดคลาสออกกำลังกายออนไลน์
  • กิจกรรมออกกำลังกายที่ทำในบ้านได้
  • สนับสนุนการเล่นกีฬาในครอบครัว

สรุป

โควิด-19 ไม่ได้แค่กระทบการเรียนของเด็ก แต่ยังทำให้สุขภาพร่างกายของพวกเขาถดถอยอย่างชัดเจน เราไม่ควรมองข้ามเรื่องความฟิตของเด็กในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน การออกกำลังกายไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น และเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ.


แหล่งที่มา:
Pavlovic A, et al. Longitudinal Outcomes of the COVID-19 Pandemic on Youth Physical Fitness. JAMA Network Open. Published June 4, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.13721

Posted on

ความหวังใหม่! วิจัยล่าสุดชี้การออกกำลังกาย-อาหารต้านอักเสบ ช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่

งานวิจัยล่าสุดที่นำเสนอในการประชุมสมาคมมะเร็งวิทยาคลินิกแห่งสหรัฐอเมริกา (ASCO) เปิดเผยแนวทางใหม่ในการรักษาและป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับสองในสหรัฐอเมริกา โดยปีนี้คาดว่าจะมีผู้ป่วยใหม่กว่า 150,000 ราย และเสียชีวิตเกือบ 53,000 ราย

📌 1. การออกกำลังกายลดความเสี่ยงมะเร็งกลับมาใหม่

งานวิจัยที่เผยแพร่ใน New England Journal of Medicine ติดตามผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่เกือบ 900 ราย หลังรับเคมีบำบัด พบว่า:

  • กลุ่มที่ได้รับคำปรึกษาด้านการออกกำลังกาย มีอัตรารอดพ้นโรค 5 ปีสูงถึง 80%
  • เทียบกับกลุ่มที่ได้รับแค่เอกสารแนะนำ ซึ่งมีอัตรารอด 74%
  • ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหรือตรวจพบมะเร็งใหม่ลง 28%
  • หรือป้องกันได้ 1 คนในทุก 16 คนที่ป่วย

ดร.คริสโตเฟอร์ บูธ ผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า “ประโยชน์จากการออกกำลังกายใกล้เคียงหรือเหนือกว่าการรักษาด้วยยาราคาแพงบางตัว”

🍵 2. อาหารต้านอักเสบช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยระยะที่ 3

อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่า:

  • ผู้ที่รับประทานอาหารต้านการอักเสบ (ผักใบเขียว ชา กาแฟ) และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • มีความเสี่ยงเสียชีวิตลดลงถึง 63% เมื่อเทียบกับผู้ที่กินอาหารอักเสบสูง (เนื้อแดง แป้งขัดขาว น้ำตาล) และไม่ค่อยออกกำลังกาย

ดร.ซารา ชาร์ ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า การอักเสบอาจเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่เชื่อมโยงพฤติกรรมการกินกับการเกิดมะเร็งในคนอายุน้อย ซึ่งแนวโน้มพบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

💊 3. ยาใหม่จาก Pfizer ช่วยผู้ป่วยระยะลุกลาม

Pfizer นำเสนอข้อมูลยา Braftovi ซึ่งใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดและแอนติบอดี โดยสามารถ:

  • เพิ่มระยะเวลาการมีชีวิตอยู่จากเฉลี่ย 15 เดือนเป็น 30 เดือน
  • เหมาะกับผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีนเฉพาะ ซึ่งตรวจพบได้ง่าย

Pfizer เตรียมยื่นขออนุมัติขยายการใช้ยานี้จากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA)

🔍 บทสรุป: รูปแบบการใช้ชีวิตมีผลต่อผลลัพธ์การรักษา

ทั้งสามงานวิจัยชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องพึ่งแค่ยา แต่ พฤติกรรมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายและโภชนาการ เป็น “แนวทางที่ทำได้จริงและยั่งยืน”


แหล่งอ้างอิง:

  • American Society of Clinical Oncology (ASCO), June 2025
  • New England Journal of Medicine
Posted on

โรคอ้วน: ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และแนวทางฟื้นฟูสุขภาพ

โรคอ้วน (Obesity) ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่คือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งบางชนิด

โรคอ้วนคืออะไร?

โรคอ้วนคือภาวะที่ร่างกายมีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (BMI ≥ 30 kg/m²) โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) ได้แบ่งระดับความรุนแรงของโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • อ้วนระดับ 1: BMI 30–34.9
  • อ้วนระดับ 2: BMI 35–39.9
  • อ้วนระดับ 3 (อ้วนขั้นรุนแรง): BMI ≥ 40

ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากโรคอ้วน

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายระบบของร่างกาย ดังนี้:

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

ผู้ที่มีไขมันสะสมในช่องท้องมากมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลินและไขมันในเลือดสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายและหลอดเลือดอุดตัน

🔬 อ้างอิง: Global Burden of Disease Study 2017 พบว่าโรคอ้วนมีส่วนต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงถึง 4 ล้านคนต่อปีทั่วโลก

2. เบาหวานชนิดที่ 2

ไขมันสะสมส่วนเกินรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและพัฒนาเป็นเบาหวานในที่สุด

🔬 อ้างอิง: Hu, F.B. et al. (2001). Diet, lifestyle, and the risk of type 2 diabetes mellitus in women. NEJM, 345(11): 790–797.

3. มะเร็งบางชนิด

งานวิจัยแสดงความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม (หลังหมดประจำเดือน) และมะเร็งตับ

4. สุขภาพจิต

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล และการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

แนวทางปรับปรุงสุขภาพและลดความเสี่ยงจากโรคอ้วน

การลดน้ำหนักแม้เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความเสี่ยงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวทางที่แนะนำประกอบด้วย:

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

  • ลดน้ำตาลและอาหารแปรรูป
  • เพิ่มผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพสูง
  • ใช้หลักการ “กินให้ช้าลง-กินให้น้อยลง”

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ควรมีกิจกรรมที่ใช้แรงระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
  • การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิกล้วนมีประโยชน์

3. ปรับสภาพแวดล้อม

  • จัดบ้านหรือที่ทำงานให้เอื้อต่อการเลือกสุขภาพดี เช่น มีผลไม้แทนขนม
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารขณะดูโทรทัศน์หรือเล่นมือถือ

4. ขอคำปรึกษาจากแพทย์

หากน้ำหนักเกินมากหรือมีโรคประจำตัวร่วม ควรขอคำปรึกษาเพื่อวางแผนลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย รวมถึงการพิจารณายาหรือการผ่าตัดลดน้ำหนักหากจำเป็น

🔬 อ้างอิง: Hall, K.D. et al. (2011). Quantification of the effect of energy imbalance on bodyweight. The Lancet, 378(9793): 826–837.

บทสรุป

โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ แต่คือภัยเงียบที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อสุขภาพในหลายด้าน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ได้ในระยะยาว.

Posted on

ผลวิจัยชี้ เด็กที่รอดชีวิตจากโรคมะเร็ง เสี่ยงภาวะกระดูกพรุนตอนโต แม้ผ่านมานานนับสิบปี แนะเฝ้าระวังตั้งแต่วัยรุ่น

(ภาพประกอบ)

ผลวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อเดือนมกราคม 2025 เผยให้เห็นว่า ผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเด็กมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และกระดูกพรุน (osteoporosis) เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีบริเวณสมองหรืออัณฑะ รวมถึงผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงระยะยาวจากการรักษาโรคมะเร็งในวัยเด็ก

การศึกษาวิจัยนี้ใช้ข้อมูลจากโครงการ St. Jude Lifetime Cohort Study (SJLIFE) ซึ่งติดตามผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเด็กจำนวนกว่า 3,500 คน โดยวัดค่าความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density: BMD) ด้วยเครื่อง Dual-Energy X-ray Absorptiometry (DEXA scan) และวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่น ระดับฮอร์โมน พฤติกรรมการใช้ชีวิต และคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งวัยเด็ก เสี่ยงกระดูกบางมากกว่าประชากรทั่วไป

จากผลการวิจัยพบว่า

  • ประมาณ 23.7% ของผู้เข้าร่วมมีภาวะกระดูกบาง (osteopenia)
  • 5.9% มีภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis)
  • กลุ่มผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงถึงสองเท่า
  • ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป

นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่มีภาวะกระดูกบางหรือพรุนในระดับรุนแรงมักมีคุณภาพชีวิตต่ำลงในหลายมิติ เช่น

  • มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลมากกว่า
  • มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหวและกิจวัตรประจำวัน
  • มีโอกาสว่างงานหรือทำงานได้น้อยลง

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ: รังสีรักษา พฤติกรรมชีวิต และฮอร์โมน

ทีมวิจัยชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อภาวะกระดูกบางในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง ได้แก่

  1. การได้รับรังสีรักษาบริเวณศีรษะหรือกะโหลก (cranial radiation therapy) ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมใต้สมอง ทำให้ระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone) ลดลง
  2. การได้รับรังสีที่อัณฑะหรืออุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนเพศต่ำ (hypogonadism)
  3. พฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย และรับแคลเซียมหรือวิตามินดีไม่เพียงพอ
  4. น้ำหนักตัวน้อยเกินไป และ ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงหรือหลังการรักษามะเร็ง

นักวิจัยเน้นย้ำว่าภาวะเหล่านี้ล้วนสามารถป้องกันและรักษาได้ หากมีการติดตามและวางแผนสุขภาพอย่างเหมาะสมในระยะยาว

ข้อเสนอเชิงนโยบาย: ควรมีแนวทางตรวจวัดความหนาแน่นกระดูก ในผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง

แม้จะยังไม่มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการในการตรวจคัดกรองกระดูกบางในผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเด็ก แต่ผลการศึกษานี้เสนอว่า

  • ควรเริ่มตรวจวัด BMD ตั้งแต่อายุ 18–25 ปี
  • ผู้ที่ได้รับรังสีรักษาบริเวณสมองหรืออัณฑะ ควรได้รับการตรวจ BMD เป็นระยะ
  • ควรมีการประเมินระดับฮอร์โมนเป็นประจำ โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศและฮอร์โมนการเจริญเติบโต
  • ส่งเสริมให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอย่างเหมาะสม กินอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

นอกจากนี้ ผู้เขียนงานวิจัยยังเรียกร้องให้หน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งในวัยเด็ก จัดตั้ง “คลินิกติดตามระยะยาว” (long-term survivorship clinics) ที่ให้บริการตรวจสุขภาพกระดูกและระบบต่อมไร้ท่อต่อเนื่องหลังจบการรักษา

สรุปสำหรับประชาชนทั่วไป

ผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งในวัยเด็ก แม้จะรักษาหายขาดแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพระยะยาว โดยเฉพาะภาวะกระดูกบางและกระดูกพรุน ซึ่งอาจทำให้คุณภาพชีวิตลดลงเมื่อโตขึ้น ดังนั้น ควรตรวจเช็คสุขภาพกระดูกเป็นระยะ และดูแลพฤติกรรมชีวิตให้เหมาะสม เช่น ออกกำลังกาย เลิกบุหรี่ และปรึกษาแพทย์เรื่องฮอร์โมนหากสงสัยผิดปกติ.

แหล่งอ้างอิง :

St. Jude Lifetime Cohort Study. “Attributable Risk and Consequences of Bone Mineral Density Deficits in Childhood Cancer Survivors.” JAMA Network Open, 10 ม.ค. 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2024.54069

Posted on

อันตรายจากการเล่นกีฬา: ความเสี่ยงที่มองข้ามไม่ได้

การเล่นกีฬานั้นมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพกายและใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันแฝงไปด้วยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่เตรียมตัวให้พร้อมหรือเล่นอย่างไม่ระมัดระวัง บทความนี้จะเจาะลึกถึงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดจากการเล่นกีฬา เพื่อให้คุณสามารถเตรียมตัวและป้องกันได้อย่างเหมาะสม

  1. การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ

การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อเป็นอันตรายที่พบบ่อยที่สุดในการเล่นกีฬา โดยอาจเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป การวอร์มอัปไม่เพียงพอ หรือเทคนิคการเล่นที่ไม่ถูกต้อง อาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อมีตั้งแต่กล้ามเนื้อตึงไปจนถึงการฉีกขาด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวด บวม และจำกัดการเคลื่อนไหว

  1. การบาดเจ็บที่ข้อต่อ

ข้อต่อต่างๆ ในร่างกายอาจได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อต่อที่รับน้ำหนักมาก เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อศอก การบาดเจ็บที่ข้อต่ออาจเกิดจากการเคลื่อนไหวผิดท่า การกระแทก หรือการใช้งานมากเกินไป อาการบาดเจ็บที่ข้อต่อมีตั้งแต่การแพลงไปจนถึงการฉีกขาดของเอ็นและกระดูกหัก

  1. การบาดเจ็บที่ศีรษะ

การบาดเจ็บที่ศีรษะอาจเกิดจากการกระแทกหรือการปะทะกันระหว่างเล่นกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกีฬาประเภทที่มีการปะทะกัน เช่น ฟุตบอล ฮอกกี้ และบาสเกตบอล การบาดเจ็บที่ศีรษะอาจมีตั้งแต่แผลถลอกไปจนถึงอาการกระทบกระเทือนทางสมอง ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว

  1. การบาดเจ็บที่กระดูก

การบาดเจ็บที่กระดูกอาจเกิดจากการกระแทกหรือการใช้งานมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกีฬาประเภทที่มีการลงน้ำหนักมาก เช่น วิ่ง กระโดด และยกน้ำหนัก การบาดเจ็บที่กระดูกมีตั้งแต่รอยแตกไปจนถึงกระดูกหัก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวด บวม และจำกัดการเคลื่อนไหว

  1. โรคหัวใจ

การเล่นกีฬาที่หนักเกินไปหรือไม่สม่ำเสมออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหัวใจอยู่แล้ว การเล่นกีฬาที่หนักเกินไปอาจทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไปและนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ

  1. ภาวะขาดน้ำ

ภาวะขาดน้ำเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าที่ได้รับเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเล่นกีฬาในสภาพอากาศร้อน ภาวะขาดน้ำอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ และตะคริว ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเล่นกีฬาและนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น

  1. การติดเชื้อ

การเล่นกีฬาในสถานที่ที่ไม่สะอาดหรือมีการสัมผัสกับผู้อื่นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อที่ผิวหนัง เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้ออาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ผื่นแดง คัน และมีหนอง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา

วิธีป้องกันอันตรายจากการเล่นกีฬา

เพื่อป้องกันอันตรายจากการเล่นกีฬา คุณสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  • เตรียมตัวให้พร้อม: ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว
  • วอร์มอัปอย่างเหมาะสม: วอร์มอัปก่อนเล่นกีฬาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อและข้อต่อให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกาย
  • ใช้เทคนิคที่ถูกต้อง: เรียนรู้เทคนิคการเล่นกีฬาที่ถูกต้องจากโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • สวมอุปกรณ์ป้องกัน: สวมอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เช่น หมวกกันน็อก แผ่นรองเข่า และรองเท้าที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะ ข้อต่อ และเท้า
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอหลังจากออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อได้ฟื้นฟู
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งก่อน ระหว่าง และหลังออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูและซ่อมแซม
  • สังเกตุร่างกายของคุณ: หากคุณรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบาย ให้หยุดเล่นกีฬาและปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่รุนแรงยิ่งขึ้น

สรุป: การเล่นกีฬาเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็แฝงไปด้วยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่เตรียมตัวให้พร้อมหรือเล่นอย่างไม่ระมัดระวัง อันตรายเหล่านี้มีตั้งแต่การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อไปจนถึงการบาดเจ็บที่ศีรษะและสามารถเกิดโรคหัวใจได้ โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนป้องกันที่เหมาะสม คุณก็สามารถลดความเสี่ยงต่ออันตรายเหล่านี้และเพลิดเพลินไปกับประโยชน์ของการเล่นกีฬาได้อย่างปลอดภัย.

Major Sport ลู่วิ่งระบบสายพานแบบไม่ใช้ไฟฟ้า พร้อมอุปกรณ์ Elliptical รุ่น CF-169 – เทา-ดำ

ดูโปรโมชั่น

Major Sport ลู่วิ่งไฟฟ้าขนาดเล็ก รุ่น CF-189 สีเทา/ดำ – เทา/ดำ

ดูโปรโมชั่น

LACTODERM ครีมบำรุงผิวหน้า BENEFICIAL MOISTURIZING CREAM 100 มล.

ดูโปรโมชั่น