Posted on

📱 งานวิจัยชี้ การพักจากโซเชียลมีเดียเพียงหนึ่งสัปดาห์ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตของวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่


พักโซเชียลมีเดียแค่ 1 สัปดาห์ สุขภาพจิตดีขึ้นทันตา!

ในยุคที่โทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียกลายเป็น “เพื่อนสนิทติดตัว” ของคนรุ่นใหม่ คำถามสำคัญที่สังคมและนักจิตวิทยาทั่วโลกพยายามหาคำตอบคือ —
“การลดเวลาอยู่บนโซเชียลมีเดีย จะช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้จริงหรือไม่?”

งานวิจัยใหม่จากสหรัฐอเมริกา ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นว่า

การลดการใช้โซเชียลมีเดียเพียง 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการทางสุขภาพจิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง ภาวะซึมเศร้า (Depression), ความวิตกกังวล (Anxiety) และ ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia)


👩‍🔬 รายละเอียดของการศึกษา

การศึกษาครั้งนี้เป็น การวิจัยแบบ Cohort Study จัดทำโดยทีมนักจิตเวชศาสตร์จาก Beth Israel Deaconess Medical Center และ Harvard Medical School
โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 373 คน อายุระหว่าง 18–24 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุด

ผู้เข้าร่วมทุกคนใช้สมาร์ตโฟนและถูกติดตามพฤติกรรมในช่วงเวลา 2 สัปดาห์แรก จากนั้นกลุ่มหนึ่งเลือกทำ “Social Media Detox” เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยหยุดใช้แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook, Instagram, Snapchat, TikTok และ X (Twitter เดิม)


📊 ผลลัพธ์ที่ได้จากการลดการใช้โซเชียลมีเดีย

ผลการวิเคราะห์เชิงสถิติพบว่า การหยุดใช้โซเชียลมีเดียเพียง 7 วัน ให้ผลชัดเจนดังนี้

อาการสุขภาพจิตการเปลี่ยนแปลงหลังทำ Social Media Detox
😰 ความวิตกกังวล (Anxiety)ลดลง 16.1%
😞 ภาวะซึมเศร้า (Depression)ลดลง 24.8%
🌙 ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia)ลดลง 14.5%
💬 ความเหงา (Loneliness)ไม่พบความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ยังพบว่า หลังจากหยุดใช้โซเชียลมีเดีย ผู้เข้าร่วมใช้เวลาอยู่ที่บ้านและจ้องหน้าจออื่น (เช่นดูวิดีโอหรือเล่นเกม) มากขึ้นเล็กน้อย แต่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือว่า “เล็กน้อยมาก” เมื่อเทียบกับความแตกต่างรายบุคคลในพฤติกรรมโดยรวม


🧠 ความหมายของผลการศึกษา

ดร. John Torous (จอห์น โทรัส) ผู้ร่วมวิจัยจาก Harvard Medical School อธิบายว่า

“แม้เราจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าผลดีนี้จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดในเพียงสัปดาห์เดียว บ่งบอกว่าโซเชียลมีเดียอาจมีอิทธิพลทางจิตใจมากกว่าที่เราคิดไว้”

นักวิจัยกล่าวเพิ่มเติมว่า การลดการใช้โซเชียลไม่ได้หมายถึง “ต้องเลิกใช้ตลอดไป” แต่เป็น แนวทางการฟื้นฟูสมดุลทางจิตใจ (Digital Behavior Reset) ที่ช่วยให้สมองได้พักจากกระแสข้อมูลที่ไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน


💬 โซเชียลมีเดียกับสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่

งานวิจัยก่อนหน้านี้หลายชิ้นมีผลลัพธ์ที่ “ไม่ตรงกัน” เพราะส่วนใหญ่ใช้ข้อมูลจากการรายงานด้วยตนเอง (Self-Report)
แต่การศึกษาครั้งนี้ใช้การติดตามพฤติกรรมจริงผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า

โดยพบว่า ผู้ที่ใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปมักมีแนวโน้ม

  • เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
  • รู้สึกโดดเดี่ยวแม้อยู่ในโลกออนไลน์
  • และมีรูปแบบการนอนหลับที่แปรปรวน

สิ่งเหล่านี้สะสมจนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงของความผิดปกติทางอารมณ์ในระยะยาว


🧘‍♀️ สัปดาห์แห่งการดีท็อกซ์ดิจิทัล (Digital Detox Week)

แม้เพียงหนึ่งสัปดาห์ของการหยุดเล่นโซเชียลจะดูสั้น แต่ผลที่ได้ถือว่าน่าทึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลในระดับสูงตั้งแต่เริ่มต้น
การลดสิ่งกระตุ้นทางดิจิทัลช่วยให้จิตใจสงบลง ลดความกังวลเรื่อง “การเปรียบเทียบตัวเอง” และช่วยให้สมองกลับเข้าสู่ภาวะพักผ่อนมากขึ้น

ดร. Emily Calvert หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า

“เพียงสัปดาห์เดียวของการพักจากโลกออนไลน์ อาจช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงพลังของเวลาและความสงบที่หายไปเมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอ”


🔬 ข้อจำกัดของการศึกษา

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยอมรับว่า ผลลัพธ์นี้ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น

  • กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวชาวอเมริกัน อายุ 18–24 ปี
  • ยังไม่สามารถระบุได้ว่าผลดีนี้จะ “ยั่งยืน” แค่ไหนหากผ่านไปหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
  • และยังไม่ทราบผลกระทบในประชากรกลุ่มอื่น เช่น วัยทำงานหรือวัยรุ่นตอนต้น

นักวิจัยแนะนำว่าควรมีการศึกษาต่อเนื่องในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย เพื่อยืนยันผลในระยะยาวและเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง


💡 บทสรุป

ผลการศึกษานี้ยืนยันว่า

“การลดการใช้โซเชียลมีเดียเพียงหนึ่งสัปดาห์ สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่ได้จริง”

โดยเฉพาะในด้าน การลดภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และอาการนอนไม่หลับ
แม้ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า “การพักจากโลกออนไลน์” อาจเป็นยาที่ไม่ต้องใช้ยาแต่ได้ผลดีอย่างคาดไม่ถึง


📚 แหล่งอ้างอิง

  • Calvert E, Torous J, et al. Association Between Social Media Detox and Mental Health Outcomes Among Young Adults. JAMA Network Open. 2025;8(11):e2545245. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.45245
  • Beth Israel Deaconess Medical Center, Department of Psychiatry, Harvard Medical School
  • American Psychological Association (APA): Social Media Use and Mental Health
  • World Health Organization (WHO): Digital Wellbeing and Youth Mental Health

🟣 หมายเหตุสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์เชิงวิชาการแก่สาธารณชน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ หากคุณมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับเรื้อรัง ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิก เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลอย่างเหมาะสม

Posted on

🧠 เปิดข้อมูลใหม่ “สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย” อาจทิ้งผลกระทบไว้นานกว่าที่คิด: งานวิจัยใหม่จากสหรัฐฯ มีคำตอบ

แม้การบาดเจ็บที่ศีรษะจะดูเหมือนไม่รุนแรง แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยบางรายกลับมีอาการไม่หายภายในระยะเวลาอันสั้น ล่าสุดงานวิจัยจากวารสารทางการแพทย์ JAMA Network Open พบว่า ผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บสมองเล็กน้อย (ที่เรียกทั่วไปว่า “สมองกระทบกระเทือน”) มีเกือบ หนึ่งในสาม ที่อาการยังคงอยู่แม้ผ่านไปแล้วถึง 1 เดือน

🔍 การศึกษาครั้งใหญ่ในผู้ป่วยกว่า 800 ราย

งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “HeadSMART II” ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลผู้ใหญ่จำนวน 803 คน ที่เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินภายใน 4 วันหลังจากได้รับบาดเจ็บศีรษะ โดยผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการระดับ “สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย” (ระดับความรู้สติอยู่ในเกณฑ์ปกติ)

เมื่อติดตามผลหลังจากผ่านไป 30 วัน นักวิจัยพบว่า ร้อยละ 29.3 ของผู้ป่วยยังคงมีอาการต่อเนื่อง เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย และมีปัญหาด้านการจดจำหรือสมาธิ

⚠️ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการไม่หายภายใน 30 วัน

จากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด ทีมวิจัยพบปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการคงอยู่ ได้แก่

  1. เพศหญิง – ผู้หญิงมีโอกาสที่อาการจะอยู่ต่อมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า
  2. น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน – ผู้ที่มีดัชนีมวลกายสูง มีโอกาสที่อาการจะเรื้อรังมากขึ้น
  3. ลักษณะของการบาดเจ็บ – เช่น การล้มหัวกระแทก การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือการถูกทำร้ายร่างกาย มีความเสี่ยงสูงกว่า
  4. มีประวัติไมเกรนหรือปวดศีรษะเรื้อรังมาก่อน – ทำให้สมองไวต่อการกระทบกระเทือนและฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนทั่วไป
  5. มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล – ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจมีผลต่อการฟื้นตัวของสมองอย่างมีนัยสำคัญ
  6. มีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย – เช่น แขนขาอ่อนแรงหรือพูดไม่ชัดในช่วงแรกของอาการ
  7. ต้องตรวจเอกซเรย์สมองหลายครั้งในระยะเริ่มต้น – มักสะท้อนว่ามีอาการซับซ้อนมากกว่า

👩‍⚕️ ทำไมผู้หญิงจึงเสี่ยงมากกว่า

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ผู้หญิงอาจมีความแตกต่างทางฮอร์โมนและโครงสร้างสมองบางส่วนที่ตอบสนองต่อแรงกระแทกต่างจากผู้ชาย นอกจากนี้ ปัจจัยทางสังคม เช่น ความเครียดสะสม หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอหลังบาดเจ็บ อาจทำให้อาการฟื้นตัวช้ากว่า

⚖️ น้ำหนักตัวและสุขภาพทั่วไปมีผลจริงหรือ?

น้ำหนักตัวที่มากเกินไปไม่เพียงส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด แต่ยังมีผลต่อกระบวนการฟื้นฟูของสมองหลังการบาดเจ็บด้วย งานวิจัยชี้ว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมีแนวโน้มจะมีอาการหลงเหลือนานกว่า เพราะมีการอักเสบในร่างกายมากกว่าคนทั่วไป

🧩 ประวัติโรคประจำตัวและสุขภาพจิตก็มีส่วน

ผู้ที่เคยมีไมเกรน ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล มักมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่า เพราะสมองของพวกเขาอยู่ในภาวะที่ “ไวต่อความเครียด” มากกว่าปกติ

ดังนั้น หลังได้รับบาดเจ็บ แม้อาการจะดูไม่รุนแรง แต่ถ้ามีอาการปวดศีรษะ เวียนหัว หรือมึนงงต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจซ้ำ

🏥 สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตหลังศีรษะกระแทก

  • ปวดศีรษะมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • เวียนหัวหรือเสียการทรงตัว
  • พูดไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน
  • คลื่นไส้หรืออาเจียนซ้ำ ๆ
  • มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงหรือหงุดหงิดง่ายผิดปกติ

หากมีอาการเหล่านี้ภายใน 24–48 ชั่วโมง ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

💬 ข้อเสนอแนะจากทีมวิจัย

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรได้รับ การติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหลัง 1 เดือน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะอาการเรื้อรัง และควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ด้านการพักผ่อน การออกกำลังกายเบา ๆ การลดความเครียด และการนอนหลับให้เพียงพอ

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังเน้นว่า “การบาดเจ็บสมองเล็กน้อยไม่ควรถูกมองข้าม” เพราะถึงแม้จะไม่รุนแรงในตอนแรก แต่อาจกระทบต่อการทำงาน การเรียนรู้ และคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้

📋 บทสรุป

งานวิจัยนี้ตอกย้ำว่า “สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย” ไม่ได้หมายความว่าจะหายเองเสมอไป ปัจจัยอย่างเพศ น้ำหนักตัว ประวัติสุขภาพจิต และลักษณะของการบาดเจ็บ ล้วนมีผลต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย

การรู้เท่าทันอาการและเฝ้าระวังตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้แพทย์สามารถดูแลและป้องกันไม่ให้อาการกลายเป็นเรื้อรังได้

🩺 หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางสุขภาพและสรุปข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องสุขภาพสมองและการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น

ข้อมูลทั้งหมด ไม่ถือเป็นการวินิจฉัยโรคหรือคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง หรือสงสัยว่าตนเองอาจได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควร ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ เว็บไซต์ไม่สนับสนุนให้ผู้อ่านตัดสินใจรักษาตนเองโดยอ้างอิงจากข้อมูลในบทความเพียงอย่างเดียว และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์

คำแนะนำเพิ่มเติม: หากเกิดอุบัติเหตุศีรษะกระแทกอย่างแรง หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัวมาก อาเจียน ซึม พูดไม่ชัด หรือแขนขาอ่อนแรง ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่อให้แพทย์ตรวจประเมินโดยเร็วที่สุด

🔗 แหล่งอ้างอิง

Peacock WF Jr, Kuehl D, Diaz-Arrastia R, et al.
Factors Associated With Persistent Symptoms Following Mild Traumatic Brain Injury.
JAMA Network Open. 2025;8(10):e2537729.
doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.37729.
เผยแพร่โดย สมาคมการแพทย์อเมริกัน (American Medical Association)
อ่านต้นฉบับได้ที่นี่

Posted on

💼 ทำไมคนหนุ่มสาวที่รอดชีวิตจากมะเร็งยังเผชิญความท้าทายในที่ทำงาน?

วิเคราะห์จากงานวิจัยใหม่ในวารสาร JAMA Network Open

🧠 บทนำ: หลังมะเร็งชีวิตไม่ได้ “กลับมาเหมือนเดิม” เสมอไป

แม้การแพทย์ยุคใหม่จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมาก “รอดชีวิต” ได้ยาวนานขึ้น แต่สิ่งที่คนทั่วไปอาจไม่รู้คือ “การกลับไปใช้ชีวิตการทำงานปกติ” ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 18–39 ปี ที่อยู่ในช่วงต้นของเส้นทางอาชีพ

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เดือนสิงหาคม ปี 2025 ได้สำรวจว่า ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งในวัยหนุ่มสาวเผชิญความท้าทายแบบใดบ้างในโลกของการทำงาน — ทั้งในแง่ การขาดงาน (absenteeism), ประสิทธิภาพในการทำงาน (presenteeism) และ คุณภาพชีวิตโดยรวม (quality of life)

📊 ใครคือกลุ่มที่เข้าร่วมการศึกษา?

งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากผู้รอดชีวิตจากมะเร็งจำนวน 198 คน ในช่วงอายุเฉลี่ย 39 ปี (โดยเฉลี่ยอายุ 31 ปีตอนเริ่มรักษา)
ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงกว่า 70% และกลุ่มมะเร็งที่พบมากที่สุดคือ มะเร็งเต้านม และ มะเร็งในระบบเลือด

นักวิจัยได้สอบถามทั้งเรื่องสถานะการทำงาน รายได้ การศึกษา สุขภาพกายใจ และความสามารถในการกลับมาทำงานในแต่ละวัน

💼 ผลลัพธ์: กลับมาทำงานได้ แต่ “ไม่เหมือนเดิม”

ผลการศึกษาเผยว่า แม้จะมีผู้รอดชีวิตกว่า 90% ที่กลับเข้าสู่การทำงานได้ แต่ราว 7% ยังคงว่างงาน ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ต่างจากคนทั่วไปในช่วงวัยเดียวกันมากนัก

แต่สิ่งที่แตกต่างคือ “คุณภาพชีวิต” —
คนที่ยังทำงานอยู่กลับพบว่า ประสิทธิภาพในการทำงาน (presenteeism) ลดลง เช่น เหนื่อยง่าย สมาธิลดลง หรือเจ็บป่วยเรื้อรังจากผลข้างเคียงของการรักษา ขณะที่บางคนต้องขาดงานบ่อยเพื่อไปตรวจติดตามอาการ

🧩 ตัวเลขน่าสนใจจากงานวิจัย

  • ค่าเฉลี่ยขาดงาน (Absenteeism): ศูนย์วันต่อเดือน (ส่วนใหญ่ยังทำงานได้เต็มเวลา)
  • ประสิทธิภาพการทำงาน (Presenteeism): อยู่ที่ประมาณ 80% ของศักยภาพปกติ
  • รายได้ที่สูญเสียไปจากการขาดงาน: ประมาณ 1,262 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
  • ผู้ที่ขาดงานบ่อยมีแนวโน้มเกิด ภาวะวิตกกังวล (Anxiety) และ ความเหนื่อยล้า (Fatigue) สูงกว่ากลุ่มอื่น

🧘‍♀️ จิตใจก็สำคัญไม่แพ้ร่างกาย

สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล มีแนวโน้มที่จะมี “ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง” และ “ขาดงานบ่อยขึ้น”

นักวิจัยชี้ว่า การสนับสนุนทางจิตใจหลังมะเร็งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น การให้คำปรึกษา (counseling) หรือโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพจิตใจในที่ทำงาน เพราะจะช่วยให้ผู้รอดชีวิตกลับมามีสมดุลชีวิตและการทำงานได้ดีขึ้น

🏢 บทเรียนสำหรับนายจ้างและสังคม

ผลวิจัยนี้ไม่ได้ชี้ให้เห็นเพียงตัวเลขของผู้ว่างงาน แต่ยังสะท้อนว่า “การกลับมาทำงาน” ไม่ได้หมายถึง “หายดีแล้ว”
องค์กรควรปรับแนวทางการจัดการ เช่น

  • ให้เวลาพักหรือทำงานยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ลดความกดดันในช่วงฟื้นตัว
  • สนับสนุนด้านสุขภาพจิตในที่ทำงาน

การสร้างสภาพแวดล้อมที่เข้าใจและให้โอกาส จะช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งสามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่และยั่งยืน

⚠️ หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์ในวารสาร JAMA Network Open เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในเชิงวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คำวินิจฉัยหรือคำแนะนำทางการแพทย์ส่วนบุคคล

หากผู้อ่านหรือบุคคลใกล้ชิดมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง หรือกำลังฟื้นฟูหลังการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยา หรือจิตแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและแนวทางดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

เนื้อหาภายในบทความนี้อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ เช่น

  • วารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (JAMA Network Open)
  • สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Institutes of Health: NIH)
  • องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO)

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อาจมีข้อจำกัดและอาจไม่สามารถใช้แทนการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ได้โดยตรง

💬 ข้อคิดส่งท้าย

สำหรับผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง การกลับมาทำงานอีกครั้งคือสัญลักษณ์แห่ง “ชัยชนะ” และ “ความหวัง”
แต่สิ่งที่สังคมควรช่วยกันตระหนักคือ ชัยชนะนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับ โอกาส ความเข้าใจ และการสนับสนุนทั้งร่างกายและจิตใจ

📚 แหล่งอ้างอิง

  • Bhatt NS, Voutsinas J, Winters M, et al. Work Status, Absenteeism, Presenteeism, and Quality of Life in Young Adult Cancer Survivors. JAMA Network Open. 2025;8(8):e2528882. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.28882
  • American Medical Association (AMA) – วารสาร JAMA Network Open, สหรัฐอเมริกา
Posted on

📢 งานวิจัยเผย พ่อแม่ที่จัดการอารมณ์ได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงซึมเศร้า–วิตกกังวลในลูก

🧩 ทำไมอารมณ์ของพ่อแม่สำคัญ

นักวิจัยหลายประเทศยืนยันตรงกันว่า วิธีที่พ่อแม่รับมือกับอารมณ์ของตนเอง มีผลโดยตรงต่อการเติบโตทางจิตใจของลูก พ่อแม่ที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี จะสามารถตอบสนองต่ออารมณ์ของลูกได้อย่างอบอุ่นและเหมาะสม ทำให้ลูกเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์ของตนเอง แต่หากพ่อแม่ใช้วิธีเก็บกดหรือระบายอย่างไม่เหมาะสม เด็กจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าได้มากขึ้น งานวิจัยแบบติดตามผลระยะยาว (longitudinal study) ก็ยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน

🧪 หลักฐานจากงานวิจัย

งานทบทวนและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ (meta-analysis) พบว่า โปรแกรมอบรมพ่อแม่ที่เน้นทักษะด้านอารมณ์ สามารถช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพ่อแม่ได้จริง พ่อแม่ที่ผ่านการอบรมมีแนวโน้มที่จะใช้วิธี “สะท้อนความรู้สึก” และ “ตั้งขอบเขตที่ชัดเจนแต่ไม่แข็งกร้าว” ทำให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูที่มีความสมดุล และพัฒนาเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตที่มั่นคงขึ้น

🧰 แนวทางจากหน่วยงานภาครัฐ

  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC) ของสหรัฐฯ แนะนำ “Positive Parenting Tips” หรือเคล็ดลับการเลี้ยงดูเชิงบวกที่ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจวิธีรับมือกับอารมณ์ของเด็กอย่างเหมาะสม
  • สำนักงานสารเสพติดและสุขภาพจิต(SAMHSA) ภายใต้ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์(HHS) มีเครื่องมือช่วยเหลือพ่อแม่ รวมถึงสายด่วน 1-800-662-HELP สำหรับให้คำปรึกษา
  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย) ร่วมมือกับ องค์การอนามัยโลก(WHO) ประเทศไทย ส่งเสริมโครงการ “การเลี้ยงดูเชิงบวก” เพื่อให้ครอบครัวไทยเข้าถึงแนวทางการเลี้ยงดูที่เหมาะสม

🧑‍⚕️ เมื่อครอบครัวเผชิญปัญหาหนัก

สำหรับครอบครัวที่มีลูกวัยรุ่นและเผชิญความเสี่ยง เช่น การทำร้ายตนเอง งานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ(NIMH) พบว่า จิตบำบัดพฤติกรรมวิภาษ(DBT) สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้จริง เพราะสอนทักษะการควบคุมอารมณ์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน

🛠️ เคล็ดลับที่ทำได้ทันที

  1. เริ่มจากพ่อแม่เอง: รู้จักสังเกตอารมณ์ตนเอง เช่น เมื่อโกรธให้หายใจลึก ๆ แล้วบอกลูกด้วยความจริงใจว่า “แม่กำลังโกรธ ขอเวลาสักครู่แล้วเราค่อยคุยกัน”
  2. เข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรม: หลักฐานทางวิชาการยืนยันว่าโปรแกรมเหล่านี้ช่วยลดความเครียดของพ่อแม่ และเสริมสร้างสุขภาพจิตลูกได้จริง
  3. ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น: พ่อแม่ในไทยสามารถโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ส่วนในสหรัฐฯ สามารถใช้สายด่วน SAMHSA Helpline ได้ฟรี

🧭 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

การเก็บกดอารมณ์หรือพยายามทำเหมือนไม่มีปัญหา ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในครอบครัว แต่กลับทำให้เด็กซึมซับรูปแบบที่ไม่ดี การเปิดใจยอมรับอารมณ์และเรียนรู้วิธีจัดการอย่างเหมาะสมคือแนวทางที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์กว่า

🧒 ผลลัพธ์ระยะยาว

เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่มีสุขภาพจิตที่ดีและจัดการอารมณ์ได้ จะมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก รู้จักเคารพผู้อื่น และสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงในอนาคตได้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญทั้งในการเรียนและการใช้ชีวิตในสังคม

📝 สรุปเชิงนโยบาย

ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างเห็นตรงกันว่า การลงทุนกับการอบรมพ่อแม่ด้านอารมณ์ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นในระยะยาว นอกจากนี้ ควรมีการบรรจุโปรแกรมเหล่านี้ในระบบบริการสุขภาพจิตขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ครอบครัวเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

📚 แหล่งอ้างอิงวิจัย

  • England-Mason G. & colleagues. Emotion socialization parenting interventions… (review/meta-analysis). ScienceDirect
  • Zahl-Olsen R. & colleagues. Effects of emotionally oriented parental interventions… (systematic review). PMC
  • Cohodes E.M. & colleagues. Parents’ expressive suppression & child internalizing problems. PMC
  • Byrd A.L. & colleagues. Intergenerational transmission of emotion regulation. PMC
  • NIMH science update: DBT improves emotion regulation & reduces suicide risk in youth. National Institute of Mental Health
  • Iwanski A. & colleagues. Parental ER strategies, parenting stress & child outcomes. ScienceDirect
  • Karl V. & colleagues. Parental psychopathology & youth ER networks. PMC

🏛️ แหล่งอ้างอิงจากหน่วยงานภาครัฐ

ประเทศไทย

  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข: หน้าองค์กรและข่าว/โครงการที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเชิงบวก; ร่วมมือกับ องค์การอนามัยโลก(WHO) ประเทศไทย ในการส่งเสริม positive parenting. dmh.go.th+1

ต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา)

  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC): ชุด Child Development & Positive Parenting Tips แยกตามช่วงวัย. CDC+2CDC+2
  • สำนักงานสารเสพติดและสุขภาพจิตแห่งสหรัฐอเมริกา(SAMHSA): ทรัพยากรสำหรับครอบครัว/พ่อแม่ และสายด่วนแห่งชาติ 1-800-662-HELP. SAMHSA+1
  • สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ(NIMH): บทสรุปงานวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ ดีบีที(DBT) และทักษะกำกับอารมณ์ในวัยรุ่น. National Institute of Mental Health

หมายเหตุสำคัญ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการให้ความรู้ ไม่ได้ใช้แทนคำวินิจฉัยหรือการรักษาจากแพทย์ หากพ่อแม่หรือเด็กมีอาการด้านสุขภาพจิตที่น่ากังวล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที เช่น สายด่วนสุขภาพจิต 1323 (ประเทศไทย) หรือ SAMHSA Helpline 1-800-662-HELP (สหรัฐอเมริกา)

Posted on

🐾แมวกับ “สัมผัสที่หก”: สิ่งที่งานวิจัยยืนยัน และสิ่งที่ยังไม่มีหลักฐาน

ยังไม่มีหลักฐานจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์ของรัฐที่ยืนยันว่าแมวมี “สัมผัสที่ 6” หรือทำนายภัยพิบัติได้โดยตรง ขณะที่หน่วยงานด้านสุขภาพยอมรับว่า “การเลี้ยงสัตว์” (รวมแมว) มี ประโยชน์ต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ ของคน และแมวอาจตอบสนองต่อ สิ่งเร้าทางกายภาพปกติ (เช่น เสียง ความสั่น หรือสัญญาณเตือนอย่างเป็นทางการ) มากกว่าพลังลี้ลับ ทั้งนี้ ประชาชนควรพึ่ง ระบบเตือนภัยของรัฐ และปฏิบัติตามแนวทาง “เลี้ยงแมวอย่างปลอดภัย” เพื่อลดความเสี่ยงโรคจากสัตว์สู่คนด้วย. shakealert.org+3USGS+3NIH News in Health+3


🧠 “สัมผัสที่ 6” กับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

  • สำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส [USGS]) ระบุว่า แม้มีรายงานพฤติกรรมผิดปกติของสัตว์ก่อนแผ่นดินไหวตั้งแต่อดีตกาล แต่ ยังไม่มีหลักฐานที่ “สม่ำเสมอและเชื่อถือได้” รวมถึงยังไม่มี “กลไกที่อธิบายได้ชัดเจน” ว่าสัตว์ (หรือแมว) ทำนายแผ่นดินไหวได้ จึง ไม่ใช่วิธีเตือนภัยที่รัฐยอมรับ. USGS
  • แทนที่จะเป็น “สัมผัสที่ 6” นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าสัตว์อาจ รับรู้สิ่งเร้าทางกายภาพตามปกติ (เช่น คลื่นสั่นสะเทือนขนาดเล็กก่อนแรงสั่นหลัก หรือ P-waves) แล้ว ตอบสนองเร็ว กว่าที่มนุษย์จะรู้สึกได้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปของยูเอสจีเอส (USGS). USGS

🛡️ แมว “ปกป้อง” มนุษย์ได้อย่างไรในโลกจริง

  • ไม่ใช่พลังลี้ลับ แต่คือ ประโยชน์ด้านสุขภาพและอารมณ์: สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอช [NIH]) รายงานว่าปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ช่วย ลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ลดความดันโลหิต ลดความโดดเดี่ยว และเพิ่มแรงสนับสนุนทางสังคม—เป็นผลดีทางอ้อมต่อ “ความยืดหยุ่น” ของเจ้าของเมื่อเผชิญเหตุไม่คาดฝัน. NIH News in Health
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) ย้ำว่าแมว ช่วยพยุงกำลังใจ/สังคม ของผู้สูงอายุหรือผู้มีข้อจำกัดทางกาย–ใจได้จริง แต่ก็ต้องเลี้ยงอย่างปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (เช่น ทอกโซพลาสมา/พยาธิไส้เดือน). CDC

📡 เตือนภัยพิบัติ: พึ่ง “ระบบรัฐ” มากกว่า “สัญชาตญาณสัตว์”

  • หากพูดถึงการเตือนแผ่นดินไหวในชีวิตจริง ให้พึ่ง ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้าเชคอเลิร์ต (จัดการโดยยูเอสจีเอส [USGS] — ShakeAlert) ที่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าเป็นวินาทีเพื่อปกป้องชีวิต/ทรัพย์สิน (ครอบคลุมบางรัฐของสหรัฐฯ) ไม่ใช่รอพฤติกรรมสัตว์. shakealert.org+2USGS Earthquake Hazards+2
  • เหตุอากาศรุนแรง/ภัยอื่น ๆ ให้ติดตาม วิทยุสภาพอากาศทุกภัยขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นโอเอเอ [NOAA]) และประกาศเตือนจากรัฐอย่างต่อเนื่อง 24 ชม. รวมถึงแนวทาง “พร้อมรับมือ (Ready.gov)” ของสหรัฐฯ ที่สรุปช่องทางแจ้งเตือนฉุกเฉิน. National Weather Service+2NOAA+2

🐾 เลี้ยงแมวอย่างปลอดภัย: ลดความเสี่ยงโรค–เพิ่มคุณภาพชีวิต

  • ซีดีซี (CDC) แนะนำดูแลกระบะทราย เปลี่ยนทุกวัน/ล้างมือทุกครั้ง และรู้เท่าทันโรคจากแมว (เช่น ทอกโซพลาสโมซิส) เพื่อลดความเสี่ยงต่อคนในบ้าน โดยเฉพาะผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง/สตรีตั้งครรภ์. CDC+1
  • โดยรวม ซีดีซี (CDC) และ เอ็นไอเอช (NIH) ระบุว่าการเลี้ยงสัตว์มี ข้อดีต่อสุขภาพจิต–สังคม แต่ควบคู่กับ สุขอนามัยและการพาสัตว์พบสัตวแพทย์สม่ำเสมอ ตามคำแนะนำหน่วยงานรัฐ. CDC+1

🧩 สรุปเชิงหลักฐาน: “สัมผัสที่ 6” ยังไม่พิสูจน์—แต่แมวช่วยเราได้ในมิติสุขภาพ

  • ณ ปัจจุบัน ยูเอสจีเอส (USGS) ยืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สัตว์เลี้ยง (รวมแมว) จะทำนายแผ่นดินไหว/ภัยพิบัติได้อย่างเชื่อถือได้ ขณะที่ เอ็นไอเอช (NIH) และ ซีดีซี (CDC) ยอมรับประโยชน์ด้าน ลดความเครียด–ความโดดเดี่ยว–สนับสนุนทางสังคม ของการเลี้ยงแมวต่อมนุษย์ ซึ่งเป็นการ “ปกป้องใจ” มากกว่าปกป้องแบบเหนือธรรมชาติ. USGS+2NIH News in Health+2

✅ คู่มือปฏิบัติสำหรับผู้อ่าน

  1. ติดตามระบบเตือนภัยของรัฐ: สมัครและเปิดใช้งาน เชคอเลิร์ต (USGS—ShakeAlert) และฟัง วิทยุเอ็นโอเอเอ (NOAA Weather Radio); อย่าพึ่งสัญชาตญาณสัตว์เป็นหลัก. shakealert.org+1
  2. ดูแลความปลอดภัย–สุขอนามัยของแมว: ทำความสะอาดกระบะทราย/ล้างมือ/พบบุคลากรสัตวแพทย์ตามความเหมาะสม ตามคำแนะนำ ซีดีซี (CDC). CDC
  3. ใช้ประโยชน์เชิงสุขภาพจากการเลี้ยงสัตว์อย่างมีสติ: ให้เวลาคุณภาพกับสัตว์เลี้ยงเพื่อ ลดความเครียด และ เสริมแรงใจ ตามหลักฐานของ เอ็นไอเอช (NIH); หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้พึ่งเตือนภัยของรัฐเป็นอันดับแรก. NIH News in Health

🧾 แหล่งอ้างอิง

  • สำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส [USGS]) — คำอธิบาย “สัตว์ทำนายแผ่นดินไหวได้หรือไม่” และบทบาท เชคอเลิร์ต (ShakeAlert) ระบบเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้า. USGS+2USGS Earthquake Hazards+2
  • องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นโอเอเอ [NOAA])วิทยุสภาพอากาศทุกภัย (NOAA Weather Radio All Hazards) สำหรับประกาศเตือน 24 ชม. National Weather Service+1
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) — หน้าความรู้ “แมว” ในโครงการ Healthy Pets, Healthy People และแนวทางสุขอนามัย/ทอกโซพลาสโมซิส. CDC+1
  • สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอช [NIH]) — บทความ NIH News in Health: The Power of Pets ว่าด้วยประโยชน์ต่อความเครียด/ความดัน/สังคม. NIH News in Health
  • พร้อมรับมือ (Ready.gov; สังกัดกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ: ดีเอชเอส [DHS]) — ช่องทางการเตือนภัยและการแจ้งเตือนฉุกเฉิน. Ready

หมายเหตุบรรณาธิการ: บทความนี้ให้ข้อมูลตามหลักฐานจากหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่คำแนะนำเฉพาะบุคคล หากคุณกังวลพฤติกรรม/สุขภาพของแมว หรือมีคำถามด้านความปลอดภัยในภาวะฉุกเฉิน โปรดปรึกษาสัตวแพทย์และปฏิบัติตามระบบเตือนภัยของรัฐเสมอ.

Posted on

📱 ปกป้องสภาพจิตใจจากโซเชียล: เทคนิคเลี่ยงเนื้อหาที่รบกวนอารมณ์

สรุปข่าว: หลายประเทศและหน่วยงานรัฐออกคำแนะนำและกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อลดการเห็นคอนเทนต์ที่ชวนสะเทือนอารมณ์หรือเป็นอันตราย โดยประชาชนสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยการตั้งค่าบัญชี ลดการรับสื่อที่มากเกินไป และใช้ช่องทางร้องเรียนเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือเป็นการล่วงละเมิด พร้อมกับแนวทางดูแลสุขภาพจิตอย่างเป็นระบบจากหน่วยงานรัฐด้านสาธารณสุข. HHS.gov+2CDC+2


🧭 ภาพรวม: ทำไมการ “จำกัดการรับสื่อ” จึงสำคัญ

  • หน่วยงานรัฐด้านสุขภาพจิตชี้ว่า การรับสื่อเหตุการณ์สะเทือนใจมากเกินไป อาจเพิ่มความเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ และทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงควร ติดตามข่าวสารเท่าที่จำเป็นและตั้งขอบเขตเวลา ในการเสพสื่อ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุวิกฤตระดับสังคมหรือโลก. CDC+2SAMHSA+2
  • สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ (สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกา [U.S. Surgeon General, HHS]) เตือนว่าแม้โซเชียลมีเดียมีประโยชน์ แต่ยัง ขาดหลักฐานว่าปลอดภัยพอสำหรับเยาวชน และแนะนำให้ครอบครัว/โรงเรียนกำหนดแนวทางใช้สื่ออย่างรอบคอบ. HHS.gov+2HHS.gov+2

🔧 ขั้นตอนเชิงเทคนิคในแพลตฟอร์ม: ตั้งค่าให้ฟีด “สะอาดขึ้น”

  • ปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว/โฆษณา: ล้างคุกกี้ประวัติ, ปิดโฆษณาแบบปรับให้ตรงบุคคล (personalized ads) และใช้ตัวบล็อกโฆษณาเมื่อเหมาะสม—เป็นมาตรการลดการ “ไหลเข้ามา” ของคอนเทนต์/โฆษณาที่ไม่ต้องการ ตามคำแนะนำของ คณะกรรมการการค้าสหรัฐอเมริกา (เอฟทีซี [FTC]). Consumer Advice+1
  • ใช้เครื่องมือบล็อก–ปิดเสียง–ซ่อนคำ (mute/block/filter) ในแพลตฟอร์ม เพื่อหลีกเลี่ยงคำหลัก รูปแบบเนื้อหา หรือบัญชีที่ก่อกวนความสงบใจ ทั้งนี้ผู้ให้บริการในสหราชอาณาจักรมี หน้าที่ลดความเสี่ยงและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย ตาม กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ 2023 (Online Safety Act 2023) ที่กำกับโดย สำนักงานกำกับดูแลสื่อสารแห่งสหราชอาณาจักร (ออฟคอม [Ofcom]). GOV.UK+1

🧑‍⚕️ สุขภาพจิตต้องมาก่อน: วิธีดูแลตนเองตามหลักฐาน

  • จำกัดเวลาเสพข่าว/โซเชียลรายวัน, จัดตารางพักสายตา, เช็กอารมณ์ตัวเองสม่ำเสมอ เป็นแนวทางที่หน่วยงานรัฐอย่าง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) และ สำนักงานบริหารสารเสพติดและสุขภาพจิต (แซมซา [SAMHSA]) แนะนำเมื่อเผชิญข่าวเหตุร้าย/ภัยพิบัติ. CDC+2SAMHSA+2
  • ให้ความสำคัญกับการนอนและลดแสงสีฟ้า (blue light) ก่อนนอน เพื่อช่วยให้นอนหลับดีขึ้น—ข้อแนะนำจาก สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอ็มเอช [NIMH], ภายใต้สถาบันสุขภาพแห่งชาติ: เอ็นไอเอช [NIH]). National Institute of Mental Health
  • หากมีอาการ วิตกกังวลรุนแรง/ยืดเยื้อ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต โดยข้อมูลอ้างอิงอาการและทางเลือกการรักษามีบนเว็บไซต์ของ เอ็นไอเอ็มเอช (NIMH). National Institute of Mental Health

🛡️ เมื่อพบเนื้อหาล่วงละเมิดหรือผิดกฎหมาย: ช่องทางร้องเรียนของรัฐ

  • ในออสเตรเลีย ประชาชนสามารถ ร้องเรียนคอนเทนต์บูลลี่ผู้ใหญ่, คุกคาม, แชร์ภาพส่วนตัวโดยไม่ได้ยินยอม และเนื้อหาผิดกฎหมาย/จำกัด ผ่าน คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์ (eSafety Commissioner) ซึ่งมีอำนาจประสานลบเนื้อหา. eSafety Commissioner+1
  • ในสหภาพยุโรป มี ศูนย์อินเทอร์เน็ตปลอดภัย (Safer Internet Centres) และช่องทางของ คณะกรรมาธิการยุโรป สำหรับรายงานเนื้อหาผิดกฎหมายและรับคำปรึกษา. Digital Strategy+1
  • ขณะที่ ออฟคอม (Ofcom) ในสหราชอาณาจักร กำหนด มาตรการปกป้องเด็กกว่า 40 ข้อ ที่แพลตฟอร์มต้องนำไปใช้ภายใต้กฎหมายใหม่ ซึ่งรวมถึงกลไกจัดการ/ลบเนื้อหาที่เป็นอันตราย. www.ofcom.org.uk

👨‍👩‍👧 สำหรับพ่อแม่และโรงเรียน: กรอบดูแลการใช้โซเชียลของเยาวชน

  • สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกา (HHS) แนะนำให้ครอบครัว กำหนดกติกาการใช้โซเชียล, เลือกเวลา–พื้นที่ปลอดหน้าจอ และร่วมพูดคุยเรื่อง “เนื้อหาที่ไม่อยากเห็น” อย่างสม่ำเสมอ. โรงเรียนควรสอน ทักษะรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล และมีระบบช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ. HHS.gov+1
  • แซมซา (SAMHSA) เผยแพร่แนวทางสำหรับครู/บุคลากรโรงเรียนเพื่อช่วยนักเรียน รับมือสื่อรายงานเหตุร้าย และจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางอารมณ์. SAMHSA

🧱 เช็กลิสต์ “ปกป้องความสงบของใจ” ที่ทำได้ทันที

  1. กำหนดเวลารับสื่อ (เช้า–เย็นสั้น ๆ), ปิดการแจ้งเตือนบางคำ/บัญชี, และ เลี่ยงการดูซ้ำ ๆ ของภาพ/คลิปชวนสะเทือนใจ (คำแนะนำเชิงจิตวิทยาวิกฤตจาก ซีดีซี [CDC] และ แซมซา [SAMHSA]). CDC+1
  2. อัปเดตการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว/โฆษณา และล้างร่องรอยการติดตามตามคำแนะนำของ เอฟทีซี (FTC). Consumer Advice
  3. ก่อนนอนงดหน้าจอ–ลดแสงสีฟ้า, ทำกิจกรรมผ่อนคลาย เพื่อคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น (เอ็นไอเอ็มเอช [NIMH]). National Institute of Mental Health
  4. ใช้ช่องทางร้องเรียนของรัฐ (เช่น eSafety Commissioner ในออสเตรเลีย, ศูนย์อินเทอร์เน็ตปลอดภัย ในอียู, หรือกลไกที่แพลตฟอร์มต้องมีตาม กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ในสหราชอาณาจักร). eSafety Commissioner+2Digital Strategy+2

🏛️ นโยบาย–กฎเกณฑ์ที่ผู้ใช้ควรรู้ (อัปเดตสำคัญ)

  • หลายประเทศเริ่ม บังคับใช้มาตรการคุ้มครองผู้ใช้และเยาวชน บนแพลตฟอร์ม เช่น กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ของสหราชอาณาจักร (Ofcom) และกรอบการจำกัดเนื้อหา/การร้องเรียนของ eSafety Commissioner ในออสเตรเลียซึ่งกำลังขยายอำนาจจัดการเนื้อหาอันตราย. www.ofcom.org.uk+1

🧾 แหล่งอ้างอิงจากหน่วยงานภาครัฐ

  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี [CDC]) — ข้อแนะนำการรับมือเหตุร้าย/วิกฤต, จิตวิทยาในภาวะวิกฤต. CDC+1
  • สำนักงานบริหารสารเสพติดและสุขภาพจิต (แซมซา [SAMHSA]) — เคล็ดลับรับมือสื่อเหตุร้าย, เอกสารดูแลสุขภาพจิตเน้นจำกัดการรับสื่อ. SAMHSA+2SAMHSA+2
  • สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (เอ็นไอเอ็มเอช [NIMH], ภายใต้สถาบันสุขภาพแห่งชาติ: เอ็นไอเอช [NIH]) — การดูแลสุขภาพจิต, การนอนและความวิตกกังวล. National Institute of Mental Health+1
  • คณะกรรมการการค้าสหรัฐอเมริกา (เอฟทีซี [FTC]) — การปกป้องความเป็นส่วนตัวออนไลน์, การจัดการการติดตามและโฆษณาแบบปรับให้ตรงบุคคล. Consumer Advice+1
  • สำนักงานกำกับดูแลสื่อสารแห่งสหราชอาณาจักร (ออฟคอม [Ofcom]) และ กฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ 2023 — หน้าที่ของแพลตฟอร์มในการลดความเสี่ยงและลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย. GOV.UK+1
  • คณะกรรมการความปลอดภัยออนไลน์ (eSafety Commissioner, ออสเตรเลีย) — ช่องทางร้องเรียนและการจัดการเนื้อหาออนไลน์ที่เป็นอันตราย. eSafety Commissioner+1
  • คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) และ ศูนย์อินเทอร์เน็ตปลอดภัย — ระบบรายงานและความร่วมมือเพื่อลดเนื้อหาผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม. Digital Strategy+1
  • สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่ประจำสหรัฐอเมริกา (HHS)คำแนะนำด้านโซเชียลมีเดียและสุขภาพจิตของเยาวชน (ฉบับเต็ม/สรุปผู้บริหาร). HHS.gov+1

Posted on

🐾 รู้ก่อนสาย! ข้อดีข้อเสียของการให้แมวหมานอนบนเตียง

การนำน้องแมวหรือสุนัขมานอนร่วมบนเตียงกับเจ้าของกลายเป็นเรื่องปกติในหลายครัวเรือน โดยเฉพาะผู้ที่มองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว แต่พฤติกรรมนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่อสุขภาพกาย ใจ และคุณภาพการนอนของมนุษย์ ซึ่งงานวิจัยหลายฉบับได้วิเคราะห์ผลลัพธ์เหล่านี้ไว้อย่างน่าสนใจ


💤 ข้อดีของการนอนร่วมกับแมวหรือสุนัข

🧘‍♀️ 1. ลดความเครียดและสร้างความรู้สึกปลอดภัย

งานวิจัยจากศูนย์เวชศาสตร์การนอนหลับแห่งเมโยคลินิก (Mayo Clinic Center for Sleep Medicine) ปี 2015 พบว่าผู้ที่นอนกับสัตว์เลี้ยงบางคนรายงานว่ารู้สึก “ปลอดภัยและสบายใจ” มากขึ้น โดยสัตว์เลี้ยงทำหน้าที่คล้ายกับ “ผ้าห่มแห่งความมั่นคง” (security blanket) ซึ่งช่วยบรรเทาความวิตกกังวลและความเครียดได้

อ้างอิง: Krahn, L. E., et al. (2015). “The effect of dogs on human sleep in the home sleep environment.” Mayo Clinic Proceedings.

🧠 2. ส่งเสริมสุขภาพจิตและลดความรู้สึกโดดเดี่ยว

การมีสัตว์เลี้ยงนอนข้าง ๆ อาจช่วยลดภาวะซึมเศร้า (depression) และลดความรู้สึกโดดเดี่ยว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่อยู่ตามลำพัง งานวิจัยในวารสารแอนโธรโซออส (Anthrozoös) ปี 2017 แสดงให้เห็นว่าผู้สูงวัยที่นอนร่วมกับสุนัขมีแนวโน้มพึงพอใจกับชีวิตมากขึ้น

อ้างอิง: Gee, N. R., et al. (2017). “The role of pet dogs in older adults’ sleep routines and quality of life.” Anthrozoös.

🐾 3. เสริมสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยง

การนอนร่วมกันช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนแห่งความรักและความผูกพันที่เรียกว่าออกซิโทซิน (oxytocin) ส่งผลให้ทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงรู้สึกใกล้ชิดและผูกพันกันมากขึ้น

อ้างอิง: Beetz, A., et al. (2012). “Psychosocial and psychophysiological effects of human-animal interactions: the possible role of oxytocin.” Frontiers in Psychology.


🌙 ข้อเสียของการนอนร่วมกับแมวหรือสุนัข

🌪 1. รบกวนคุณภาพการนอน (sleep quality)

แม้ว่าการนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยงจะช่วยให้รู้สึกปลอดภัย แต่พฤติกรรมของพวกมันที่ตื่นตัวหรือเคลื่อนไหวในเวลากลางคืนอาจรบกวนช่วงหลับลึกได้ งานวิจัยของเมโยคลินิกปี 2017 ที่ใช้เครื่องติดตามการเคลื่อนไหวขณะหลับหรือแอคทิกราฟี (actigraphy) พบว่าคนที่นอนร่วมกับสุนัขมักมีการตื่นระหว่างคืนบ่อยขึ้น

อ้างอิง: Krahn, L. E., et al. (2017). “Effect of dogs on human sleep in the home sleep environment.” Mayo Clinic Proceedings.

🐾 2. เสี่ยงต่อการแพ้หรือโรคผิวหนัง

สัตว์เลี้ยงอาจนำเชื้อโรค แบคทีเรีย (bacteria) หรือสารก่อภูมิแพ้ (allergens) เข้าสู่ที่นอน ซึ่งอาจกระตุ้นอาการในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้หรือโรคหอบหืดได้ง่ายขึ้น

อ้างอิง: American Academy of Allergy, Asthma & Immunology (AAAAI). “Pet Allergies.”

😴 3. ทำให้เกิดพฤติกรรมพึ่งพาเกินไป

สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจติดเจ้าของมากเกินไปจากการนอนด้วยกันทุกคืน ส่งผลให้เกิดภาวะวิตกกังวลเมื่อถูกแยกจากเจ้าของ (separation anxiety) และอาจส่งผลในระยะยาวทั้งกับสัตว์และมนุษย์

อ้างอิง: Overall, K. L. (2013). “Manual of Clinical Behavioral Medicine for Dogs and Cats.”


🛏️ คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการนอนร่วมกับสัตว์เลี้ยง

  • หากไม่มีปัญหาเรื่องการแพ้หรือการนอนหลับ การนอนกับสัตว์เลี้ยงอาจเป็นประโยชน์ทางจิตใจ
  • ควรหมั่นอาบน้ำและดูแลความสะอาดของสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ
  • อาจใช้ผ้าปูเตียงเฉพาะสำหรับสัตว์ หรือฝึกให้สัตว์เลี้ยงนอนเฉพาะบริเวณปลายเตียงเพื่อลดการรบกวน

🔚 สรุป

การนอนร่วมกับแมวหรือสุนัขมีทั้งข้อดีในด้านจิตใจ ความสัมพันธ์ และความรู้สึกปลอดภัย แต่ก็มีข้อเสียที่เกี่ยวกับคุณภาพการนอน สุขอนามัย และพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงในระยะยาว การตัดสินใจจึงควรพิจารณาจากบริบทเฉพาะของแต่ละคนและสัตว์เลี้ยงของตนเอง


📚 แหล่งอ้างอิง

  1. Krahn, L. E., et al. (2015). The effect of dogs on human sleep in the home sleep environment. Mayo Clinic Proceedings.
  2. Gee, N. R., et al. (2017). The role of pet dogs in older adults’ sleep routines and quality of life. Anthrozoös.
  3. Beetz, A., et al. (2012). Psychosocial and psychophysiological effects of human-animal interactions: the possible role of oxytocin. Frontiers in Psychology.
  4. American Academy of Allergy, Asthma & Immunology. Pet Allergies.
  5. Overall, K. L. (2013). Manual of Clinical Behavioral Medicine for Dogs and Cats.

Posted on

Paralysis Demon: ภูตในยามหลับหรือภาพหลอนจากสมอง? วิเคราะห์ปรากฏการณ์ปีศาจอัมพาตด้วยงานวิจัย”

เมื่อร่างกายตื่นแต่จิตใจยังติดอยู่ในฝัน
หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ “สะดุ้งตื่นกลางดึก รู้สึกเหมือนถูกกดทับ พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ และรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในห้อง” ปรากฏการณ์นี้มักเรียกกันว่า “Paralysis Demon” หรือ “ปีศาจอัมพาต” โดยเป็นคำที่นิยมใช้บนโลกออนไลน์ เพื่ออธิบายประสบการณ์ของ “sleep paralysis” หรือ “ภาวะผีอำ” ในทางวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากกลไกของสมอง ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ

Sleep Paralysis คืออะไร?

Sleep Paralysis หรือ อาการอัมพาตขณะหลับ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนผ่านระหว่างช่วงหลับลึก (non-REM) และช่วงหลับฝัน (REM sleep) หรือระหว่างการตื่นนอน
ในช่วง REM สมองจะยังคงทำงานเพื่อสร้างความฝัน แต่ร่างกายจะถูก “ล็อก” เพื่อไม่ให้เราขยับตามความฝัน หากเกิดการตื่นขึ้นมาก่อนที่สมองจะปลดล็อกร่างกาย เราจะรู้สึกเหมือนถูกตรึง ขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ และบางครั้งอาจรู้สึกถึง “การปรากฏตัว” ของสิ่งลึกลับใกล้ตัว

Paralysis Demon: จากภาพหลอนในสมองสู่ปีศาจในความเชื่อ

งานวิจัยจำนวนมากอธิบายว่าภาพของ “Paralysis Demon” เป็นผลจากอาการ hypnopompic hallucination (ภาพหลอนขณะตื่น) ซึ่งเกิดจากความสับสนของสมองที่ยังไม่แยกความจริงออกจากความฝันในช่วงตื่นนอน

📌 งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Waterloo ประเทศแคนาดา (2012) พบว่า 20-30% ของประชากรทั่วไปเคยประสบภาวะนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มเห็นภาพหลอนมากที่สุดคือผู้ที่มีความเครียด วิตกกังวล และนอนผิดเวลา

อ้างอิง: Cheyne JA, Rueffer SD, Newby-Clark IR. Hypnagogic and hypnopompic hallucinations during sleep paralysis: Neurological and cultural construction of the night-mare. Conscious Cogn. 1999;8(3):319-337.
https://doi.org/10.1006/ccog.1999.0404

ภาพหลอนที่ผู้ประสบมักพบ ได้แก่:

  • เงาดำเคลื่อนที่ในห้อง
  • สิ่งมีชีวิตปีศาจนั่งทับหน้าอก
  • เสียงกระซิบ หรือเสียงฝีเท้า
  • ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่ง “ชั่วร้าย” อยู่ใกล้

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด Sleep Paralysis และภาพหลอน

  1. ความเครียดและภาวะวิตกกังวลสูง
    การหลับไม่ลึกจากความเครียด ทำให้สมองหลุดเข้าสู่ภาวะ sleep paralysis ได้ง่ายขึ้น
  2. ภาวะขาดการนอน หรือการนอนผิดเวลา
    คนที่นอนน้อย หรือนอนแบบไม่เป็นเวลา เช่น นักศึกษา คนทำงานกะกลางคืน มีโอกาสสูง
  3. การใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์
    ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
  4. โรคจิตเภท หรือกลุ่มอาการผิดปกติทางจิตบางประเภท
    แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติ

📌 งานวิจัยจาก Sleep Medicine Reviews (2011) ระบุว่า ผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลเรื้อรัง มีโอกาสเผชิญภาวะ sleep paralysis และภาพหลอนมากกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า

อ้างอิง: Sharpless BA, Barber JP. Lifetime prevalence rates of sleep paralysis: A systematic review. Sleep Med Rev. 2011;15(5):311-315.
https://doi.org/10.1016/j.smrv.2011.01.007

วิธีจัดการและป้องกัน Sleep Paralysis

  • สร้างสุขอนามัยการนอนที่ดี (Sleep hygiene) เช่น เข้านอน-ตื่นให้ตรงเวลา
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน
  • ลดความเครียดด้วยการทำสมาธิหรือโยคะ
  • หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ซึ่งเป็นท่าที่กระตุ้นภาวะนี้ในหลายกรณี
  • หากเกิดขึ้นบ่อย ควรพบแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อประเมินภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับเรื้อรังหรือ PTSD

สรุป: ปีศาจที่อยู่ในสมอง ไม่ใช่ในความเชื่อ

ปรากฏการณ์ “Paralysis Demon” ที่ดูน่ากลัวนั้น แท้จริงแล้วคือกลไกหนึ่งของสมองที่ทำงานผิดจังหวะระหว่างการหลับและการตื่น ภาพหลอนและความรู้สึกหวาดกลัวเป็นสิ่งที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จึงเป็นการคลายความกลัว และช่วยส่งเสริมให้เราดูแลสุขภาพการนอนของตนเองได้ดียิ่งขึ้น.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Cheyne JA, Rueffer SD, Newby-Clark IR. (1999). Hypnagogic and hypnopompic hallucinations during sleep paralysis: Neurological and cultural construction of the night-mare. Conscious Cogn. 8(3):319-337.
    https://doi.org/10.1006/ccog.1999.0404
  2. Sharpless BA, Barber JP. (2011). Lifetime prevalence rates of sleep paralysis: A systematic review. Sleep Med Rev. 15(5):311-315.
    https://doi.org/10.1016/j.smrv.2011.01.007
Posted on

งานที่ทำส่งผลต่อใจ! เผยอาชีพที่เสี่ยงภาวะซึมเศร้าและเครียดเรื้อรังสูงสุด

งานวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเผยว่า ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตของคนทำงานแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรมและประเภทของอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพในกลุ่มบริการ ร้านอาหาร สื่อบันเทิง และดูแลสุขภาพ มีแนวโน้มเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรัง และภาวะทุกข์อย่างรุนแรงมากกว่ากลุ่มอาชีพอื่น ๆ

ความเครียดไม่เท่ากันในแต่ละสายงาน

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากโครงการสำรวจสุขภาพประชากร Behavioral Risk Factor Surveillance System (BRFSS) ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างกว่า 536,000 คน ใน 37 มลรัฐของสหรัฐฯ ช่วงปี 2015–2019 โดยเน้นเฉพาะกลุ่มแรงงานวัยผู้ใหญ่ที่มีงานทำ

ผลการสำรวจพบว่า:

  • 14.2% ของแรงงานทั้งหมดเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะซึมเศร้า
  • 9.6% มีความเครียดเรื้อรัง (Frequent Mental Distress – FMD)
  • 4.1% เผชิญกับภาวะทุกข์อย่างรุนแรงในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
  • ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ารายงานว่าในหนึ่งเดือนมี “วันที่รู้สึกไม่ดีทางจิตใจ” (MUD) เฉลี่ย 9.5 วัน เทียบกับ 2.2 วัน ในกลุ่มที่ไม่มีภาวะนี้

สายงานบริการและสื่อมีแนวโน้มเสี่ยงสูง

เมื่อวิเคราะห์ตามสายอาชีพ พบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่:

  • งานบริการอาหารและเครื่องดื่ม
  • งานดูแลสุขภาพ
  • งานศิลปะ บันเทิง และสื่อ
  • พนักงานขาย และบริการลูกค้า

กลุ่มเหล่านี้รายงานระดับภาวะซึมเศร้าและความเครียดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของแรงงานทั่วไป โดยเฉพาะอาชีพในภาคบริการและร้านอาหารซึ่งมีภาวะ “ทุกข์รุนแรง” สูงถึง 6.8%

ปัจจัยเสี่ยงด้านประชากร

นอกจากอาชีพแล้ว ปัจจัยประชากรที่สัมพันธ์กับสุขภาพจิต ได้แก่:

  • เพศหญิง มีภาวะซึมเศร้ามากกว่าเพศชายเกือบ 2 เท่า
  • ผู้มีอายุ 18–34 ปี มีแนวโน้มเครียดและซึมเศร้าสูงที่สุดในทุกช่วงวัย
  • ผู้ที่ไม่มีคู่ และ ไม่มีประกันสุขภาพ เผชิญกับความเครียดและภาวะทุกข์ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างชัดเจน

กลุ่มงานแรงงานหนักกลับรายงานสุขภาพจิตต่ำ แต่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูง

น่าสังเกตว่าแม้อาชีพในภาคแรงงาน เช่น เหมืองแร่, การก่อสร้าง และ เกษตรกรรม รายงานภาวะซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่อุตสาหกรรมเหล่านี้กลับมีอัตราการฆ่าตัวตายของผู้ชายสูงที่สุดในประเทศ สะท้อนความเป็นไปได้ว่ากลุ่มนี้อาจไม่เข้าถึงบริการสุขภาพจิตเพราะอุปสรรคด้านสถานที่ การรับรู้ หรือความอับอายจากสังคม.

ทางออกที่ควรพิจารณา

ผู้วิจัยชี้ว่าผลลัพธ์นี้เน้นย้ำความจำเป็นในการจัดการปัจจัยเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยอาจนำแนวทางของ NIOSH Total Worker Health ซึ่งผสานสุขภาพกายและใจเข้ากับนโยบายแรงงาน มาใช้เพื่อลดผลกระทบเชิงจิตใจของแรงงานในแต่ละกลุ่มอาชีพ.

แหล่งที่มา:
Sussell AL, et al. US Workers’ Self-Reported Mental Health Outcomes by Industry and Occupation. JAMA Network Open. 2025;6(6):e2514212. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.14212

Posted on

เปิดผลวิจัยชิ้นใหม่! โควิดทำเด็กสุขภาพแย่ลง แต่ไม่ใช่เพราะออนไลน์

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เด็ก ๆ ทั่วโลกต้องเรียนออนไลน์ อยู่บ้าน และใช้ชีวิตแบบจำกัดการเคลื่อนไหวมากขึ้น ซึ่งหลายคนสงสัยว่าแบบเรียนออนไลน์นี่แหละตัวร้ายที่ทำให้เด็กไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

แต่ผลการวิจัยล่าสุดจากสหรัฐฯ ที่วิเคราะห์ข้อมูลจากนักเรียนกว่า 150,000 คนใน 264 โรงเรียนกลับพบว่า เด็กฟิตน้อยลงจริงในช่วงโควิด-19 แต่ไม่ใช่เพราะเรียนออนไลน์!

เด็กออกกำลังกายน้อยลง จนร่างกายไม่ฟิต

ผลวิจัยระบุว่า ระหว่างช่วงโควิด-19 เด็กมีแนวโน้ม “ไม่ผ่านเกณฑ์ความฟิต” ทั้งในด้าน

  • สมรรถภาพหัวใจและปอด (Cardiorespiratory Fitness: CRF)
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal Fitness: MSF)

เด็กผู้หญิงมีค่าความฟิตลดลงเฉลี่ย 0.55 mL/kg/min ส่วนเด็กผู้ชายลดลงมากกว่านั้น คือ 0.86 mL/kg/min ซึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงระดับความสามารถในการออกแรงต่อเนื่อง

ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ไม่ฟิต แต่คือการ “ไม่ได้ขยับตัว”

สิ่งที่น่าสนใจคือ โรงเรียนที่ให้เด็กเรียนออนไลน์หรือเรียนแบบสลับ (hybrid) นานกว่า 15 สัปดาห์ กลับมีสัดส่วนเด็กที่ “ผ่านเกณฑ์ความฟิต” สูงกว่าโรงเรียนที่เรียนออนไลน์ในระยะสั้น

นักวิจัยเชื่อว่า ไม่ใช่การเรียนออนไลน์ที่ทำให้ร่างกายเด็กแย่ลง แต่เป็นเพราะช่วงโควิดนั้น เด็กถูกห้ามเล่นกีฬา ไม่ได้เข้าสังคม ไม่มีกิจกรรมกลางแจ้ง และไม่มีโอกาสได้ขยับร่างกายตามปกติ

ฟิตน้อยลง อ้วนมากขึ้น เครียดง่ายขึ้น

เมื่อเด็กไม่ได้ออกกำลังกาย ผลที่ตามมาคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีโอกาสเกิดโรคอ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว

ไม่เพียงแค่นั้น การเคลื่อนไหวน้อยยังส่งผลต่อ สุขภาพจิต เด็กด้วย เช่น อาการเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง

ข้อเสนอจากงานวิจัย: ต้องมีแผนดูแลสุขภาพเด็กในยามวิกฤติ

นักวิจัยเสนอว่า หากในอนาคตเกิดวิกฤติเช่นโรคระบาดหรือภัยธรรมชาติอีก ผู้ปกครอง ครู และผู้กำหนดนโยบายควรมีแผนรับมือเพื่อช่วยให้เด็กยังสามารถรักษาความฟิตได้ เช่น:

  • การจัดคลาสออกกำลังกายออนไลน์
  • กิจกรรมออกกำลังกายที่ทำในบ้านได้
  • สนับสนุนการเล่นกีฬาในครอบครัว

สรุป

โควิด-19 ไม่ได้แค่กระทบการเรียนของเด็ก แต่ยังทำให้สุขภาพร่างกายของพวกเขาถดถอยอย่างชัดเจน เราไม่ควรมองข้ามเรื่องความฟิตของเด็กในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน การออกกำลังกายไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น และเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ.


แหล่งที่มา:
Pavlovic A, et al. Longitudinal Outcomes of the COVID-19 Pandemic on Youth Physical Fitness. JAMA Network Open. Published June 4, 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.13721