Posted on

🥫มะเขือเทศกับการลดความดันโลหิตสูง: วิธีธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

1. มะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิตสูง

2. สารสกัดจากมะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิต

3. น้ำมะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิต

4. ไลโคปีนในมะเขือเทศช่วยลดการอักเสบและลดความดันโลหิต

ข้อสรุป

หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

แหล่งอ้างอิง :

Posted on

🍒ผลไม้ตระกูลเบอรี่: ประโยชน์ต่อสุขภาพและข้อควรระวังที่ควรรู้

🍇 ภาพรวม: ทำไม “เบอรี่” จึงน่าสนใจ

ผลไม้ตระกูลเบอรี่โดยทั่วไปให้พลังงานต่ำ มีใยอาหาร (fiber) วิตามินซี (vitamin C) แมงกานีส (manganese) และอุดมด้วยสารพฤกษเคมีอย่าง แอนโทไซยานิน (anthocyanins) และเอลลาจิแทนนิน/เอลลาจิกแอซิด (ellagitannins/ellagic acid) ซึ่งเป็นกลุ่มโพลีฟีนอล (polyphenols) ที่ถูกศึกษาอย่างกว้างขวางเรื่องหัวใจและการอักเสบ แม้ค่าทางโภชนาการจะแตกต่างตามชนิดและฤดูกาล แต่ “เบอรี่ส่วนใหญ่” เป็นแหล่งใยอาหารและวิตามินซีที่ดีตามฐานข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) – FoodData Central) และแนวทางโภชนาการ 2020–2025 (Dietary Guidelines for Americans) ของสหรัฐฯ ที่เน้นการบริโภคผลไม้เป็นประจำ. FoodData CentralDietary Guidelines


❤️ หัวใจและหลอดเลือด: ความดัน ไขมัน การอักเสบ

  • หลักฐานเชิงสังเคราะห์ชี้ว่า “การบริโภคเบอรี่” อาจช่วยลดความดันตัวบน (systolic blood pressure) ได้เล็กน้อยในภาพรวมของการทดลองแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trials) แม้ผลจะไม่สม่ำเสมอทุกการศึกษา (บางเมตาอะนาลิซิสพบผลชัด, บางฉบับไม่พบ). NaturePMC
  • งานทบทวนและการทดลองกับ “สตรอว์เบอร์รี” รายงานการลดโปรตีนอักเสบซีอาร์พี (C-reactive protein: CRP) และอาจช่วยปรับภาพรวมไขมันในกลุ่มที่มีไขมันสูงตั้งต้น โดยผลชัดกว่าเมื่อใช้ “ปริมาณค่อนข้างสูง” ของสตรอว์เบอร์รีแห้งบด (freeze-dried). PubMedMDPI
  • ในระดับ “สารประกอบ” เมตาอะนาลิซิสของแอนโทไซยานิน (anthocyanins) พบแนวโน้มช่วยตัวชี้วัดเมตาบอลิซึมบางรายการ (กลูโคส ไขมัน) แต่อาจไม่ได้ส่งผลต่อความดันทุกกรณี. PMC

สรุปเชิงปฏิบัติ: การ “เพิ่มเบอรี่ในภาพรวมอาหารที่ดี” น่าจะเป็นประโยชน์ต่อหัวใจ แต่ไม่ใช่ “ยาเดี่ยว” แทนพฤติกรรมสุขภาพอื่น เช่น ออกกำลังกาย คุมโซเดียม และกินผักผลไม้อื่น ๆ ควบคู่กัน


🩸 น้ำตาลในเลือดและภาวะดื้อต่ออินซูลิน

  • การทดลองในคนอ้วนที่ดื้อต่ออินซูลินพบว่า “บลูเบอร์รีในสมูทตี้” ช่วยปรับความไวต่ออินซูลิน (insulin sensitivity) ดีขึ้น เมื่อเทียบกลุ่มควบคุม. PMC
  • แนวทางการกินสำหรับผู้เป็นเบาหวานจาก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)) และ สมาคมเบาหวานอเมริกัน (American Diabetes Association: ADA) ระบุว่า “ยังคงกินผลไม้ได้” แต่ต้องจัดสัดส่วนคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) และขนาดเสิร์ฟ เช่น เบอรี่สด ¾–1 ถ้วย ≈ คาร์บ ~15 กรัม (โดยประมาณ). CDCAmerican Diabetes Association

สรุปเชิงปฏิบัติ: เลือก “เบอรี่แบบทั้งผล (whole fruit)” แทน “น้ำผลไม้” เพื่อได้ใยอาหาร (fiber) สูงกว่า และจัดสัดส่วนตามแผนคุมคาร์บของแต่ละคน


🧠 สมองและการรู้คิด (cognition)

  • งานทดลองคลินิกใหม่ ๆ ชี้ว่า “ผงสตรอว์เบอร์รีแห้งบดในปริมาณกำหนดต่อวัน” อาจช่วย “ความเร็วการประมวลผล” และลดความดันตัวบน พร้อมเพิ่มความสามารถต้านอนุมูลอิสระในเลือดในผู้ใหญ่บางกลุ่ม ส่วน “บลูเบอร์รี” ก็ถูกศึกษาว่าอาจช่วยด้านความจำในผู้สูงอายุ (หลักฐานกำลังสะสม). ScienceDirectWiley Online Library

🧫 จุลินทรีย์ลำไส้และการอักเสบต่ำระดับ

  • โพลีฟีนอลในเบอรี่ (เช่น แอนโทไซยานิน และเอลลาจิแทนนิน ซึ่งถูกจุลินทรีย์เปลี่ยนเป็นยูโรลิทิน (urolithins)) เกี่ยวข้องกับการปรับองค์ประกอบจุลินทรีย์ลำไส้ และอาจสัมพันธ์กับตัวชี้วัดการอักเสบบางชนิด ลดความเสี่ยงเมตาบอลิซึมในบางรายงาน แต่จำนวน RCT ที่ “ทดสอบทั้งไมโครไบโอมและความดัน” ยังมีน้อย—ตีความด้วยความระมัดระวัง. MDPI

🚻 ระบบทางเดินปัสสาวะ: แครนเบอร์รีกับ “การป้องกัน” UTI

  • หลักฐานทบทวนโดย โคคราเน (Cochrane) อัปเดตปี 2023 ระบุว่า “ผลิตภัณฑ์แครนเบอร์รี” (น้ำ/แคปซูล/เม็ด) ลดความเสี่ยงการเกิด “การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ยืนยันทางเพาะเชื้อ” (symptomatic, culture-verified UTI) ในหญิงที่เป็นซ้ำ เด็ก และผู้ที่เสี่ยงจากหัตถการทางระบบทางเดินปัสสาวะ เมื่อเทียบกับยาหลอก/ไม่รักษา. แต่ “ไม่ได้ใช้แทนยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการที่เป็นแล้ว” และขนาดโปรแอนโทไซยานิดิน (proanthocyanidins: PACs) ที่เหมาะสมยังไม่ชัดเจน. PubMedCochrane Library

⚠️ ข้อควรระวังและ “ข้อเสีย” ที่ควรรู้

  • ยาวาร์ฟาริน (warfarin) กับแครนเบอร์รี 🩺
    มีรายงานกรณีและคำแนะนำด้านความปลอดภัยบางแห่งให้ “ระวัง/หลีกเลี่ยง” การบริโภคแครนเบอร์รีร่วมกับวาร์ฟาริน เพราะอาจเพิ่มฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด แม้งานวิจัยบางชิ้น “ไม่พบ” ผลกระทบที่มีนัยสำคัญก็ตาม ดังนั้นผู้ที่ใช้วาร์ฟารินควร “ปรึกษาแพทย์/เภสัชกร” ก่อนเสมอ. MedlinePlusPMC
  • การแพ้/อาการแพ้อาหารช่องปาก (oral allergy syndrome) 🤧
    ผู้ที่แพ้เกสรเบิร์ช (birch pollen) อาจคันปาก/คอ เมื่อกินผลไม้บางชนิดรวมถึงสตรอว์เบอร์รี—หากมีประวัติภูมิแพ้ควรระวังและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ. AAAAI
  • กรดผลไม้และการสึกกร่อนของผิวฟัน (dental erosion) 🦷
    การรับกรดจากอาหาร/เครื่องดื่มบ่อยครั้ง—including น้ำผลไม้—สัมพันธ์กับความเสี่ยงการสึกกร่อนของเคลือบฟัน แนะนำ “รับประทานพร้อมมื้อ/ไม่อมนานๆ” และดูแลสุขอนามัยช่องปาก. American Dental Association
  • สารตกค้างทางการเกษตรและการล้างผลไม้ 🧴
    รายงานเฝ้าระวังของโครงการตรวจสารตกค้างของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA Pesticide Data Program) พบว่าพืชผลส่วนใหญ่ “อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย” ตามมาตรฐาน; แนวทาง องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แนะนำให้ “ล้างด้วยน้ำไหล” ไม่ใช้สบู่/ผงซักฟอก/น้ำยาล้างผักเชิงพาณิชย์. AMSU.S. Food and Drug AdministrationCDC

🥣 กินเท่าไรจึงเหมาะ และจัดลงจานอย่างไร

  • เป้าหมายผลไม้ต่อวัน
    ผู้ใหญ่ควรบริโภคผลไม้ ประมาณ 1.5–2 ถ้วยมาตรฐาน/วัน ตามข้อเสนอของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) และแนวทางโภชนาการสหรัฐฯ; ด้าน องค์การอนามัยโลก (องค์การอนามัยโลก (WHO)) แนะนำ “ผัก–ผลไม้รวมกัน ≥400 กรัม/วัน”. CDCWorld Health Organization
  • คนไทยและเป้าหมาย 400 กรัม/วัน
    เอกสาร กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้ “ผัก 4–6 ทัพพี + ผลไม้ 2–3 ส่วน/วัน” เพื่อแตะเป้าหมายรวม ~400 กรัม/วัน. dopah.anamai.moph.go.th
  • ทิปส์ใช้งานจริง
    เลือก “ทั้งผล (whole fruit)” เป็นหลัก, ใช้เบอรี่โรยบนโยเกิร์ตรสธรรมชาติ/โอ๊ตมีล, ผสมรวมผลไม้หลากสีในสลัด; ผู้เป็นเบาหวานให้ “นับคาร์บ” ตามกรอบของ ADA และ CDC. American Diabetes AssociationCDC

🛒 คู่มือเลือก–เก็บ–ล้าง แบบสั้นๆ

  • เลือกผลสดที่ “ไม่ช้ำ” หรือ “แช่แข็งคุณภาพดี” (การแช่แข็งช่วยคงสารสำคัญได้ดีในหลายกรณี)
  • เก็บในตู้เย็น “ไม่ล้างจนกว่าจะกิน” ลดความชื้นสะสม
  • ล้างใต้น้ำไหลก่อนกิน/หั่น—ไม่ใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ล้างผัก ตามคำแนะนำของ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC). U.S. Food and Drug AdministrationCDC

✅ เช็กลิสต์สรุป “เลือกเบอรี่ให้ได้ประโยชน์”

  1. ใส่เบอรี่วันละ ½–1 ถ้วย ลงในอาหารหลัก/ของว่าง (คุมคาร์บถ้าเป็นเบาหวาน) — โฟกัส “ทั้งผล” มากกว่า “น้ำผลไม้”. American Diabetes Association
  2. เสริม “สีสัน” หลายชนิด—บลูเบอร์รี/ราสป์เบอร์รี/แบล็กเบอร์รี/สตรอว์เบอร์รี—เพราะสารพฤกษเคมีต่างกัน ช่วยกระจายประโยชน์. Dietary Guidelines
  3. เป้าหมายผลไม้รวมตามแนวทาง (1.5–2 ถ้วย/วัน) และผัก–ผลไม้รวม ≥400 กรัม/วัน. CDCWorld Health Organization
  4. ล้างถูกวิธี—น้ำไหลพอ ไม่ใช้สบู่/น้ำยาล้าง — เพื่อลดเชื้อและสิ่งปนเปื้อน. U.S. Food and Drug Administration
  5. หากใช้วาร์ฟาริน หรือมีภูมิแพ้เกสร ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเพิ่มแครนเบอร์รี/สตรอว์เบอร์รี. MedlinePlusAAAAI

แหล่งอ้างอิงงานวิจัย (Research References)

  • Cardiometabolic & BP: Huang H. Sci Rep 2016 (เบอรี่กับความดัน); Gao Q. Br J Nutr 2020 (สตรอว์เบอร์รีกับ CRP/ไขมัน); Basu A. Nutrients 2021 (ขนาดสูงของสตรอว์เบอร์รี); Xu L. Nutrients 2021 (Anthocyanins/berries และตัวชี้วัดบางรายการ). NaturePubMedMDPIPMC
  • Insulin Sensitivity: Stull AJ. J Nutr 2010 (บลูเบอร์รีและความไวต่ออินซูลินในคนอ้วนดื้อต่ออินซูลิน). PMC
  • Cognition: Ellis JM. Mol Nutr Food Res 2024; Delaney K. Nutr Metab Cardiovasc Dis 2025 (สตรอว์เบอร์รีกับความเร็วการประมวลผล/ความดัน). Wiley Online LibraryScienceDirect
  • Microbiome: Sweeney M. Nutrients 2022 (โพลีฟีนอลจากเบอรี่กับไมโครไบโอม). MDPI
  • Cranberry & UTI: Cochrane Review 2023 (ป้องกัน UTI); บทสรุป Cochrane “ไม่ใช้แทนยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา”. PubMedCochrane Library
  • Oral Allergy: AAAAI—Oral Allergy Syndrome. AAAAI
  • Dental erosion: American Dental Association—Dental Erosion overview. American Dental Association

แหล่งอ้างอิงจากหน่วยงานภาครัฐ (Government Sources)

  • แนวทางบริโภค & โภชนาการ:
    • กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) – FoodData Central; แนวทางโภชนาการ 2020–2025. FoodData CentralDietary Guidelines
    • องค์การอนามัยโลก (WHO) – แนะนำผัก–ผลไม้ ≥400 กรัม/วัน. World Health Organization+1
    • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขไทย – คำแนะนำผัก 4–6 ทัพพี + ผลไม้ 2–3 ส่วน/วัน (~400 กรัม). dopah.anamai.moph.go.th
    • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) – ผลไม้ 1.5–2 ถ้วย/วัน; แผนมื้ออาหารผู้ป่วยเบาหวาน. CDC+1
  • ความปลอดภัยและการล้างผลไม้:
    • องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) – วิธีล้างผักผลไม้ “น้ำไหล ไม่ใช้สบู่/น้ำยาล้าง”. U.S. Food and Drug Administration
    • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) – อินโฟกราฟิกการล้าง/แยก/เก็บผลผลิตสด. CDC
    • กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) – รายงานโครงการเฝ้าระวังสารตกค้าง (Pesticide Data Program: PDP). AMS
  • ปัญหาสุขภาพเฉพาะ:
    • สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (สถาบันโรคไต เบาหวาน และทางเดินอาหารแห่งชาติ (NIDDK)) – คำแนะนำผู้มีนิ่วไต/ออกซาเลต. NIDDK
    • หอสมุดการแพทย์แห่งชาติสหรัฐฯ เมดไลน์พลัส (National Library of Medicine – MedlinePlus) – คำแนะนำเรื่องวาร์ฟาริน (warfarin) และการโต้ตอบ/ข้อควรระวังอาหารและสมุนไพร. MedlinePlus
Posted on

🥦 อาหารบำรุงสายตา: กินอย่างไรให้ดวงตามีสุขภาพดี

ดวงตาเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักทุกวัน แต่เรากลับมักละเลยการดูแลอย่างถูกวิธี หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการบำรุงสายตาคือการเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารจำเป็นต่อการทำงานของดวงตา งานวิจัยมากมายชี้ชัดว่า สารอาหารบางชนิดมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคตา เช่น ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม และตาแห้ง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักอาหารที่ช่วยดูแลดวงตาพร้อมงานวิจัยสนับสนุนอย่างชัดเจน

🥕 1. เบต้าแคโรทีน: แหล่งวิตามิน A จากธรรมชาติ

แหล่งอาหาร: แครอท ฟักทอง มันเทศ ผักบุ้งแดง
ประโยชน์: ช่วยป้องกันภาวะตาบอดกลางคืน (night blindness)

งานวิจัยอ้างอิง:
Journal of Clinical Nutrition (2012) พบว่าผู้ที่บริโภคเบต้าแคโรทีนมีความเสี่ยงตาบอดกลางคืนลดลง

West KP. Vitamin A deficiency disorders in children and women. Food Nutr Bull. 2003;24(4 Suppl):S78-90.
PubMed: 17016952

🥬 2. ลูทีนและซีแซนทีน: สารต้านอนุมูลอิสระเฉพาะในจอตา

แหล่งอาหาร: ผักโขม คะน้า ข้าวโพด ไข่แดง
ประโยชน์: ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อม

งานวิจัยอ้างอิง:
AREDS2 Study (2013) ชี้ว่าการเสริมลูทีนและซีแซนทีนสามารถลดความเสื่อมของจอตาได้ถึง 18%

Age-Related Eye Disease Study 2 (AREDS2), JAMA. 2013;309(19):2005-2015.
JAMA Network

🍊 3. วิตามิน C และ E: ลดการเสื่อมของเลนส์ตาและป้องกันต้อกระจก

แหล่งอาหาร: ส้ม ฝรั่ง บรอกโคลี อะโวคาโด ถั่วอัลมอนด์
ประโยชน์: ลดความเสี่ยงต้อกระจกและการเสื่อมของเลนส์ตา

งานวิจัยอ้างอิง:
Archives of Ophthalmology (2001) รายงานว่าผู้ที่ได้รับวิตามิน C และ E อย่างเพียงพอมีความเสี่ยงต้อกระจกน้อยลง

Jacques PF et al., Am J Clin Nutr. 2001;73(6):1011-1016.
PubMed

🐟 4. โอเมก้า-3: บรรเทาอาการตาแห้งและดูแลจอประสาทตา

แหล่งอาหาร: ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันปลา
ประโยชน์: บรรเทาอาการตาแห้ง เสริมสุขภาพจอประสาทตา

งานวิจัยอ้างอิง:
American Journal of Clinical Nutrition (2008) พบว่าโอเมก้า-3 มีบทบาทในการเพิ่มคุณภาพของน้ำตาและลดการอักเสบของตา

SanGiovanni JP et al., Am J Clin Nutr. 2008;88(2):398-406.
PubMed

🥩 5. สังกะสี (Zinc): ช่วยดูดซึมวิตามิน A และเสริมสุขภาพจอตา

แหล่งอาหาร: หอยนางรม เมล็ดฟักทอง ถั่ว เนื้อแดง
ประโยชน์: ช่วยดูดซึมวิตามิน A และลดความเสื่อมของจอประสาทตา

งานวิจัยอ้างอิง:
AREDS Study (2001) พบว่าสังกะสีร่วมกับวิตามินอื่น ๆ ลดความเสื่อมของจอประสาทตาได้

Age-Related Eye Disease Study (AREDS), Arch Ophthalmol. 2001;119(10):1417-1436.
PubMed


💡 เคล็ดลับการดูแลดวงตาด้วยอาหาร

  • ✅ กินผักผลไม้หลากสีทุกวัน
  • ✅ เลือกไขมันดีจากปลาและถั่ว
  • ✅ ลดอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูง
  • ✅ ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันตาแห้ง

📌 สรุป

การเลือกอาหารที่ดีคือการลงทุนเพื่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอจากธรรมชาติจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตา และส่งเสริมให้ดวงตามีความแข็งแรง สดใส และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ.


📚 แหล่งอ้างอิง

  1. West KP. Vitamin A deficiency disorders in children and women. Food Nutr Bull. 2003;24(4 Suppl):S78-90.
  2. Age-Related Eye Disease Study 2 (AREDS2), JAMA. 2013;309(19):2005-2015.
  3. Jacques PF et al. Am J Clin Nutr. 2001;73(6):1011-1016.
  4. SanGiovanni JP et al. Am J Clin Nutr. 2008;88(2):398-406.
  5. Age-Related Eye Disease Study (AREDS), Arch Ophthalmol. 2001;119(10):1417-1436.
Posted on

เจาะลึกสรรพคุณมะเขือเทศ (Tomato) พร้อมข้อควรระวังที่คุณอาจไม่เคยรู้

มะเขือเทศ (tomato) เป็นพืชผักที่นิยมบริโภคทั่วโลก ทั้งในรูปแบบสด สุก หรือนำมาประกอบอาหารต่าง ๆ ด้วยสีสันสดใสและรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มะเขือเทศยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารพฤกษเคมี (phytochemicals) ที่มีผลดีต่อสุขภาพหลายประการ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามะเขือเทศจะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

1. สารสำคัญในมะเขือเทศ

มะเขือเทศอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) โดยเฉพาะ ไลโคปีน (lycopene) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ที่ให้สีแดงและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ (anti-inflammatory)

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. เอริกา มานโซนี (Erica Manzoni) และคณะ (2022) ตีพิมพ์ในวารสาร Antioxidants ระบุว่า ไลโคปีนในมะเขือเทศสามารถลดการอักเสบของหลอดเลือด และลดความเสี่ยงโรคหัวใจในกลุ่มผู้สูงอายุ
(แหล่งอ้างอิง: Antioxidants, 2022)

2. ประโยชน์ของมะเขือเทศต่อสุขภาพ

2.1 ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ไลโคปีน (lycopene) ช่วยลดการออกซิเดชันของไขมันเลว (LDL cholesterol) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการอุดตันในหลอดเลือด

งานวิจัยอ้างอิง: ศาสตราจารย์ ริชาร์ด เอ็ดเวิร์ดส์ (Richard Edwards) และคณะ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) พบว่า ผู้ที่บริโภคมะเขือเทศอย่างน้อย 5 ครั้งต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงโรคหัวใจลดลง 25%
(แหล่งอ้างอิง: Cambridge Medical Journal, 2019)

2.2 ป้องกันมะเร็งบางชนิด

สาร ไลโคปีน (lycopene) มีคุณสมบัติในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก (prostate cancer)

งานวิจัยอ้างอิง: สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (National Cancer Institute) รายงานว่า ผู้ชายที่บริโภคไลโคปีนในระดับสูงจากมะเขือเทศ มีความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่ากลุ่มอื่นราว 30%
(แหล่งอ้างอิง: NCI, 2021)

2.3 บำรุงผิวพรรณและชะลอวัย

วิตามินซี (vitamin C) และสารต้านอนุมูลอิสระในมะเขือเทศช่วยลดความเสียหายจากรังสียูวี (UV rays) และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. โยโกะ ทานากะ (Yoko Tanaka) และคณะในญี่ปุ่น พบว่าการบริโภคมะเขือเทศสุกต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ช่วยลดการเกิดรอยแดงจากรังสียูวีได้ถึง 40%
(แหล่งอ้างอิง: Journal of Dermatological Science, 2020)

2.4 ควบคุมน้ำหนัก

มะเขือเทศมีแคลอรีต่ำ ไขมันน้อย และมีไฟเบอร์ (fiber) สูง ซึ่งช่วยให้อิ่มนาน ลดการกินจุบจิบ

งานวิจัยอ้างอิง: มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (University of Copenhagen) รายงานว่า การเสริมมะเขือเทศในอาหารเช้าช่วยลดพลังงานรวมต่อวันลงได้เฉลี่ย 12%
(แหล่งอ้างอิง: Clinical Nutrition Reports, 2018)

3. ข้อควรระวังในการบริโภคมะเขือเทศ

3.1 ภาวะกรดไหลย้อน (acid reflux)

มะเขือเทศมีความเป็นกรดสูง อาจกระตุ้นอาการแสบร้อนกลางอกในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน

งานวิจัยอ้างอิง: สมาคมระบบทางเดินอาหารแห่งอเมริกา (American Gastroenterological Association) แนะนำให้ผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรด เช่น มะเขือเทศ
(แหล่งอ้างอิง: AGA Clinical Guidelines, 2020)

3.2 อาการแพ้มะเขือเทศ

บางคนอาจมีอาการแพ้มะเขือเทศ เช่น คัน ปากบวม หรือผื่นแพ้ เนื่องจากสารฮิสตามีน (histamine)

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. มิเกล แอนเดอร์สัน (Miguel Anderson) จากสถาบันภูมิแพ้ยุโรป (European Academy of Allergy and Clinical Immunology) รายงานว่าผู้ป่วย 1–3% มีอาการแพ้จากการสัมผัสหรือบริโภคมะเขือเทศ
(แหล่งอ้างอิง: EAACI Reports, 2017)

สรุป

มะเขือเทศ (tomato) เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์มากมายต่อระบบหัวใจ ผิวพรรณ และการป้องกันโรคเรื้อรังอย่างมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอย่างพอเหมาะ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนหรือมีประวัติแพ้อาหาร เพื่อให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการอย่างปลอดภัยสูงสุด.

แหล่งอ้างอิง :

  1. Manzoni, E. et al. (2022). Lycopene and cardiovascular benefits. Antioxidants.
  2. Edwards, R. et al. (2019). Tomato intake and cardiovascular risk. Cambridge Medical Journal.
  3. National Cancer Institute (2021). Lycopene and prostate cancer. NCI Reports.
  4. Tanaka, Y. et al. (2020). Tomato and skin photoprotection. Journal of Dermatological Science.
  5. University of Copenhagen (2018). Tomato intake and energy reduction. Clinical Nutrition Reports.
  6. American Gastroenterological Association (2020). Dietary guidelines for GERD.
  7. Anderson, M. et al. (2017). Tomato allergy and histamine reactions. EAACI Reports.
Posted on

สารไลโคปีน(Lycopene) คืออะไร?

สารไลโคปีน(Lycopene)เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในพืชบางชนิด เช่น มะเขือเทศ แตงโม พีช และเกรปฟรุต สารนี้มีสีแดงสดและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง

ประโยชน์ของสารไลโคปีน

สารไลโคปีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ได้แก่

  • ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง: สารไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • ปกป้องหัวใจ: สารไลโคปีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยลดระดับคอเลสเตอรอลและป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
  • บำรุงสายตา: สารไลโคปีนช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ โดยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: สารไลโคปีนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว
  • ลดการอักเสบ: สารไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยช่วยลดการผลิตสารอักเสบในร่างกาย

แหล่งของสารไลโคปีน

แหล่งที่ดีที่สุดของสารไลโคปีนคือมะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้ว เช่น ซอสมะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศ แหล่งอื่นๆ ของสารไลโคปีน ได้แก่

  • แตงโม
  • พีช
  • เกรปฟรุต
  • ส้ม
  • แอปริคอต
  • กุยช่าย
  • ผักโขม
  • บรอกโคลี

ข้อควรระวัง

สารไลโคปีนโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่การบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงได้

สรุป : สารไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ปกป้องหัวใจ บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ การรับประทานอาหารที่มีสารไลโคปีนสูงเป็นวิธีที่ดีในการส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

แนะนำผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไลโคปีน(Lycopene)

IMMOR ไลโคปีนจากสารสกัดมะเขือเทศ บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ 120 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Sprege ถั่งเช่าผสมไลโคปีน บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ บรรจุ 5 แคปซูล แพ็ก 3 แผง

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Amsel ไลโคปีน พลัส บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น