Posted on

เจาะลึกสรรพคุณมะเขือเทศ (Tomato) พร้อมข้อควรระวังที่คุณอาจไม่เคยรู้

มะเขือเทศ (tomato) เป็นพืชผักที่นิยมบริโภคทั่วโลก ทั้งในรูปแบบสด สุก หรือนำมาประกอบอาหารต่าง ๆ ด้วยสีสันสดใสและรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มะเขือเทศยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารพฤกษเคมี (phytochemicals) ที่มีผลดีต่อสุขภาพหลายประการ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามะเขือเทศจะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

1. สารสำคัญในมะเขือเทศ

มะเขือเทศอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) โดยเฉพาะ ไลโคปีน (lycopene) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ที่ให้สีแดงและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ (anti-inflammatory)

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. เอริกา มานโซนี (Erica Manzoni) และคณะ (2022) ตีพิมพ์ในวารสาร Antioxidants ระบุว่า ไลโคปีนในมะเขือเทศสามารถลดการอักเสบของหลอดเลือด และลดความเสี่ยงโรคหัวใจในกลุ่มผู้สูงอายุ
(แหล่งอ้างอิง: Antioxidants, 2022)

2. ประโยชน์ของมะเขือเทศต่อสุขภาพ

2.1 ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ไลโคปีน (lycopene) ช่วยลดการออกซิเดชันของไขมันเลว (LDL cholesterol) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการอุดตันในหลอดเลือด

งานวิจัยอ้างอิง: ศาสตราจารย์ ริชาร์ด เอ็ดเวิร์ดส์ (Richard Edwards) และคณะ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) พบว่า ผู้ที่บริโภคมะเขือเทศอย่างน้อย 5 ครั้งต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงโรคหัวใจลดลง 25%
(แหล่งอ้างอิง: Cambridge Medical Journal, 2019)

2.2 ป้องกันมะเร็งบางชนิด

สาร ไลโคปีน (lycopene) มีคุณสมบัติในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก (prostate cancer)

งานวิจัยอ้างอิง: สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (National Cancer Institute) รายงานว่า ผู้ชายที่บริโภคไลโคปีนในระดับสูงจากมะเขือเทศ มีความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่ากลุ่มอื่นราว 30%
(แหล่งอ้างอิง: NCI, 2021)

2.3 บำรุงผิวพรรณและชะลอวัย

วิตามินซี (vitamin C) และสารต้านอนุมูลอิสระในมะเขือเทศช่วยลดความเสียหายจากรังสียูวี (UV rays) และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. โยโกะ ทานากะ (Yoko Tanaka) และคณะในญี่ปุ่น พบว่าการบริโภคมะเขือเทศสุกต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ช่วยลดการเกิดรอยแดงจากรังสียูวีได้ถึง 40%
(แหล่งอ้างอิง: Journal of Dermatological Science, 2020)

2.4 ควบคุมน้ำหนัก

มะเขือเทศมีแคลอรีต่ำ ไขมันน้อย และมีไฟเบอร์ (fiber) สูง ซึ่งช่วยให้อิ่มนาน ลดการกินจุบจิบ

งานวิจัยอ้างอิง: มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (University of Copenhagen) รายงานว่า การเสริมมะเขือเทศในอาหารเช้าช่วยลดพลังงานรวมต่อวันลงได้เฉลี่ย 12%
(แหล่งอ้างอิง: Clinical Nutrition Reports, 2018)

3. ข้อควรระวังในการบริโภคมะเขือเทศ

3.1 ภาวะกรดไหลย้อน (acid reflux)

มะเขือเทศมีความเป็นกรดสูง อาจกระตุ้นอาการแสบร้อนกลางอกในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน

งานวิจัยอ้างอิง: สมาคมระบบทางเดินอาหารแห่งอเมริกา (American Gastroenterological Association) แนะนำให้ผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรด เช่น มะเขือเทศ
(แหล่งอ้างอิง: AGA Clinical Guidelines, 2020)

3.2 อาการแพ้มะเขือเทศ

บางคนอาจมีอาการแพ้มะเขือเทศ เช่น คัน ปากบวม หรือผื่นแพ้ เนื่องจากสารฮิสตามีน (histamine)

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. มิเกล แอนเดอร์สัน (Miguel Anderson) จากสถาบันภูมิแพ้ยุโรป (European Academy of Allergy and Clinical Immunology) รายงานว่าผู้ป่วย 1–3% มีอาการแพ้จากการสัมผัสหรือบริโภคมะเขือเทศ
(แหล่งอ้างอิง: EAACI Reports, 2017)

สรุป

มะเขือเทศ (tomato) เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์มากมายต่อระบบหัวใจ ผิวพรรณ และการป้องกันโรคเรื้อรังอย่างมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอย่างพอเหมาะ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนหรือมีประวัติแพ้อาหาร เพื่อให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการอย่างปลอดภัยสูงสุด.

แหล่งอ้างอิง :

  1. Manzoni, E. et al. (2022). Lycopene and cardiovascular benefits. Antioxidants.
  2. Edwards, R. et al. (2019). Tomato intake and cardiovascular risk. Cambridge Medical Journal.
  3. National Cancer Institute (2021). Lycopene and prostate cancer. NCI Reports.
  4. Tanaka, Y. et al. (2020). Tomato and skin photoprotection. Journal of Dermatological Science.
  5. University of Copenhagen (2018). Tomato intake and energy reduction. Clinical Nutrition Reports.
  6. American Gastroenterological Association (2020). Dietary guidelines for GERD.
  7. Anderson, M. et al. (2017). Tomato allergy and histamine reactions. EAACI Reports.
Posted on Leave a comment

งานวิจัยล่าสุด ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกาย 2 ประเภทมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในการลดความดันโลหิต

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่บ่งชี้ว่า การออกกำลังกายแบบสควอท(Squat) และแบบแพลงค์(Plank) สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย รายงานวิจัยดังกล่าวระบุว่า การออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อโดยไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น การอออกกำลังกายแบบสควอท(Squat) และการออกกำลังกายแบบแพลงค์(Plank) อาจเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับการลดความดันโลหิตสูง ตามผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารที่ชื่อ “บริติชเจอนอล์ออฟสปอร์ตเมดิซีน” (British Journal of Sports Medicine) เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566  “โดยภาพรวมแล้ว การออกกำลังกายแบบไอโซเมตริกเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการลดความดันโลหิตสูง การค้นพบนี้ ให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาคำแนะนำแนวทางการออกกำลังกายใหม่สำหรับการป้องกันและการรักษาโรคความดันโลหิตสูง” ดร.เจมี โอดริสคอล ผู้ร่วมทีมวิจัยกล่าว

          แนวทางการออกกำลังกายเพื่อลดความดันโลหิตที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ เน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกหรือแบบคาร์ดิโอ เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน ซึ่งก็เป็นวิธีที่ได้ผล แต่อ้างอิงจากงานวิจัยเดิมที่ยังไม่รวมกับวิธีการออกกำลังกายแบบไอโซเมตริก  นักวิจัยมีความรู้สึกว่าแนวทางการออกกำลังกายเพื่อลดความดันโลหิตแบบเดิมนั้นล้าสมัยแล้วและจำเป็นต้องได้รับการทบทวนใหม่ ดังนั้น จึงได้มีการทดลองแบบสุ่มจากกลุ่มตัวอย่างควบคุมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวน 15,827 คน โดยใช้เวลาสองสัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่าการออกกำลังกายแบบไอโซเมตริก มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่อการลดความดันโลหิตซิสโตลิก และการออกกำลังกายแบบแอโรบิก มีประโยชน์สูงสุดสำหรับการลดความดันไดแอสโตลิก แต่การออกกำลังกายแบบไอโซเมตริกเกิดผลดีที่สุดสำหรับการลดความดันโลหิตโดยรวม

          โจแอนน์ วิทมอร์ พยาบาลด้านหัวใจอาวุโส แห่งมูลนิธิบลิติชฮาร์ท ระบุว่า “อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตอื่นๆ ในขณะเดียวกับการออกกำลังกายที่จะส่งผลดีต่อความดันโลหิตด้วย” เธอกล่าวเสริม “รวมถึงการรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ การรับประทานอาหารที่สมดุล การลดอาหารที่มีเกลือ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และต้องแน่ใจว่ารับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง”
          อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อที่จะระบุอย่างชัดเจนว่าเหตุใดการออกกำลังกายแบบไอโซเมตริก จึงอาจเป็นวิธีการที่ดีมากกว่าการออกกำลังกายประเภทอื่นสำหรับการลดความดันโลหิต.