Posted on

🧬 ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นเชื้อไวรัสที่โจมตีตับ ทำให้เกิดการอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อบางคนไม่มีอาการเลย แต่หากติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด ตับแข็ง (Cirrhosis) และ มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma; HCC) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญของไทยและทั่วโลก

ตามข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ในปี ค.ศ. 2022 มีผู้ติดเชื้อเรื้อรังทั่วโลกมากกว่า 254 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อใหม่ราว 1.2 ล้านคนต่อปี


🩸 การแพร่เชื้อ

ไวรัสตับอักเสบบีแพร่ผ่านเลือดและของเหลวในร่างกาย โดยเส้นทางหลักคือ

  • แม่ถ่ายทอดเชื้อสู่ลูกในช่วงคลอด
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมกัน
  • การสักหรือเจาะร่างกายที่ไม่ได้มาตรฐาน

❌ ไม่แพร่ผ่านการกอด จับมือ ไอ จาม หรือการกินอาหารร่วมกัน


🩺 อาการที่อาจพบ

  • ระยะเฉียบพลัน (Acute stage): อ่อนเพลีย มีไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง (ดีซ่าน – Jaundice) หรือปัสสาวะสีเข้ม
  • ระยะเรื้อรัง (Chronic stage): ส่วนใหญ่ไม่มีอาการชัดเจน แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน และอาจนำไปสู่ตับแข็งหรือตับวายในอนาคต

⚠️ ภาวะแทรกซ้อนสำคัญ

  • ตับแข็ง (Cirrhosis): ตับถูกทำลายจนแข็งและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
  • มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma; HCC): หนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในไทย

งานวิจัยของ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute; NCI) และ กรมควบคุมโรค (Department of Disease Control; DDC) ชี้ชัดว่า ผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า


🔎 ใครควรตรวจคัดกรองบ้าง?

  • ผู้ใหญ่ทุกคนตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ด้วยวิธี “Triple panel” (ตรวจ HBsAg, anti-HBs และ anti-HBc)
  • หญิงตั้งครรภ์ ต้องตรวจ HBsAg ทุกครั้งที่ตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อสู่ทารก
  • กลุ่มเสี่ยง เช่น คนที่ได้รับเลือดก่อนปี พ.ศ. 2535 ผู้ฟอกไต ผู้ใช้เข็มฉีดยาร่วม หรือคู่สมรสของผู้ที่เป็นพาหะ

🧪 วิธีการตรวจ

  1. ตรวจเลือด (Blood test): HBsAg, anti-HBs, anti-HBc เพื่อระบุว่าเป็นผู้ติดเชื้อหรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว
  2. ตรวจระดับไวรัส (HBV DNA test): ดูปริมาณไวรัสในเลือด
  3. ตรวจเอนไซม์ตับ (Liver enzymes; ALT/AST): ใช้บอกความเสียหายของตับ
  4. อัลตราซาวนด์ตับ (Ultrasound) หรือไฟโบรสแกน (Fibroscan): ใช้ติดตามความเสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ

💉 วัคซีนป้องกัน: เกราะที่ได้ผลที่สุด

ประเทศไทยมีการให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีใน โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Expanded Program on Immunization; EPI) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โดย

  • เด็กแรกเกิดต้องได้รับเข็มแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • เข็มต่อไปให้ตามช่วงอายุ (2, 4, 6 เดือน)

วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูง และการศึกษาของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention; CDC) พบว่าภูมิคุ้มกันจากวัคซีนสามารถอยู่ได้นานกว่า 30 ปี


👶 การป้องกันการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก

  • ทารกที่แม่มีเชื้อ HBsAg บวก ต้องได้รับ วัคซีน + อิมมูนโกลบูลินป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (HBIG – Hepatitis B Immunoglobulin) ภายใน 12–24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • แม่ที่มีปริมาณไวรัสสูง แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น เทโนโฟเวียร์ (Tenofovir) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อ

🧑‍⚕️ การรักษาผู้ป่วยเรื้อรัง

ผู้ที่มีการติดเชื้อเรื้อรังและมีความเสี่ยงตับเสียหาย แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส เช่น

  • เทโนโฟเวียร์ (Tenofovir; TDF)
  • เอนเทคาเวียร์ (Entecavir; ETV)

เป้าหมายคือกดปริมาณไวรัสให้ต่ำที่สุด ลดการอักเสบของตับ และป้องกันตับแข็งหรือตับมะเร็ง


🛡️ การป้องกันในชีวิตประจำวัน

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้มีดโกน/แปรงสีฟัน/อุปกรณ์ที่อาจมีเลือดปนร่วมกัน
  • เลือกสถานบริการทางการแพทย์หรือร้านสักที่ได้มาตรฐาน
  • สมาชิกในครอบครัวผู้ติดเชื้อควรตรวจภูมิคุ้มกันและฉีดวัคซีนให้ครบ

แหล่งอ้างอิง (หน่วยงานภาครัฐไทยและต่างประเทศ)

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)Hepatitis B fact sheet (อัปเดต 23 ก.ค. 2025); Information sheet 2025 (ภาระโรค/เป้าหมายกำจัด); Guidelines 2024 (การวินิจฉัย-รักษา-ป้องกัน รวมถึงการให้ยาต้านในหญิงตั้งครรภ์/เกณฑ์เริ่มยาแบบง่าย). World Health Organization+1World Health Organization
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC)Vaccine Administration (ภูมิคุ้มกันยาวนาน/ประสิทธิผลวัคซีน), Perinatal Hepatitis B (HBIG+วัคซีนแรกเกิด), Testing & Diagnosis และ MMWR 2023 (Screening and Testing for HBV: universal once-in-a-lifetime). CDC+3CDC+3CDC+3
  • สหรัฐฯ USPSTF (AHRQ/HHS)Screening recommendation 2020 (คัดกรองวัยรุ่น/ผู้ใหญ่กลุ่มเสี่ยง). U.S. Preventive Services Task Force+1
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย)ตารางวัคซีน/โพสเตอร์ 2567 (HB1 ภายใน 24 ชม.), แนวทางกำจัด HBV/HCV พ.ศ. 2566 และ แนวทางดำเนินงานคัดกรองในพื้นที่. ddc.moph.go.thddc.moph.go.th+1
  • กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์/ศูนย์ประสานงานโรคตับอักเสบจากไวรัส (DDC) — รายงานคัดกรองระดับประเทศ (พัฒนาอย่างต่อเนื่อง). hepbc.ddc.moph.go.th
  • สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ — เอกสารความรู้มะเร็งตับและความเกี่ยวข้องกับ HBV. nci.go.th
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์/สำนักสารสนเทศการวิจัย (สป.สธ.) — หน้ารวมเอกสาร แนวทางการตรวจคัดกรองและรักษา HBV/HCV สำหรับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป พ.ศ. 2567 (e-Book). dmsic.moph.go.th
Posted on

สำนักงาน อย.สหรัฐฯ อนุมัติยาฉีด HIV แบบใหม่ ฉีดปีละ 2 ครั้งก็พอ

สหรัฐอเมริกา – มิถุนายน 2025
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้อนุมัติให้ใช้ยา เลนาคาพาเวียร์ (lenacapavir) ภายใต้ชื่อทางการค้าว่า เยซทูโก (Yeztugo) เพื่อใช้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) โดยสามารถฉีดได้เพียง ปีละสองครั้ง นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแนวทางการใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) และอาจเป็นก้าวสำคัญในการยุติการแพร่ระบาดของ HIV ทั่วโลก

✅ ยา PrEP รุ่นใหม่ที่ฉีดเพียง 2 ครั้งต่อปี

ก่อนหน้านี้ ผู้ที่ต้องการใช้ PrEP เพื่อป้องกัน HIV จำเป็นต้องรับประทานยาเม็ดทุกวัน (เช่น ทรูวาดา – Truvada) หรือฉีดยาอะพรีทูด (Apretude) ทุกสองเดือน ซึ่งสร้างข้อจำกัดทั้งด้านเวลา ความต่อเนื่อง และความรู้สึกอายในการใช้ยาอย่างเปิดเผย

เยซทูโก (Yeztugo) แก้ไขปัญหานี้ด้วยรูปแบบยาฉีดใต้ผิวหนังทุก 6 เดือนที่สามารถป้องกัน HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นส่วนตัว โดย ดร.จาเร็ด เบเทน (Dr. Jared Baeten) รองประธานอาวุโสของบริษัทกิเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) กล่าวว่า “วิธีนี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกควบคุมชีวิตของตนเองได้มากขึ้น โดยไม่ต้องคิดถึงยาอีกจนกว่าจะถึงอีก 6 เดือนถัดไป”

🔬 งานวิจัยสนับสนุนประสิทธิภาพ: 96–100%

ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ ได้แก่:

  • PURPOSE 2 Trial
    ศึกษาในชายเพศกำเนิด ชายข้ามเพศ หญิงข้ามเพศ และบุคคลไม่ระบุเพศที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย พบว่า เยซทูโก (Yeztugo) ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ HIV ได้ถึง 96% และมีเพียง 2 รายจาก 2,180 คนที่ติดเชื้อในกลุ่มทดลองยา
    [ที่มา: Baeten et al., 2024 – Gilead Sciences]
  • PURPOSE 1 Trial
    ทำการศึกษาในผู้หญิงเพศกำเนิดในแถบแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้ ผลลัพธ์แสดงว่า ไม่มีผู้ติดเชื้อ HIV รายใดในกลุ่มที่ได้รับเลนาคาพาเวียร์ (lenacapavir) ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพ 100%
    [ที่มา: Flexner et al., 2024 – NEJM, ยังไม่ตีพิมพ์ฉบับเต็ม]

🧪 ผลข้างเคียงและความปลอดภัย

ผู้เข้าร่วมการทดลองรายงานว่า ยานี้ ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง ยกเว้นเพียงอาการ ระคายเคืองเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดยา ซึ่งเป็นอาการปกติของยาฉีดใต้ผิวหนัง

หญิงที่ตั้งครรภ์ระหว่างการทดลองก็สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม

🌍 โอกาสระดับโลกในการยุติ HIV

แดเนียล โอเดย์ (Daniel O’Day) ซีอีโอของกิเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) กล่าวว่า “เยซทูโก (Yeztugo) ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในรอบหลายทศวรรษ เพื่อเป้าหมายการยุติการแพร่ระบาดของ HIV ทั่วโลก”

เพื่อสนับสนุนการเข้าถึง กิเลียดได้ร่วมมือกับองค์กรยาระหว่างประเทศ ไม่คิดค่าลิขสิทธิ์กับผู้ผลิตเจนเนอริกใน 120 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศรายได้น้อยถึงปานกลาง

งานวิจัยโดย ฮิลล์ และคณะ (Hill et al., 2024) เผยว่า ยาตัวนี้อาจสามารถผลิตได้ในราคาต่ำเพียง 25–100 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี หากมีการแข่งขันในตลาดเจนเนอริกอย่างเหมาะสม
[ที่มา: Journal of Antimicrobial Chemotherapy, 2024]

⚠️ ความท้าทาย: ตัดงบวิจัย HIV ในสหรัฐฯ

แม้ FDA จะอนุมัติยานี้ แต่สถานการณ์ในระดับรัฐบาลกลับไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากในงบประมาณปี 2026 รัฐบาลทรัมป์มีแผน ตัดงบประมาณกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการวิจัย HIV และการป้องกันผ่าน CDC และหน่วยงานสาธารณสุขโลก

คาร์ล ชมิดต์ (Carl Schmid) จาก HIV+Hepatitis Policy Institute เตือนว่า “นี่คือเวลาสำคัญที่จะเร่งลงทุน ไม่ใช่ลดทอนความพยายามในการป้องกัน HIV”

✳️ สรุป: ยุคใหม่ของการป้องกัน HIV

ประเด็นรายละเอียด
ยาใหม่เลนาคาพาเวียร์ (lenacapavir)
ชื่อการค้าเยซทูโก (Yeztugo)
การใช้ยาฉีดใต้ผิวหนังปีละ 2 ครั้ง
การอนุมัติโดย FDA สหรัฐฯ – มิถุนายน 2025
ประสิทธิภาพ96–100%
ผลข้างเคียงระคายเคืองบริเวณฉีดเล็กน้อย
ราคาเจนเนอริก (คาดการณ์)$25–100 ต่อปี

แหล่งอ้างอิง:

  • U.S. FDA. (2025). Approval Summary: Yeztugo (lenacapavir)
  • Gilead Sciences. (2024). PURPOSE 1 and 2 Clinical Trial Results
  • Hill, A. et al. (2024). Projected Cost of Long-Acting PrEP. Journal of Antimicrobial Chemotherapy