Posted on

🍚 จากความอดอยากสู่โรคเรื้อรัง: งานวิจัยชี้ภาวะขาดอาหารในวัยเด็กเพิ่มความเสี่ยงเบาหวานและความดันโลหิตสูง

ผลการศึกษาชี้ ความอดอยากในช่วงวัยต้นอาจส่งผลต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว


งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต (University of Toronto) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025 พบหลักฐานใหม่ว่า

ผู้ที่เคยประสบ “ภาวะขาดอาหารรุนแรงในวัยเด็ก” โดยเฉพาะในช่วง ทศวรรษ 1950–1960 ระหว่างเหตุการณ์ “Great Chinese Famine” (ทุพภิกขภัยใหญ่ของจีน) มีแนวโน้มเสี่ยงเป็น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes: T2D) และ โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) มากกว่ากลุ่มคนรุ่นหลังที่ไม่เคยเผชิญภาวะอดอยาก แม้ว่าปัจจุบันพวกเขาจะย้ายถิ่นมาอยู่ในประเทศที่มีความมั่งคั่งทางอาหารแล้วก็ตาม


🧠 ความสำคัญของงานวิจัย

นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ทราบกันมานานว่าการขาดสารอาหารในช่วงพัฒนาการของร่างกาย โดยเฉพาะในระยะตั้งครรภ์และวัยเด็กตอนต้น อาจส่งผลถาวรต่อ ระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) และ ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System) ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้เป็นหนึ่งในงานวิจัยชิ้นแรกที่มุ่งวิเคราะห์ “ผลของภาวะขาดอาหารในวัยเด็กต่อสุขภาพของผู้ย้ายถิ่นชาวจีน” ที่อาศัยอยู่ในประเทศรายได้สูง เช่น แคนาดา ซึ่งมีสภาพแวดล้อมทางอาหารตรงกันข้ามกับอดีต


👩‍🔬 รูปแบบและวิธีการศึกษา

งานวิจัยนี้เป็น การศึกษาแบบ Cohort ขนาดใหญ่ ใช้ข้อมูลจากระบบสาธารณสุขของรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ระหว่างปี 1992–2023 โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 208,921 คน เป็นผู้ย้ายถิ่นชาวจีนอายุ 20–85 ปี

นักวิจัยแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมตามช่วงเวลาเกิดเพื่อสะท้อนระดับการสัมผัสกับทุพภิกขภัยจีน ได้แก่

  • กลุ่มก่อนคลอด (Prenatal exposure) – เกิดระหว่างปี 1959–1961
  • กลุ่มวัยเด็ก (Childhood exposure) – เกิดระหว่างปี 1949–1958
  • กลุ่มวัยรุ่น (Adolescent exposure) – เกิดระหว่างปี 1941–1948
    ผู้ที่เกิดก่อนปี 1941 หรือหลังปี 1962 ถือเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ (ไม่สัมผัสภาวะอดอยาก)

ตัวชี้วัดหลัก (Primary outcomes) ได้แก่

  1. การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (T2D)
  2. การเกิดโรคความดันโลหิตสูง
  3. การเข้ารักษาในโรงพยาบาลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

📊 ผลการศึกษา

ผลวิเคราะห์เชิงสถิติชี้ว่า ผู้ที่เคยประสบภาวะขาดอาหารในช่วงวัยต่าง ๆ มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังบางชนิดสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้

📈 1. ความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (T2D)

  • ผู้สัมผัสภาวะอดอยากตั้งแต่ก่อนคลอด: ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 58% (HR 1.58)
  • ผู้สัมผัสในวัยเด็ก: เพิ่มขึ้น 45% (HR 1.45)
  • ผู้สัมผัสในวัยรุ่น: เพิ่มขึ้น 37% (HR 1.37)

❤️ 2. ความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง

  • ผู้สัมผัสก่อนคลอด: เพิ่มขึ้น 22% (HR 1.22)
  • วัยเด็ก: เพิ่มขึ้น 25% (HR 1.25)
  • วัยรุ่น: เพิ่มขึ้น 25% (HR 1.25)

🏥 3. การเข้ารักษาในโรงพยาบาลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

  • กลุ่มก่อนคลอดและวัยเด็ก ไม่พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจน
  • แต่กลุ่มวัยรุ่นมีแนวโน้ม “ลดความเสี่ยง” การเข้ารักษาในโรงพยาบาลจากโรคหัวใจและหลอดเลือดลง 14% (HR 0.86) ซึ่งอาจสะท้อนผลของ “การคัดเลือกเชิงชีวภาพ” (Biological Selection) คือผู้ที่รอดจากทุพภิกขภัยอาจมีความแข็งแรงกว่ากลุ่มทั่วไป

🧬 การตีความและผลกระทบเชิงสาธารณสุข

ดร.แคลวิน เค (Calvin Ke, MD, PhD) ผู้วิจัยหลักจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต กล่าวว่า

“ผลการศึกษานี้ตอกย้ำว่า ประสบการณ์ด้านโภชนาการในช่วงชีวิตแรกเริ่มมีผลยาวนานต่อสุขภาพในวัยผู้ใหญ่ แม้จะผ่านมาหลายสิบปีก็ตาม”

ความเชื่อมโยงนี้สอดคล้องกับแนวคิดทางระบาดวิทยาที่เรียกว่า “Fetal Origins of Adult Disease (FOAD)” หรือ “ต้นกำเนิดของโรคในวัยผู้ใหญ่จากช่วงทารก” ซึ่งชี้ว่า การขาดสารอาหารหรือความเครียดในครรภ์สามารถเปลี่ยนการทำงานของยีนและระบบเผาผลาญของร่างกายไปตลอดชีวิต

ดังนั้น ผู้ที่เคยผ่านภาวะอดอยากในวัยเด็กแล้วอาศัยอยู่ในประเทศที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ อาจเผชิญ “ภาวะช็อกทางเมตาบอลิซึม” เมื่อร่างกายต้องเผชิญอาหารพลังงานสูง เช่น ไขมันและน้ำตาล


🌎 ผลต่อสังคมผู้อพยพและนโยบายสาธารณสุข

ผลการศึกษานี้มีความสำคัญในเชิงนโยบาย เพราะสะท้อนถึง “มรดกทางสุขภาพจากอดีต” ที่ยังส่งผลต่อคนรุ่นปัจจุบันในสังคมผู้อพยพ เช่น ชาวจีนในแคนาดา สหรัฐอเมริกา หรือยุโรป

นักวิจัยเสนอว่า

  • ควรมีการ คัดกรองโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเชิงรุก ในกลุ่มผู้ย้ายถิ่นที่มีประวัติขาดอาหารในวัยเด็ก
  • การให้ความรู้และส่งเสริมโภชนาการที่เหมาะสมในผู้สูงอายุชาวเอเชียควรถูกจัดเป็นนโยบายสุขภาพระดับชาติ
  • การเฝ้าระวังระยะยาวอาจช่วยลดภาระโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรผู้อพยพได้

💡 บทสรุป

ภาวะขาดอาหารในช่วงชีวิตแรกเริ่มไม่ใช่เพียงปัญหาของอดีต แต่เป็น ปัจจัยเสี่ยงเรื้อรัง (Chronic Risk Factor) ที่อาจส่งผลถึงสุขภาพในวัยชรา งานวิจัยนี้จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างระบบดูแลสุขภาพที่คำนึงถึง “รากฐานชีวิตช่วงต้น” ของผู้ป่วย เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในอนาคต


📚 แหล่งอ้างอิง

  • Cao A, Ke C, et al. Association of Early Life Exposure to Famine With Type 2 Diabetes, Hypertension, and Cardiovascular Hospitalization Among Chinese Immigrants. JAMA Network Open. 2025;8(11):e2545444. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.45444
  • Department of Medicine, University of Toronto, Canada
  • World Health Organization (WHO) – “Nutrition and Cardiometabolic Health”
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC) – “Chronic Disease and Early-Life Nutrition”

🟣 หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์แก่สาธารณชน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ หากท่านมีประวัติภาวะโภชนาการขาดในวัยเด็กหรือมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสม

Posted on

🥫มะเขือเทศกับการลดความดันโลหิตสูง: วิธีธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

1. มะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิตสูง

2. สารสกัดจากมะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิต

3. น้ำมะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิต

4. ไลโคปีนในมะเขือเทศช่วยลดการอักเสบและลดความดันโลหิต

ข้อสรุป

หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

แหล่งอ้างอิง :

Posted on

🩺 คนรูปร่างปกติแต่ “อ้วนลงพุง” เสี่ยงโรคหัวใจและเบาหวานสูงกว่าที่คิด

งานวิจัยใหม่จาก JAMA Network Open เผยว่า แม้น้ำหนักตัวจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้ามีไขมันสะสมรอบเอว ก็ยังเสี่ยงโรคเรื้อรังเทียบเท่าคนที่มีน้ำหนักเกิน

🎯 สรุปผลการวิจัย

ทีมนักวิจัยจากหลายประเทศได้วิเคราะห์ข้อมูลของประชากรกว่า 471,000 คน จาก 91 ประเทศทั่วโลก เพื่อศึกษาความชุกและผลกระทบของ “ภาวะอ้วนลงพุง” (abdominal obesity) ในคนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ปกติอยู่ระหว่าง 18.5–24.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

ผลการศึกษาพบว่า

  • ประมาณ 1 ใน 5 คน (21.7%) ของผู้ที่มี BMI ปกติ กลับมีภาวะอ้วนลงพุง
  • พื้นที่ที่มีสัดส่วนสูงสุดคือ ตะวันออกกลาง (32.6%) และต่ำสุดคือ แปซิฟิกตะวันตก (15.3%)
  • ผู้ที่มี “อ้วนลงพุง” แม้น้ำหนักตัวปกติ มีแนวโน้มเป็น
    • ความดันโลหิตสูง มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 29%
    • โรคเบาหวาน มากกว่าปกติถึง 81%
    • ไขมันในเลือดสูง และ ไตรกลีเซอไรด์สูง มากกว่ากลุ่มที่ไม่มีอ้วนลงพุง

ผลการวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่า ภาวะอ้วนลงพุงอาจเป็น “ภัยเงียบ” ที่ทำให้คนดูผอมภายนอกแต่สุขภาพภายในเสี่ยงโรคเรื้อรังได้เช่นกัน

📌 ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ

ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความอ้วนโดยทั่วไป แต่ข้อจำกัดคือ มันไม่สามารถบอกได้ว่าไขมันในร่างกายอยู่ตรงไหน
ไขมันในช่องท้อง (visceral fat) โดยเฉพาะไขมันรอบเอว ถือว่าเป็นไขมันอันตราย เพราะมันเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง

งานวิจัยนี้จึงชี้ว่า แม้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ดี ก็ไม่ได้แปลว่าปลอดภัย หากมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง ควรใส่ใจตรวจรอบเอวควบคู่กับน้ำหนักตัว เพื่อประเมินความเสี่ยงโรคเรื้อรังได้แม่นยำขึ้น

นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายสาธารณสุขระดับโลก ที่เน้นเพียงการลดภาวะ “อ้วนตาม BMI” อาจยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มการประเมิน “อ้วนรอบเอว” เข้าไปด้วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในการลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

🧪 วิธีการศึกษาของงานวิจัย

  • ใช้ข้อมูลจากโครงการ STEPS ขององค์การอนามัยโลก (WHO STEPS Survey) ระหว่างปี 2000–2020 ครอบคลุมประชากรใน 91 ประเทศ
  • กำหนดเกณฑ์ “อ้วนลงพุง” คือ
    • ผู้หญิง: รอบเอวมากกว่า 80 เซนติเมตร
    • ผู้ชาย: รอบเอวมากกว่า 94 เซนติเมตร
  • วิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาปัจจัยร่วม เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา พฤติกรรมการบริโภค การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์

ข้อจำกัดของงานวิจัยนี้คือ เป็นการศึกษาแบบ “ข้ามช่วงเวลา” (cross-sectional study) ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ได้ แต่ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้โดยตรง จำเป็นต้องมีการติดตามในระยะยาวต่อไป

🔍 ประเด็นน่าสนใจ

  • คนที่มีระดับการศึกษาสูงในบางประเทศกลับมีแนวโน้ม “อ้วนลงพุง” มากขึ้น ซึ่งอาจเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานที่นั่งนานและไม่ค่อยออกกำลังกาย
  • คนที่บริโภคผักผลไม้น้อย หรือออกกำลังกายน้อย มีความเสี่ยงอ้วนลงพุงมากขึ้นในหลายภูมิภาค
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจส่งผลให้ปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เช่น ในประเทศรายได้สูง มักพบภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มทำงานออฟฟิศ ขณะที่ในประเทศรายได้ต่ำ อาจเกิดจากอาหารแปรรูปและน้ำตาลราคาถูก

✅ ข้อเสนอแนะสำหรับคนทั่วไป

แม้คุณจะไม่อ้วนตามตัวเลข BMI แต่ถ้ารอบเอวเกินเกณฑ์ ก็อาจมี “ไขมันช่องท้อง” ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวานได้

คำแนะนำง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่

  1. 🚶‍♀️ ขยับร่างกายให้มากขึ้น – เดินวันละ 30 นาที หรือออกกำลังกายสัปดาห์ละ 150 นาที
  2. 🥦 เพิ่มผักผลไม้ในแต่ละมื้อ – ช่วยลดไขมันสะสมและคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  3. 🍞 หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูง
  4. 🧘 พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด – เพราะฮอร์โมนความเครียดกระตุ้นให้ร่างกายเก็บไขมันไว้ที่หน้าท้อง
  5. 📏 วัดรอบเอวเป็นประจำ – เพื่อเฝ้าระวังสุขภาพด้วยตัวเอง

📝 หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อ ให้ความรู้ด้านสุขภาพและการแพทย์ในเชิงวิชาการเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนการวินิจฉัยหรือคำแนะนำทางการแพทย์จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากผู้อ่านมีอาการผิดปกติทางสุขภาพ หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีความเสี่ยงต่อโรคที่กล่าวถึง ควร ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโดยตรง เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ เนื้อหานี้อ้างอิงจากงานวิจัยทางการแพทย์ที่เผยแพร่ในวารสาร JAMA Network Open (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นข้อมูลจากการศึกษาขนาดใหญ่ในระดับนานาชาติ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามผลการศึกษาฉบับใหม่ในอนาคต

เว็บไซต์นี้มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ด้านสุขภาพอย่างมีวิจารณญาณ โดยไม่สนับสนุนการใช้ยา อาหารเสริม หรือวิธีการรักษาใด ๆ โดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากบุคลากรทางการแพทย์

🩻 บทสรุป

งานวิจัยนี้เตือนเราว่า “ผอมไม่ได้แปลว่าสุขภาพดี”
ภาวะอ้วนลงพุงเป็นสัญญาณเตือนของความเสี่ยงโรคเรื้อรัง แม้ตัวเลขบนตาชั่งจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ การวัดรอบเอวและปรับพฤติกรรมสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การชั่งน้ำหนัก

ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจรอบเอวในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีพฤติกรรม “นั่งนาน ไม่ค่อยออกกำลังกาย” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

📚 แหล่งที่มา
Ahmed KY, Aychiluhm SB, Thapa S, et al. Cardiometabolic Outcomes Among Adults With Abdominal Obesity and Normal Body Mass Index. JAMA Network Open. 2025;8(10):e2537942.
doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.37942

Posted on

❤️งานวิจัยใหม่ชี้! 99% ของโรคหัวใจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่เราป้องกันได้

งานวิจัยขนาดใหญ่จากสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้พบว่า เกือบทุกคน (มากกว่า 99%) ที่เกิดเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือดครั้งแรก (เช่น หัวใจวาย/โรคหลอดเลือดสมอง/หัวใจล้มเหลว) ล้วนมี ปัจจัยเสี่ยงดั้งเดิมที่แก้ไขได้ อย่างน้อย 1 ข้อก่อนหน้าเสมอ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง/เบาหวาน และการสูบบุหรี่ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการชัดเจนหากไม่ได้ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ Northwestern Now+2STAT+2

🧪 งานวิจัยชิ้นใหม่บอกอะไรเรา?

  • ทีมวิจัยตามติดข้อมูลสุขภาพของประชากรกว่า 9.3 ล้านคน ใน 2 ประเทศ นานกว่าสิบปี พบว่า กว่า 93% ของผู้เข้าร่วมมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 1 ข้อ และ มากกว่า 99% มีอย่างน้อย 1 ข้ออยู่ในระดับ “ไม่เหมาะสม” ก่อนเกิดเหตุการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดครั้งแรก Northwestern Now+1
  • ปัจจัยที่พบบ่อยสุดคือ ความดันโลหิตสูง ตามด้วยไขมันในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง/เบาหวาน และการสูบบุหรี่ Medical News Today
  • บทวิเคราะห์ในวารสาร Journal of the American College of Cardiology (JACC) ชี้ว่า ความเสี่ยงสะสมจาก “ระดับที่ไม่เหมาะสม แม้ไม่สูงมาก” ของปัจจัยทั้งสี่ เพียงพอ ที่จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคได้ จึงควรปรับแก้ตั้งแต่ยังไม่ป่วย JACC+1

🌍 บริบทระดับโลก: โรคหัวใจยังเป็น “ฆาตกรเงียบ” อันดับหนึ่ง

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก ราว 19.8 ล้านคน ในปี 2022 และ 85% ของการเสียชีวิตจากกลุ่มนี้มาจากหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง World Health Organization

สถานการณ์และข้อเท็จจริงในประเทศไทย

  • กระทรวงสาธารณสุขและ กรมควบคุมโรค ย้ำว่า ปัจจัยเสี่ยงที่พบมากและ ป้องกัน/ควบคุมได้ คือ ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง น้ำตาลสูง ภาวะอ้วน และพฤติกรรมสูบบุหรี่—หากจัดการได้ดี สามารถป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากถึง ประมาณ 80% Department of Disease Control
  • ข้อมูลไทยช่วงหลังชี้ว่าการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดยังสูงต่อเนื่อง โดยมีรายงานระดับชาติที่ระบุการเสียชีวิตแต่ละปีในระดับ “หลายหมื่นราย” และแนวโน้มเพิ่มขึ้น Department of Disease Control
  • งานวิจัยในไทยสะท้อนภาพเดียวกัน: ความดันโลหิตสูงของผู้ใหญ่ไทยเพิ่มขึ้นในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด PMC

📚 หลักฐานเดิมที่ “หนุน” ข้อค้นพบ (ภาพรวมเชิงวิทยาศาสตร์)

  • งานวิจัยนานาชาติ INTERHEART ระบุว่า 9 ปัจจัยเสี่ยงที่วัดง่ายและแก้ไขได้ อธิบายความเสี่ยงหัวใจวายได้ มากกว่า 90% ทั่วโลก (เช่น ไขมันผิดปกติ สูบบุหรี่ ความดันสูง เบาหวาน อ้วน ความเครียด ฯลฯ) สอดคล้องกับข้อค้นพบใหม่ว่าความเสี่ยงส่วนใหญ่ “แก้ได้” หากลงมือก่อนเกิดโรค PubMed+2PHRI+2

🧭 ความหมายต่อประชาชน: “รู้ก่อน–แก้ก่อน” ปลอดภัยกว่า

  • งานวิจัยครั้งนี้ หักล้างความเชื่อ ว่าหัวใจวายหรืออัมพาต “มาแบบไม่เตือน” เพราะในทางปฏิบัติ แทบทุกเคสมีร่องรอยเสี่ยงมาก่อน เพียงแต่เราไม่รู้/ไม่ตรวจเท่านั้น จึงควร คัดกรองสม่ำเสมอ (ความดัน–ไขมัน–น้ำตาล) และ เลิกบุหรี่ เพื่อลดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งแรก STAT+1

🛠️ ทำอย่างไร “วันนี้” ให้ความเสี่ยงลดลง? (เชื่อมโยงหลักฐาน)

  1. วัดความดัน–ตรวจเลือดเป็นประจำ: คัดกรองและปรับรักษาแต่เนิ่น ๆ ลดโอกาสหัวใจวาย/อัมพาตในอนาคต (แนวทางสาธารณสุขทั่วโลก—WHO/CDC) World Health Organization+1
  2. ปรับอาหารและน้ำหนักตัว: ลดเกลือ น้ำตาล ไขมันทรานส์ เลือกผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และไขมันดี สนับสนุนโดยงานวิจัยโลกและรายงาน สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) World Heart Federation
  3. เพิ่มกิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ: เดินเร็ว/ปั่นจักรยานอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ ตามคำแนะนำสาธารณสุข และการรณรงค์ของไทยช่วง “วันหัวใจโลก” โดย กระทรวงสาธารณสุข Department of Disease Control
  4. เลิกบุหรี่: ปัจจัยเดี่ยวที่ทำลายเส้นเลือดมากที่สุดอย่างหนึ่ง งาน INTERHEART ชี้บทบาทชัดเจนทั่วโลก The Lancet
  5. นอนให้พอ–จัดการความเครียด: หลักฐานสะสมชี้ว่าความเครียดและการนอนน้อยสัมพันธ์กับความดันสูงและการเผาผลาญผิดปกติ ซึ่งเป็น “ตัวจุดไฟ” ให้โรคหัวใจลุกลาม (อิงจากสังเคราะห์หลักฐานสากล) World Heart Federation

✅ สรุปย่อสำหรับผู้อ่าน

สาระสำคัญ: เกือบทุกเคสของหัวใจวาย อัมพาต หรือหัวใจล้มเหลว มีปัจจัยเสี่ยงที่เราแก้ได้ล่วงหน้า—ตรวจให้รู้ รักษาให้ทัน เลิกบุหรี่ ปรับอาหาร ออกกำลัง และคุมตัวเลขสำคัญ (ความดัน–ไขมัน–น้ำตาล) คือกุญแจลดความเสี่ยงตั้งแต่วันนี้ Northwestern Now+1

⚠️ หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อการให้ความรู้ทั่วไป ไม่ใช่คำวินิจฉัยหรือไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ส่วนบุคคล ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกังวลความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์/บุคลากรสาธารณสุขก่อนนำไปใช้

📚 แหล่งอ้างอิงงานวิจัย (คัดสำคัญ)

  • Northwestern University. “Nearly everyone has at least one risk factor before a heart attack, stroke or heart failure.” 29 ก.ย. 2025. Northwestern Now
  • STAT News. “Risk factors present in 99% of first-time cardiovascular adverse events.” 29 ก.ย. 2025. STAT
  • Medical News Today. “High blood pressure most common risk factor for heart attack, stroke.” 2025. Medical News Today
  • JACC. “Most CVD Events Are Preceded by Traditional Risk Factors.” 2025. JACC
  • Yusuf S, et al. INTERHEART study (Lancet, 2004) และสรุปโดย PHRI/ACC. The Lancet+2PHRI+2

🏛️ แหล่งอ้างอิงจากหน่วยงานภาครัฐ (ไทยและต่างประเทศ)

  • องค์การอนามัยโลก (WHO): ข้อเท็จจริงโรคหัวใจและหลอดเลือด (อัปเดต 31 ก.ค. 2025) – ภาระโรคทั่วโลกและสัดส่วนการเสียชีวิตจากหัวใจวาย/อัมพาต World Health Organization
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ: Heart Disease Facts – สถิติสหรัฐและสารสนเทศการป้องกันระดับประชากร CDC
  • กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย) – กรมควบคุมโรค: ข่าวรณรงค์วันหัวใจโลก ปี 2566–2567 เน้น 4 อ. และการป้องกัน/ควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้ Department of Disease Control+1
  • สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพระบบข้อมูลสุขภาพ (HISO)/ข้อมูลสถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดในไทย (ภาพรวมการป่วย/ตายระดับจังหวัด) hiso.or.th
Posted on

🫀วันหัวใจโลก 2025: เปิดข้อมูลโรคหัวใจและหลอดเลือดในคนไทย

เผยแพร่ 29 กันยายน “วันหัวใจโลก” โดยสหพันธ์หัวใจโลก(WHF) — วันแห่งการขับเคลื่อนให้คนทั้งโลกหันมาป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของมนุษยชาติ และสามารถป้องกันได้ถึงราว 80% หากเราจัดการปัจจัยเสี่ยงได้อย่างจริงจัง World Heart Federation

🎯 วันหัวใจโลกคืออะไร และทำไมคนไทยควรใส่ใจ

วันหัวใจโลก (World Heart Day) จัดขึ้นทุกวันที่ 29 กันยายนของทุกปี โดยสหพันธ์หัวใจโลก(WHF) เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาล สถานพยาบาล ชุมชน และประชาชน ลงมือป้องกันโรคหัวใจด้วยมาตรการที่พิสูจน์ผลได้ เช่น ลดเกลือ เพิ่มกิจกรรมทางกาย เลิกบุหรี่ และตรวจคัดกรองความดัน-เบาหวานอย่างสม่ำเสมอ (ธีมแคมเปญช่วงหลัง: “Don’t Miss a Beat”) World Heart Federation+1

📊 ภาระโรคหัวใจของประเทศไทย: ตัวเลขล่าสุดที่น่ากังวล

  • ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก(WHO) ระบุว่า โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการตายสำคัญของคนไทยอย่างต่อเนื่อง (กลุ่มโรคไม่ติดต่อคร่าชีวิตคนไทยส่วนใหญ่) datadot
  • ฝ่ายสื่อสารของกรมควบคุมโรค(DDC) กระทรวงสาธารณสุข รายงานในวาระวันหัวใจโลกปี 2566 ว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดราว 70,000 รายในปีที่ผ่านมา ตอกย้ำว่า “ป้องกันได้” หากจัดการปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ Department of Disease Control
  • ฐานข้อมูล World Heart Observatory ของสหพันธ์หัวใจโลก(WHF) ประเมินว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 136,761 รายในปี 2021 และประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายหลักด้านหัวใจและหลอดเลือดครบทั้ง 8 ด้าน (เช่น นโยบายลดเกลือ เลิกบุหรี่ คัดกรอง ฯลฯ) World Heart Federation

🩺 “ตัวจุดชนวน” ที่พบในคนไทย: ความดัน เบาหวาน ไขมัน และพฤติกรรมเสี่ยง

1) ความดันโลหิตสูง – การสำรวจระดับชาติ (NHES) โดยนักวิจัยไทยรายงานว่า ความชุกแบบปรับตามอายุอยู่ที่ ~25–26% (ปี 2019–2020) แต่ “การคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์” ลดลงเหลือ ~22–23% ในช่วงเดียวกัน สะท้อนช่องว่างการดูแลต่อเนื่องที่ต้องเร่งอุด BioMed Central+1

2) เบาหวาน – แนวโน้ม ความชุกหรือความหนาแน่นของผู้เป็นโรคเบาหวานของคนไทยเพิ่มขึ้นยาวนานตั้งแต่ปี 2004 และยังเป็นปัจจัยรุกรานหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก ต้องเน้นคัดกรอง-ดูแลระดับน้ำตาลและไขมันร่วมกัน (หลักฐานเชิงระบาดวิทยาไทยอัปเดตถึงปี 2025) PMC

3) ไขมันในเลือดสูง – ข้อมูลเปรียบเทียบสากลของสหพันธ์หัวใจโลก(WHF) ชี้ว่า คนไทยมีระดับคอเลสเตอรอลชนิด non-HDL ค่อนข้างสูงทั้งหญิงและชายเมื่อเทียบกับหลายประเทศ จึงควรกำหนดเป้าหมายลดไขมันและเกลืออย่างจริงจังในระดับนโยบายและครัวเรือน World Heart Federation

4) พฤติกรรมเสี่ยง (อาหาร-เกลือ-กิจกรรมทางกาย) – งานวิจัยด้านโภชนาการและพฤติกรรมกลุ่มโรคไม่ติดต่อในไทยปี 2025 พบว่า อาหารไม่เหมาะสม เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุด ตามด้วย ภาวะอ้วน/น้ำหนักเกิน และ ไม่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ PMC
นอกจากนี้ เอกสารขององค์การอนามัยโลก(WHO) ระบุว่า คนไทยอายุ 18+ มีภาวะกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอในระดับน่าห่วง (โปรไฟล์ประเทศไทย ปี 2022 และแฟกต์ชีตฉบับปี 2024) ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด World Health Organization+1

🧂 โซเดียมสูง: จุดบอดที่ต้องแก้ไขทั่วทั้งตลาดและอาหารบนโต๊ะ

งานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC) สหรัฐฯ รายงานว่า โรคความดันโลหิตสูงของคนไทยในปี 2020 ประมาณ 25% และชี้ให้เห็น “โอกาสเชิงนโยบาย” ผ่าน เครื่องปรุงโซเดียมต่ำ ซึ่งช่วยลดการได้รับเกลือโดยไม่กระทบรสชาติ—แนวทางเสริมต่อยุทธศาสตร์ลดเค็มระดับชาติของไทย CDC

🏃‍♀️ กิจกรรมทางกาย: ชี้ชะตาหัวใจตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยผู้ใหญ่

  • วัยเด็กและเยาวชน: รายงานการ์ดประเทศไทยปี 2022 พบว่า เพียง ~27% ที่ทำกิจกรรมทางกายตามเกณฑ์ขั้นต่ำ 60 นาที/วัน สม่ำเสมอ—แนวโน้มนี้เชื่อมโยงกับน้ำหนักเกินและโรคไม่ติดต่อในอนาคต PMC
  • ผู้ใหญ่: เอกสารขององค์การอนามัยโลก(WHO) ชี้ว่า คนไทยจำนวนมากยังมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ สอดคล้องกับการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ(NSO) ปี 2564 ที่นำมาใช้เป็นฐานวางแผนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและกรมอนามัย World Health Organization+2National Statistical Office+2

🏥 เข้าถึงการคัดกรองและการรักษา: จุดแข็งของระบบบัตรทองต้องใช้ให้คุ้ม

ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) คนไทยมีสิทธิ “ตรวจ-รักษา-รับยาความดันโลหิตสูง” ได้ที่หน่วยบริการปฐมภูมิ แต่ข้อมูลระดับชาติบ่งชี้ว่า สัดส่วน “ความสามารถควบคุมความดันได้” ยังต่ำ จำเป็นต้องเสริม การติดตามอย่างต่อเนื่อง (continuity of care) เครื่องมือ home BP monitoring และการ ปรับพฤติกรรมที่บ้านและที่ทำงาน ควบคู่ไปกับการใช้ยาลดความดัน BioMed Central+1

🧭 แผนระดับชาติและบทเรียนเชิงนโยบาย

ประเทศไทยมี แผนยุทธศาสตร์โรคไม่ติดต่อ (NCD) ระดับชาติ และกรณีศึกษา “NCD Investment Case” ร่วมกับองค์การอนามัยโลก(WHO)/สหประชาชาติ ที่ย้ำว่า การลงทุนในมาตรการหลัก (ลดเกลือ คัดกรองความดัน-เบาหวาน เลิกบุหรี่ เพิ่มกิจกรรมทางกาย) ให้ผลลัพธ์สูงขึ้นทั้งด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจของชาติ ICCP Portal+2World Health Organization+2

✅ เช็กลิสต์ป้องกันเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (ทำได้เลยวันนี้)

  • ลดเกลือ โซเดียม และเครื่องปรุงรสเค็ม เลือกผลิตภัณฑ์ “โซเดียมต่ำ” (เข้มงวดได้ด้วยการพิจารณาที่ฉลากโภชนาการและมาตรฐานตลาด) — หลักฐานสนับสนุนจากงานวิจัยนโยบายด้านเครื่องปรุงโซเดียมต่ำในคนไทย (ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)) CDC
  • วัดความดันอย่างสม่ำเสมอ และ พบแพทย์เมื่อน้ำหนักเกินเกณฑ์—เกณฑ์การแบ่งระดับและความรู้พื้นฐานเรื่องความดันจากกรมควบคุมโรค(DDC) Department of Disease Control
  • เดินให้ได้อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ (หรือกิจกรรมแอโรบิกระดับปานกลาง) + เสริมกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก(WHO) World Health Organization+1
  • คุมเบาหวานและไขมัน พร้อมกัน—อาศัยการคัดกรองสม่ำเสมอและการปรับอาหาร/ยา ตามแนวโน้มความชุกในคนไทยที่ยังเพิ่มขึ้น (หลักฐานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้/ไทย) PMC
  • งดบุหรี่และแอลกอฮอล์เกินเกณฑ์, นอนพอ, จัดการความเครียด, ลดเวลานั่งหน้าจอ—มาตรการวิถีชีวิตที่งานวิจัยกลุ่มโรคไม่ติดต่อยืนยันว่ามีผลต่อความเสี่ยงหัวใจของคนไทยอย่างมีนัยสำคัญ PMC

📰 สรุปเชิงข่าว

ในห้วง วันหัวใจโลก 29 กันยายน ปีนี้ ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก(WHO), สหพันธ์หัวใจโลก(WHF) และหน่วยงานด้านสาธารณสุของไทยชี้ชัด: โรคหัวใจและหลอดเลือดยังคร่าชีวิตคนไทยจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ป้องกันได้ จุดชี้ขาดอยู่ที่ การควบคุมปัจจัยเสี่ยง (เกลือ/โซเดียม กิจกรรมทางกาย น้ำหนัก ความดัน เบาหวาน ไขมัน) และ ความต่อเนื่องของการรักษา ในระบบปฐมภูมิ—หากทำครบถ้วน เราจะ “ไม่พลาดโอกาสป้องกัน” ของตนเองและสังคมไทยทั้งประเทศ BioMed Central+3World Heart Federation+3World Heart Federation+3


📝 หมายเหตุสำคัญ

  1. ข้อมูลเพื่อการให้ความรู้
    บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในบริบทของประเทศไทย โดยอ้างอิงจากข้อมูลและงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก(WHO), สหพันธ์หัวใจโลก(WHF), ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC), กระทรวงสาธารณสุข, กรมควบคุมโรค และสำนักงานสถิติแห่งชาติ(NSO)
  2. ไม่ใช่คำวินิจฉัยทางการแพทย์
    ข้อมูลทั้งหมดมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำปรึกษาหรือคำวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากท่านมีปัญหาสุขภาพหรือสงสัยว่าตนเองอาจมีภาวะเสี่ยงโรคหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำที่เหมาะสม
  3. ความถูกต้องของข้อมูล
    แม้ว่าจะมีการใช้ข้อมูลจากงานวิจัยและรายงานที่เชื่อถือได้ แต่สถิติด้านสุขภาพและนโยบายสาธารณะอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสมอ
  4. การนำไปใช้ต่อ
    สามารถนำเนื้อหาไปเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์สาธารณะได้ โดยควรอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างเหมาะสม เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพในสังคม

📚 แหล่งอ้างอิง

ประเทศไทย

  1. กรมควบคุมโรค(DDC) กระทรวงสาธารณสุข: ข่าวรณรงค์วันหัวใจโลก 2566 — คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ~70,000 ราย/ปี. Department of Disease Control
  2. กรมควบคุมโรค(DDC): ความดันโลหิตสูง—นิยามและระดับความรุนแรง. Department of Disease Control
  3. สำนักงานสถิติแห่งชาติ(NSO): รายงานสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร พ.ศ.2564 (รายงานฉบับสมบูรณ์/ชุดข้อมูล). National Statistical Office+1
  4. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข: ตัวชี้วัดกิจกรรมทางกายอ้างอิงข้อมูลจาก NSO 2564. DopaH
  5. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข/โครงการนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ NCD ระดับชาติ (เอกสารแผน 2017–2021). ICCP Portal

ต่างประเทศ/องค์การระหว่างประเทศ

  1. องค์การอนามัยโลก(WHO): หน้าประเทศไทย (ภาพรวมข้อมูลสุขภาพ) และแฟกต์ชีตกิจกรรมทางกาย ปี 2024; โปรไฟล์กิจกรรมทางกายประเทศไทย ปี 2022. datadot+2World Health Organization+2
  2. สหพันธ์หัวใจโลก(WHF): คำอธิบาย/ทรัพยากรแคมเปญวันหัวใจโลก 2025; ข้อมูล World Heart Observatory (ตัวเลขการเสียชีวิต CVD ของไทย ปี 2021). World Heart Federation+2World Heart Federation+2
  3. ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC) สหรัฐอเมริกา: งานวิจัยด้านเครื่องปรุงรสโซเดียมลดและความดันโลหิตสูงในไทย. CDC

หลักฐานวิจัยเชิงระบาดวิทยาในคนไทย (ตีพิมพ์สากล)

  • แนวโน้มความดันโลหิตสูงของคนไทย 2004–2020 (NHES) — ความชุกรวม ~25–26% และสัดส่วนคุมความดันลดลงช่วง 2019–2020. BioMed Central+1
  • แนวโน้มเบาหวานในคนไทย (อัปเดต 2025). PMC
  • ปัจจัยเสี่ยงพฤติกรรม NCD ในไทย ปี 2025 (อาหาร/อ้วน/ขยับกายน้อย ฯลฯ). PMC
  • เด็กและเยาวชนไทยทำกิจกรรมทางกายไม่ถึงเกณฑ์ (Report Card 2022). PMC

Posted on

🫘 รู้ทันสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคไต ตามข้อมูลจากหน่วยงานรัฐและงานวิจัย

สรุปสั้น ๆ: สาเหตุใหญ่ของโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) คือ โรคเบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง ส่วนปัจจัยที่ “เร่งให้ไตพังเร็วขึ้น” ได้แก่ เกลือ/โซเดียมสูง โรคอ้วน การสูบบุหรี่ การติดเชื้อและการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ ยา/สมุนไพรทำลายไต สารพิษโลหะหนัก ความร้อน–ขาดน้ำจากงานกลางแจ้ง รวมถึงภาวะไตวายเฉียบพลัน (AKI) ที่ทำให้ไตทรุดกลายเป็นเรื้อรังได้ หากคุมเบาหวาน–ความดันดี กินเค็มน้อย เลี่ยงยา/สมุนไพรทำร้ายไต และตรวจคัดกรองตามสิทธิสุขภาพ จะลดเสี่ยงได้มากที่สุด NIDDK+1Department of Disease Control


🏥 โรคไตคืออะไร ทำไมสำคัญ

โรคไตเรื้อรังคือภาวะที่ไตถูกทำลายต่อเนื่องเป็น เดือน–ปี จนกรองของเสีย–ควบคุมเกลือแร่ได้แย่ลง เสี่ยงหัวใจวาย อัมพาต และไตวายระยะสุดท้าย ต้องฟอกไตหรือต้องปลูกถ่ายไต การคัดกรองในกลุ่มเสี่ยงช่วยชะลอโรคได้มากตั้งแต่ระยะต้น ๆ (ตรวจเลือดครีเอตินิน/คำนวณ eGFR และตรวจอัลบูมินในปัสสาวะ) CDCNIDDK


🔎 สาเหตุหลักที่ “ทำให้เกิดโรคไต” โดยตรง

🍬 เบาหวาน (Diabetes)

น้ำตาลในเลือดสูงทำลายตัวกรองหน่วยไตจนเกิด ไตเสื่อมจากเบาหวาน (diabetic kidney disease) เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของ CKD ในผู้ใหญ่ทั่วโลกและสหรัฐฯ NIDDKWorld Health Organization

🫀 ความดันโลหิตสูง (Hypertension)

ความดันสูงทำลายหลอดเลือดฝอยในไต—ยิ่งบวมคั่งน้ำยิ่งดันความดันให้สูงขึ้น วนเป็นวงจรอันตราย จัดเป็นสาเหตุใหญ่รองจากเบาหวาน และการคุมให้ต่ำกว่า <130/80 มม.ปรอท ช่วยชะลอไตเสื่อมได้ (แนวทางรณรงค์ในไทย) NIDDK+1Department of Disease Control

🫘 โรคไตอักเสบ/ภูมิคุ้มกันทำลายไต และโรคทางพันธุกรรม

เช่น IgA nephropathy, lupus nephritis, โรคไตถุงน้ำหลายใบ (polycystic kidney disease) ฯลฯ กลุ่มนี้ทำให้ไตอักเสบ/เกิดพังผืดเรื้อรัง นำไปสู่ CKD ได้ NIDDK+1

🦠 การติดเชื้อที่ไต และ 🪨 การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ

ไตอักเสบจากเชื้อ (pyelonephritis) ที่รักษาช้า–ซ้ำซ้อนทำให้ แผลเป็นของไต และกลายเป็น CKD ได้ ส่วน นิ่ว–ต่อมลูกหมากโต–การอุดกั้น ก็ทำให้ไตเสื่อมถาวรได้เช่นกัน NIDDK+1


⚠️ ปัจจัย “เร่งไตพัง” ที่แก้ไขได้ (ปรับพฤติกรรมแล้วเสี่ยงลด)

🧂 เกลือ/โซเดียมสูง

โซเดียมมากทำให้ความดันสูงและทำร้ายไตโดยอ้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำไม่เกิน โซเดียม 2,000 มก./วัน (≈เกลือ 1 ช้อนชา) เพื่อลดเสี่ยง ความดันสูง–โรคไต โดยตรง อนามัยมีเดีย+1

⚖️ โรคอ้วน และกลุ่มอ้วนลงพุง

โรคอ้วนเพิ่มโอกาสเป็นความดัน–เบาหวาน ซึ่งเป็นสองสาเหตุใหญ่ของ CKD ทำให้เสี่ยง CKD สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ข้อมูล ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC)) CDC

🚬 การสูบบุหรี่

เป็นปัจจัยเสี่ยง CKD และทำให้โรคหัวใจ–หลอดเลือดเลวลง ยิ่งซ้ำเติมไตเสื่อม (ข้อมูล CDC) CDC

💊 ยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ใช้นาน/ใช้ผิด

ยาแก้ปวด–ลดไข้กลุ่มนี้ (เช่น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน ฯลฯ) ทำไตพังได้ โดยเฉพาะเมื่อกินประจำ/ภาวะขาดน้ำ/ความดันต่ำ (สถาบันโรคเบาหวานและทางเดินอาหารและโรคไตของสหรัฐฯ (NIDDK)) NIDDK+1

🧪 สารทึบรังสีและไตวายเฉียบพลัน (AKI)

สีย้อมทึบรังสีอาจก่อ ไตวายเฉียบพลัน ในบางราย และ AKI ซ้ำ ๆ เชื่อมโยงกับการลุกลามเป็น CKD เร็วขึ้น จึงต้องประเมินความเสี่ยงก่อนฉีดและเฝ้าระวังหลังฉีด (งานวิจัยทบทวน + แนวทางความรู้จาก NIDDK) PMC+1NIDDK

🌿 สมุนไพร/อาหารเสริมที่มี กรดอริสโตโลคิก

สาร aristolochic acid ในสมุนไพรบางชนิดทำให้ ไตเสื่อมถาวร และเพิ่มมะเร็งทางเดินปัสสาวะ (มีรายงานมานานและถูกจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายโดยเครือข่ายของ องค์การอนามัยโลก (WHO/IARC)) ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ไม่ขึ้นทะเบียน IARC PublicationsIMSEAR

🛢️ โลหะหนัก–สิ่งแวดล้อม (ตะกั่ว/แคดเมียม)

WHO ระบุชัด: ตะกั่วทำลายไตและเพิ่มความดันโลหิต ส่วนแคดเมียมมี “พิษต่อไต” และกำหนดค่าน้ำดื่มปลอดภัยไว้ที่ ≤0.003 มก./ลิตร จึงควรระวังแหล่งน้ำ–อาชีพเสี่ยง World Health Organization+1World Health Organization

☀️ ความร้อน–ขาดน้ำจากงานกลางแจ้ง (CKD of non-traditional causes)

หลักฐานพื้นที่ร้อนชื้น (อเมริกากลาง/เอเชียใต้) ชี้ว่า งานหนักกลางแจ้ง + ความร้อน + ขาดน้ำ เกี่ยวข้องกับ CKD ชนิดไม่ทราบสาเหตุ (CKDnt) โดย PAHO/WHO เสนอให้ลดภาระร้อนและเข้าถึงน้ำดื่มอย่างเพียงพอในกลุ่มแรงงาน iris.paho.org+1PMC


🔄 ความเชื่อมโยง “ไตวายเฉียบพลัน (AKI) → ไตเรื้อรัง (CKD)”

AKI ไม่ใช่แค่ปัญหาเฉียบพลัน—มันสามารถ เร่งให้ไตเสื่อมถาวร ได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ/มีโรคร่วม/ได้รับยาทำลายไต จึงควรป้องกัน AKI และติดตามการทำงานของไตหลังเหตุการณ์ทุกครั้ง (แนวทางวิชาการ NIDDK) NIDDK


ข้อแนะนำเชิงปฏิบัติ “ฉบับคนไทย”

  • คุมเบาหวาน–ความดันให้ได้เป้า (HbA1c ส่วนใหญ่ <6.5–8% แล้วแต่กลุ่มอายุ/โรคร่วม; ความดัน <130/80 มม.ปรอท ตามคำแนะนำรณรงค์ของไทย) และ คัดกรองไตทุกปี ในผู้ป่วยเบาหวาน/ความดัน Department of Disease Control
  • ลดเค็ม ให้โซเดียมไม่เกิน 2,000 มก./วัน (เกลือ 1 ช้อนชา) เลี่ยงอาหารแปรรูป/ปรุงรสจัด ตาม กรมอนามัย อนามัยมีเดีย+1
  • หลีกเลี่ยงการใช้ NSAIDs ต่อเนื่องเอง ปรึกษาแพทย์–เภสัชกร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ/เบาหวาน/ความดัน/CKD NIDDK
  • ระวังสมุนไพร/อาหารเสริมไม่ขึ้นทะเบียน โดยเฉพาะที่มี aristolochic acid IARC Publications
  • แรงงานกลางแจ้ง ควรมีน้ำดื่ม–ช่วงพัก–ร่มเงาลดความร้อน และตรวจคัดกรองไตเป็นระยะในฤดูร้อนยาวนาน iris.paho.org
  • ใช้สิทธิ บัตรทอง/ประกันสุขภาพภาครัฐ เพื่อเข้าถึงการคัดกรองและการบำบัดทดแทนไตเมื่อจำเป็น (ฟอกเลือด/ล้างไตทางช่องท้อง) NHSO+1

🧾 คำย่อที่พบบ่อย

  • องค์การอนามัยโลก (WHO) World Health Organization
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) CDC
  • สถาบันโรคเบาหวานและทางเดินอาหารและโรคไต ของสหรัฐอเมริกา (NIDDK) NIDDK
  • ไตวายเฉียบพลัน (AKI) / โรคไตเรื้อรัง (CKD) NIDDK

✅ เช็กลิสต์ “ใครควรตรวจคัดกรองไตปีละครั้ง”

  • ผู้ป่วย เบาหวาน/ความดันโลหิตสูง
  • ผู้มี โรคอ้วน/สูบบุหรี่/ประวัติครอบครัวโรคไต
  • ผู้ที่ ใช้ NSAIDs ประจำ หรือเคยมี AKI
  • ผู้มีประวัติ นิ่ว–ทางเดินปัสสาวะอุดกั้น–ติดเชื้อไตซ้ำ
  • แรงงานกลางแจ้ง ในสภาพอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน
    (อ้างอิงเกณฑ์ความเสี่ยงจาก CDC/NIDDK และข้อแนะนำจากหน่วยงานไทย) CDCNIDDK

แหล่งอ้างอิง (หน่วยงานภาครัฐไทย & ต่างประเทศ)

หน่วยงานไทย

  1. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข – ข่าวรณรงค์ “วันไตโลก” เน้นคุมเบาหวาน–ความดันและคัดกรองไตทุกปี (ปี 2567–2568) Department of Disease Control+1
  2. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – ข้อแนะนำโซเดียม ≤2,000 มก./วัน และรายการอาหารโซเดียมสูง (อินโฟกราฟิก) อนามัยมีเดีย+2อนามัยมีเดีย+2
  3. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข – เอกสารวิชาการโรคไตเรื้อรัง/การจัดระดับความรุนแรงและปัจจัยเสี่ยงในประชากรไทย training.dms.moph.go.th+1
  4. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) – สิทธิการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง (ฟอกเลือด/ล้างไต) และประกาศการจ่ายค่าบริการล่าสุด NHSO+2NHSO+2

หน่วยงานต่างประเทศ

  1. สถาบันโรคเบาหวานและทางเดินอาหารและโรคไต ของสหรัฐอเมริกา (NIDDK) – สาเหตุ CKD ในผู้ใหญ่, ความดันโลหิตกับโรคไต, การป้องกัน/จัดการ CKD, NSAIDs ทำลายไต, ภาวะ AKI เชื่อมกับ CKD (ทบทวนล่าสุด ก.พ. 2025 หลายหน้า) NIDDK+4NIDDK+4NIDDK+4
  2. ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) – ปัจจัยเสี่ยง CKD (โรคอ้วน, สูบบุหรี่, เบาหวาน, ความดันฯ) และแฟกต์ชีต CKD 2023/2024 CDC+2CDC+2
  3. องค์การอนามัยโลก (WHO) – ข้อเท็จจริงโรคเบาหวาน/ความดัน, ข้อกำหนดสารตะกั่ว–แคดเมียมและพิษต่อไต (water guideline/chemical safety) World Health Organization+2World Health Organization+2World Health Organization
  4. องค์การอนามัยแพน–อเมริกา (PAHO/WHO) – หลักฐาน CKD จากความร้อน–ขาดน้ำในแรงงาน (CKDnt) และรายงานปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ iris.paho.org+1
  5. บทปริทัศน์วิชาการ (สืบค้นจากฐาน NCBI/PMC) – ภาวะไตวายเฉียบพลันจากสีย้อมทึบรังสี (CIN/CA-AKI) และความร้อนกระทบไต PMC+2PMC+2
  6. WHO/IARC – เอกสารประเมินความเสี่ยงสาร aristolochic acid ในสมุนไพรที่ทำให้เกิด nephropathy และมะเร็งทางเดินปัสสาวะ IARC Publications

Posted on

รู้ทันโรคไตเสื่อม: วิธีสังเกตอาการ พร้อมแนวทางป้องกันตามงานวิจัย

โรคไตเสื่อม (โรคไตเรื้อรัง – Chronic Kidney Disease: CKD) กำลังกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย จากข้อมูลของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่าโรคนี้มักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น จนกระทั่งเข้าสู่ระยะรุนแรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากเข้าสู่ภาวะไตวายโดยไม่รู้ตัว

จากรายงานของ โครงการศึกษาภาระโรคทั่วโลก (Global Burden of Disease Study 2017) โรคไตเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 12 ของโลก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศรายได้ปานกลางและต่ำ

อาการของโรคไตเสื่อม: สังเกตได้จากอะไรบ้าง

แม้ว่าโรคไตเสื่อมจะเริ่มต้นโดยไม่มีอาการ แต่เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3–5 ผู้ป่วยมักแสดงอาการต่างๆ ที่สามารถสังเกตได้ เช่น:

  1. อาการบวม โดยเฉพาะที่หน้า ขา และเท้า
    จากการศึกษาของ มูลนิธิโรคไตแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Kidney Foundation: NKF, 2020) ระบุว่าอาการบวมมักเกิดจากการสะสมน้ำที่ไตไม่สามารถขับออกได้
  2. ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน ปัสสาวะมีฟอง หรือมีเลือดปน
    งานวิจัยในวารสาร ไตอินเตอร์เนชันแนลรีพอร์ตส์ (Kidney International Reports, 2021) พบว่าผู้ป่วยโรคไตเสื่อมมีแนวโน้มปัสสาวะผิดปกติสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 3 เท่า
  3. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด หรือเบื่ออาหาร
    ไตที่เสื่อมจะผลิตฮอร์โมน อิริโทรโพอิติน (Erythropoietin) น้อยลง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง (anemia) จากข้อมูลของ สมาคมโรคไตแห่งอเมริกา (American Society of Nephrology: ASN, 2020)
  4. ความดันโลหิตสูงควบคุมยาก
    ไตเกี่ยวข้องโดยตรงกับการควบคุมสมดุลเกลือและน้ำ งานวิจัยจากวารสาร ความดันโลหิตสูง (Journal of Hypertension, 2020) ชี้ว่าผู้ที่มีโรคไตเรื้อรังมักต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อลดความดัน

กลุ่มเสี่ยงของโรคไตเสื่อม

  1. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน (Diabetes) และความดันโลหิตสูง (Hypertension)
  2. ผู้สูงอายุ
  3. ผู้ที่มีประวัติโรคไตในครอบครัว
  4. ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs – Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs) อย่างต่อเนื่อง

จากงานวิจัยของ วารสารแลนเซตเบาหวานและต่อมไร้ท่อ (Lancet Diabetes & Endocrinology, 2019) พบว่าเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังในกว่า 40% ของผู้ป่วยทั่วโลก

วิธีป้องกันโรคไตเสื่อม: ทำได้อย่างไร?

  1. ควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์
    งานวิจัยใน วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England Journal of Medicine: NEJM, 2019) แสดงว่า การควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท สามารถชะลอการเสื่อมของไตได้อย่างมีนัยสำคัญ
  2. ลดการบริโภคเกลือและโปรตีนมากเกินไป
    งานวิจัยจาก วารสารสมาคมโรคไตแห่งอเมริกา (Clinical Journal of the American Society of Nephrology: CJASN, 2021) แนะนำให้จำกัดเกลือไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม/วัน และโปรตีนที่เหมาะสมคือ 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดโดยไม่จำเป็น
    โดยเฉพาะยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และไดโคลฟีแนก (Diclofenac) ที่มีผลกระทบต่อไตโดยตรง งานวิจัยใน บีเอ็มเจโอเพ่น (BMJ Open, 2020) ชี้ว่าการใช้ NSAIDs เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเฉียบพลันในผู้สูงอายุถึง 1.6 เท่า
  4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนัก
    จากการศึกษาของ วารสารโภชนาการไต (Journal of Renal Nutrition, 2022) พบว่าการออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงโรคไตได้
  5. ตรวจคัดกรองไตเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
    การตรวจค่าครีอะตินิน (Creatinine), อัตราการกรองของไต (eGFR – Estimated Glomerular Filtration Rate) และโปรตีนในปัสสาวะเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจพบโรคไตในระยะเริ่มต้น

สรุป

โรคไตเสื่อมเป็นภัยเงียบที่สามารถป้องกันและชะลอได้ หากรู้เท่าทันสัญญาณอาการและปัจจัยเสี่ยง การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ การเลือกพฤติกรรมที่เหมาะสม และการหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลต่อไตโดยไม่จำเป็น จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและภาระด้านสาธารณสุขในระยะยาว.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Global Burden of Disease Study 2017. Lancet.
  2. National Kidney Foundation (NKF). “Kidney Disease Facts.” 2020.
  3. American Society of Nephrology (ASN). “Anemia and CKD.” 2020.
  4. Kidney International Reports, 2021;6(5):1234–1242.
  5. Journal of Hypertension. 2020;38(7):1364–1372.
  6. Lancet Diabetes & Endocrinology. 2019;7(6):426–438.
  7. New England Journal of Medicine. 2019;380:1811–1821.
  8. Clinical Journal of the American Society of Nephrology (CJASN). 2021;16(2):282–291.
  9. BMJ Open. 2020;10(5):e036283.
  10. Journal of Renal Nutrition. 2022;32(1):75–83.
Posted on

ขนมปังขัดขาว ทำไมรสไม่เค็ม แต่โซเดียมสูง?

บทนำ: ขนมปังขาว รสจืดแต่โซเดียมสูง

แม้ขนมปังขัดขาวจะไม่ให้รสเค็มชัดเจนเหมือนขนมขบเคี้ยวหรืออาหารแปรรูปอื่น ๆ แต่กลับมีปริมาณโซเดียมแฝงอยู่ในระดับที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่บริโภคเป็นประจำ เช่น ในมื้อเช้า หรือเป็นของว่าง โซเดียมที่มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคหัวใจในระยะยาว

เหตุใดขนมปังขัดขาวจึงมีโซเดียมสูง ทั้งที่ไม่ได้มีรสเค็ม?

1. โซเดียมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำขนมปัง

  • เกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ช่วยควบคุมการหมักยีสต์ ปรับโครงสร้างกลูเตน และเพิ่มความยืดหยุ่นของแป้ง ทำให้ขนมปังนุ่มและอยู่ตัว
  • งานวิจัยจาก The American Journal of Clinical Nutrition (2001) ระบุว่า แม้เกลือจะมีบทบาทน้อยในรสชาติ แต่มีความสำคัญในด้านฟังก์ชันการอบและคุณสมบัติของแป้งโดว์

Shepherd R, et al. (2001). Salt in bread: a major source of dietary sodium. Am J Clin Nutr. 74(5):722–727.

2. การบริโภคหลายแผ่นทำให้โซเดียมสะสม

  • ขนมปังแผ่นหนึ่งอาจมีโซเดียมเฉลี่ย 120–200 มก. และการบริโภค 2-3 แผ่นต่อมื้อจะทำให้ได้โซเดียมมากกว่า 400–600 มก. ทันที
  • งานวิจัยจาก CDC (Centers for Disease Control and Prevention) พบว่า ขนมปังและผลิตภัณฑ์เบเกอรี่อยู่ในกลุ่ม Top 10 แหล่งโซเดียมสูงที่สุด ที่คนอเมริกันบริโภค

CDC. (2012). Vital Signs: Food Categories Contributing the Most to Sodium Consumption — United States, 2007–2008.
https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/mm6105a3.htm

3. โซเดียมแฝงจากส่วนผสมอื่น ๆ

  • เช่น ผงฟู (sodium bicarbonate), สารกันบูด (sodium propionate), หรือแม้แต่ในยีสต์เชิงพาณิชย์บางชนิด ซึ่งอาจเติมเกลือไว้ล่วงหน้า
  • รายงานจาก Harvard School of Public Health ระบุว่า แม้ไม่มีรสเค็มในปาก แต่โซเดียมจากวัตถุเจือปนอาหารสามารถสะสมและส่งผลต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกับเกลือ

ผลกระทบต่อสุขภาพจากโซเดียมในขนมปัง

  • เพิ่มความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง
  • มีผลต่อการทำงานของไตในระยะยาว
  • เพิ่มภาระต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
    📌 งานวิจัยใน BMJ (2020) รายงานว่า การลดโซเดียมเพียง 1 กรัมต่อวัน ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรได้ชัดเจน

Mozaffarian D, et al. (2020). Global sodium consumption and death from cardiovascular causes. BMJ 2020;368:m282.
https://www.bmj.com/content/368/bmj.m282

คำแนะนำสำหรับผู้บริโภค

  • อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อขนมปัง โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำกว่า 120 มก./แผ่น
  • หลีกเลี่ยงขนมปังที่มีคำว่า “extra soft”, “long shelf-life” หรือ “enhanced flavor” ซึ่งมักมีสารปรุงแต่งเพิ่ม
  • เสริมโปรตีนและไฟเบอร์ในมื้อที่มีขนมปัง เพื่อช่วยชะลอการดูดซึมโซเดียม
  • เลือกขนมปังโฮลวีตที่ไม่มีเกลือหรือใช้สูตร low sodium ซึ่งกำลังเริ่มมีในตลาดสุขภาพ

สรุป: รสชาติไม่เค็ม ไม่ได้แปลว่าโซเดียมน้อย

ขนมปังขัดขาวอาจดูไร้พิษภัยในแง่รสชาติ แต่กลับเป็นหนึ่งในแหล่งโซเดียมที่หลายคนมองข้าม การใส่ใจต่อฉลากโภชนาการ และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในยุคที่โรคเรื้อรังจากพฤติกรรมการกินกำลังกลายเป็นภัยเงียบของสังคม.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Shepherd R, et al. (2001). Salt in bread: a major source of dietary sodium. Am J Clin Nutr. 74(5):722–727.
    https://academic.oup.com/ajcn/article/74/5/722/4737422
  2. CDC. (2012). Vital Signs: Food Categories Contributing the Most to Sodium Consumption — United States, 2007–2008.
    https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/mm6105a3.htm
  3. Mozaffarian D, et al. (2020). Global sodium consumption and death from cardiovascular causes. BMJ 2020;368:m282.
    https://www.bmj.com/content/368/bmj.m282
Posted on

เพิ่มน้ำหนักวัยเด็ก ช่วยให้สูงขึ้น ไม่เสี่ยงอ้วนหรือความดันสูง งานวิจัยจากมาลีเผย

มาลี, แอฟริกาตะวันตก – งานวิจัยติดตามกลุ่มเด็กในประเทศมาลีนานกว่า 20 ปี พบว่า เด็กที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในวัยเด็กเล็ก มีแนวโน้มจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สูงขึ้น โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูงมากนัก

การศึกษาครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1998 โดยนักวิจัยได้ติดตามเด็กกว่า 1,300 คนในหมู่บ้านชนบทของประเทศมาลี ตั้งแต่อายุประมาณ 1 ขวบ จนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยวัดส่วนสูง น้ำหนัก และความดันโลหิตอย่างต่อเนื่อง

เด็กที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า หากเด็กมีน้ำหนักมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงอายุ 1–10 ปี จะมีแนวโน้มสูงขึ้นเฉลี่ย 3–4 เซนติเมตรเมื่ออายุประมาณ 21 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มที่เคยมีปัญหาขาดสารอาหารหรือแคระแกร็น

ความเสี่ยงโรคอ้วนและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

แม้ว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าความดันโลหิตและค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงขึ้นเล็กน้อยในวัยผู้ใหญ่ แต่ผลกระทบโดยรวมถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประโยชน์จากการมีรูปร่างที่สูงขึ้น เช่น ลดความเสี่ยงการคลอดติดขัดในเพศหญิง และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาหรือรายได้ในเพศชาย

ผู้วิจัยแนะควรส่งเสริมโภชนาการเด็กแม้พ้นวัย 2 ขวบ

โดยทั่วไป มาตรการด้านสาธารณสุขมักให้ความสำคัญกับโภชนาการในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต (ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 2 ขวบ) แต่การศึกษานี้ชี้ว่า การดูแลโภชนาการหลังวัย 2 ขวบก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังมีเด็กแคระแกร็นจำนวนมาก

ผลสะท้อนนโยบายในประเทศยากจน

งานวิจัยนี้มีนัยสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยเสนอว่าการให้โอกาสเด็กได้รับโภชนาการเพียงพอ แม้จะเพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย ก็อาจช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างมีศักยภาพและสุขภาพดีในระยะยาว.

แหล่งที่มา
Strassmann BI, Amankwaa A, Osei A, et al. Risks and Benefits of Weight Gain in Children With Undernutrition. JAMA Network Open. 2025;6(6):e2514289. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.14289

Posted on

ตัวเลขสำคัญที่อาจส่งผลรุนแรง: วิเคราะห์โรคความดันโลหิตสูงจากงานวิจัยทั่วโลก

(ภาพประกอบ)

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะสุขภาพที่คนไทยจำนวนมากมองข้าม โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นที่มักไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ผลกระทบที่ตามมาอาจรุนแรงและคุกคามชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งโรคหัวใจ ไตเสื่อม และหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก

ตัวเลขสำคัญ: ความดันเท่าไรถึงเรียกว่า “สูง”?

องค์การอนามัยโลก (WHO) และแนวทางของสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (AHA) ระบุว่า ความดันโลหิตปกติควรอยู่ที่ ต่ำกว่า 120/80 mmHg หากค่าความดันอยู่ที่ 130/80 mmHg ขึ้นไป จัดว่าเป็นภาวะความดันโลหิตสูงระดับเริ่มต้น และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ค่าความดันที่สูงเกิน 140/90 mmHg อาจนำไปสู่ความเสี่ยงรุนแรงต่ออวัยวะสำคัญหลายระบบ

ในรายงานจาก JAMA (2021) พบว่า ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงโดยไม่ได้รับการควบคุมมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้นถึง 4 เท่า และเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่มีความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ (Whelton PK et al., 2021)

อาหารแบบไหนที่ต้องระวัง?

อาหารมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต โดยเฉพาะอาหารที่มี โซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัว และน้ำตาลแฝง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง:

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ ลูกชิ้น ที่มักมีโซเดียมสูง
  • อาหารจานด่วน เช่น ไก่ทอด เบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย
  • เครื่องดื่มรสหวาน เช่น ชานม กาแฟเย็น เครื่องดื่มอัดลม

งานวิจัยจาก The New England Journal of Medicine (2014) รายงานว่าการลดปริมาณโซเดียมในอาหารช่วยลดความดันโลหิตได้เฉลี่ย 4-5 mmHg ในผู้ที่มีภาวะความดันสูง และลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดลงอย่างมีนัยสำคัญ (Mozaffarian D et al., 2014)

อาหารที่ควรเพิ่ม:

  • ผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย อะโวคาโด มะเขือเทศ
  • ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท
  • ปลาและไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก

แนวทาง DASH Diet (Dietary Approaches to Stop Hypertension) ซึ่งออกแบบมาเพื่อควบคุมความดันโดยเฉพาะ ได้รับการรับรองจากหลายงานวิจัยว่าสามารถลดค่าความดันโลหิตได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หากปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ผลกระทบที่มองไม่เห็น: ความดันโลหิตสูงทำร้ายอวัยวะอย่างไร?

ความดันโลหิตสูงไม่ใช่แค่ “ตัวเลข” แต่คือสัญญาณเตือนของความเสียหายภายในร่างกายที่ค่อย ๆ สะสม

1. สมอง:

ความดันสูงทำให้หลอดเลือดสมองเสื่อม เสี่ยงต่อ หลอดเลือดสมองแตกหรือตีบ (stroke) โดยข้อมูลจาก Lancet Neurology (2020) แสดงให้เห็นว่า 54% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยร่วม

2. หัวใจ:

ภาวะหัวใจโตและหัวใจล้มเหลวเป็นผลตามมาจากความดันโลหิตที่สูงต่อเนื่อง โดยความดันที่สูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น จนอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาและไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ไต:

ไตมีหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด หากหลอดเลือดที่ไตถูกทำลายโดยความดันสูง จะนำไปสู่ ไตวายเรื้อรัง ซึ่งในที่สุดอาจต้องพึ่งพาการฟอกไต

4. ตา:

หลอดเลือดฝอยที่จอตาไวต่อการเปลี่ยนแปลงของความดัน หากความดันสูงจะทำให้เกิด ภาวะจอตาเสื่อมจากความดัน (Hypertensive Retinopathy) ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นในระยะยาว

วิธีตรวจวัดและติดตามค่าความดันที่บ้าน

  • ใช้เครื่องวัดความดันแบบดิจิทัลที่แขน (อุปกรณ์ที่ใช้กับข้อมือมักคลาดเคลื่อน)
  • ตรวจวัดตอนเช้าและเย็น ขณะนั่งพักนิ่งอย่างน้อย 5 นาที
  • วัด 2 ครั้งห่างกัน 1 นาที แล้วเฉลี่ยค่า
  • บันทึกค่าทุกวันเพื่อติดตามแนวโน้ม

สรุป

โรคความดันโลหิตสูงเป็น “ภัยเงียบ” ที่ส่งผลกระทบได้ในทุกระบบของร่างกาย การป้องกันเริ่มต้นได้จากการเลือกอาหารที่เหมาะสม การตรวจวัดอย่างสม่ำเสมอ และการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีงานวิจัยมากมายสนับสนุนว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสามารถชะลอหรือป้องกันผลลัพธ์ที่ร้ายแรงได้.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Whelton PK et al. (2021). “2021 Guideline for the Prevention, Detection, Evaluation, and Management of High Blood Pressure in Adults.” JAMA. https://jamanetwork.com
  2. Mozaffarian D et al. (2014). “Global sodium consumption and death from cardiovascular causes.” NEJM. https://www.nejm.org
  3. The Lancet Neurology. (2020). “Global burden of stroke and its risk factors, 1990–2019.” https://www.thelancet.com/journals/laneur
  4. National Heart, Lung, and Blood Institute. (2023). “DASH Eating Plan.” https://www.nhlbi.nih.gov/health/dash-eating-plan