Posted on

วิธีลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน

วิธีลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมีหลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนักเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวาน

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน:

  • ลดปริมาณของหวานหรืออาหารจำพวกแป้งและคาร์โบไฮเดรตต่าง ๆ ลง
  • บริโภคอาหารที่มีกากใยสูงอย่างผักใบเขียวและผลไม้
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ.

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิก ครั้งละประมาณ 30 นาที ให้ได้ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์.

ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ:

  • สังเกตอยู่เสมอว่าน้ำหนักลด หรือเพิ่มแบบไม่มีสาเหตุหรือไม่
  • พยายามควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่อ้วนเกินไป หรือผอมเกินไป.

หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์:

  • ลด ละ หลีกเลี่ยง หรือจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นอาจมีผลข้างเคียงกับยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน รวมถึงโรคอื่น ๆ.

งดสูบบุหรี่:

  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรงดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด.

ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด:

  • เมื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ คุณหมอก็จำเป็นต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด.

เพิ่มการรับประทานผักผลไม้:

  • บริโภคผักผลไม้ที่มีรสหวานในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อเพิ่มการรับประทานคาร์โบไฮเดรตจากผัก ธัญพืช ถั่ว ผลไม้ และนมจืดไขมันต่ำ.

ลดปริมาณข้าวหรือแป้ง:

  • ลดปริมาณข้าวแป้งในอาหารและเลือกบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ.

เริ่มออกกำลังกาย:

  • เริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องอย่างน้อย 700 แคลอรี่ต่อสัปดาห์ หรือเพิ่มกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์.

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด:

ควรมีน้ำหนักตัวและรอบเอวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาในแต่ละวัน.

โดยรวมแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนักเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวาน และควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเหมาะสม.

วีว่าเช็ค แฟด เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด พร้อมแถบวัดค่าและเข็มเจาะนิ้ว

เข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

ALLWELL Glucosure Autocode เครื่องวัดน้ำตาล (พร้อมแผ่นตรวจ+เข็มเจาะเลือดอย่างละ 50 ชิ้น)

เข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Major Sport ลู่วิ่งไฟฟ้าขนาดเล็ก รุ่น CF-189 สีเทา/ดำ – เทา/ดำ

เข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น่

Posted on

โรคเบาหวาน: ความเข้าใจที่ครอบคลุม

โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยตับอ่อนและช่วยให้เซลล์ในร่างกายนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดไปใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานมีหลายประเภท แต่ประเภทที่พบบ่อยที่สุดคือโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2

ประเภทของโรคเบาหวาน

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1: เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีและทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ซึ่งเป็นเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ต้องฉีดอินซูลินทุกวันเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2: เกิดจากการที่เซลล์ในร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยา
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์: เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้เซลล์ในร่างกายดื้อต่ออินซูลิน โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักจะหายไปหลังจากคลอดบุตร แต่ผู้หญิงที่เคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในภายหลัง

อาการของโรคเบาหวาน

อาการของโรคเบาหวานอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของโรค อาการทั่วไป ได้แก่:

  • กระหายน้ำบ่อย
  • ปัสสาวะบ่อย
  • หิวบ่อย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • รู้สึกเหนื่อยล้า
  • มองเห็นไม่ชัด
  • แผลหายช้า
  • ชาหรือเจ็บที่มือหรือเท้า

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจเลือดที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน ได้แก่:

  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม: การตรวจเลือดนี้สามารถทำได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องอดอาหาร
  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบอดอาหาร: การตรวจเลือดนี้ทำหลังจากอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบเฉลี่ย (HbA1c): การตรวจเลือดนี้วัดระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

หากไม่ได้รับการรักษา โรคเบาหวานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ได้แก่:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: โรคเบาหวานเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดส่วนปลาย
  • โรคไต: โรคเบาหวานอาจทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะไตวาย
  • โรคตา: โรคเบาหวานอาจทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเบาหวาน ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น
  • โรคระบบประสาท: โรคเบาหวานอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาท ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกชาหรือเจ็บที่มือและเท้า
  • การตัดแขนขา: โรคเบาหวานอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและแผลที่เท้า ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดแขนขา

การรักษาโรคเบาหวาน

เป้าหมายของการรักษาโรคเบาหวานคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด การรักษาโรคเบาหวานอาจรวมถึง:

  • การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการลดน้ำหนักสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ยา: มีหลายประเภทของยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน ได้แก่ ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาอินซูลิน และยาป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • การฉีดอินซูลิน: ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 บางรายจำเป็นต้องฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • การผ่าตัด: ในบางกรณี การผ่าตัดอาจเป็นตัวเลือกในการรักษาโรคเบาหวานได้ เช่น การผ่าตัดลดน้ำหนักหรือการปลูกถ่ายตับอ่อน

การป้องกันโรคเบาหวาน

แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ แต่สามารถป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้โดยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ได้แก่:

  • การควบคุมน้ำหนัก: การรักษาน้ำหนักตัวที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: การรับประทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนไม่ติดมันสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • การเลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด

สรุป: โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย โรคเบาหวานมีหลายประเภท แต่ประเภทที่พบบ่อยที่สุดคือโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือด หากไม่ได้รับการรักษา โรคเบาหวานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เป้าหมายของการรักษาโรคเบาหวานคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การใช้ยา และการฉีดอินซูลินเป็นวิธีการรักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุด แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ แต่สามารถป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้โดยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

วีว่าเช็ค แฟด เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด พร้อมแถบวัดค่าและเข็มเจาะนิ้ว

เข้าดูโปรโมชั่น

Easymax เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด รุ่น MU พร้อมแถบในการตรวจ จำนวน 50 ชิ้น

เข้าดูโปรโมชั่น

Posted on

พฤติกรรมแบบใดเสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตหรือใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่ระดับน้ำตาลในเลือดสูง พฤติกรรมบางอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด

พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมีดังนี้

1.การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

  • การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน และอาหารแปรรูป
  • การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อแปรรูป และผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันเต็ม
  • การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตขัดสีสูง เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว และพาสต้า

2.การใช้ชีวิตอยู่ประจำที่นานๆ

  • การนั่งเป็นเวลานานๆ โดยไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย
  • การหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางกายใดๆ
  • การมีงานที่ต้องนั่งเป็นเวลานาน

3.น้ำหนักเกินหรืออ้วน

  • การมีดัชนีมวลกาย (BMI) 25 หรือสูงกว่า
  • การมีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง

4.ประวัติทางครอบครัว

  • การมีพ่อแม่ พี่น้อง หรือลูกที่เป็นโรคเบาหวาน
  • การมีประวัติโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (เบาหวานขณะตั้งครรภ์)

5.อายุ

  • ความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มขึ้นตามอายุ

6.เชื้อชาติหรือชาติพันธุ์

  • บางกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวอเมริกันพื้นเมือง ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ชาวฮิสแปนิก และชาวเอเชีย มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานสูงกว่า

7.ปัญหาสุขภาพอื่นๆ

  • โรคความดันโลหิตสูง
  • คอเลสเตอรอลสูง
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • โรคตับไขมันไม่ติดเชื้อ

8.การสูบบุหรี่

  • การสูบบุหรี่สามารถทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ซึ่งเป็นเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน

9.การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไปสามารถนำไปสู่การดื้อต่ออินซูลินและเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด

10.การนอนหลับไม่เพียงพอ

  • การนอนหลับไม่เพียงพอสามารถรบกวนการผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

วิธีลดความเสี่ยง

การลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานนั้นทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ได้แก่

  • รับประทานอาหารที่มีสุขภาพดี
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • รักษาให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ
  • นอนหลับให้เพียงพอ
  • จัดการกับความเครียด
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ ที่กล่าวมาข้างต้น คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังได้.

ALLWELL เครื่องวัดน้ำตาล GlucoAll-1B เครื่องตรวจเบาหวาน(แผ่นตรวจ+เข็มเจาะเลือด 10 ชิ้น) – สีขาว

เข้าดูโปรโมชั่น

AMARIT สมุนไพรกระชายขาว 60 แคปซูล

เข้าดูโปรโมชั่น

Posted on Leave a comment

ผลการวิจัยล่าสุดบ่งชี้ว่าการเดินหลังรับประทานอาหารเพียงสองนาทีสามารถส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้

การศึกษาวิจัยในปี 2022 ที่เผยแพร่ในวารสารสปอร์ตเมดิซีน(Sports Medicine) ระบุว่าการเดินสั้นๆ เพียง 2-5 นาทีหลังจากรับประทานอาหารสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้พบได้ทั่วไปในวิถีชีวิตแบบชาวเมดิเตอร์เรเนียน เป็นที่รู้กันว่ามีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยภาพรวมที่เกี่ยวข้องกับอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน การศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลกระทบของการนั่ง การยืนและการเดินต่อระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือด โดยการวิเคราะห์งานวิจัย 7 เรื่องที่แตกต่างกัน พบว่าการเดินกลางแจ้งเป็นช่วงๆ หลังอาหารมีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยลดลงเฉลี่ย 17.01% เมื่อเทียบกับการนั่งเป็นเวลานาน ส่วนการยืนก็ยังส่งผลในเชิงบวกแต่ไม่ได้ผลเท่ากับการเดิน การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่เป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำตาลในเลือดนั้นสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ การเคลื่อนไหวจะช่วยล้างน้ำตาลออกจากกระแสเลือดได้ ทำให้การเดินหลังมื้ออาหารเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การปฏิบัติตามมาตรฐานการออกกำลังกายที่ได้รับคำแนะนำอย่างถูกวิธี ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นปานกลาง 150 นาทีต่อสัปดาห์ ก็สามารถลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุได้อย่างมาก การออกกำลังกายเพียง 21.43 นาทีต่อวันสามารถลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากสาเหตุใดๆ ลงได้หนึ่งในสาม ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา.

Posted on Leave a comment

ผลวิจัยบ่งชี้ว่าการออกกำลังกายในช่วงบ่ายอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

ผลการศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้บ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อาจได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายในช่วงบ่ายมากกว่าการออกกำลังกายในตอนเช้า เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น การวิจัยนี้ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์จากโรงพยาบาลบริกแฮมและโรงพยาบาลสตรีและศูนย์เบาหวานจอสลิน ได้ดำเนินการวิจัยกับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน จำนวนกว่า 2,400 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ผู้เข้าร่วมทดลองสวมอุปกรณ์บันทึกความเร่งของเอวเพื่อติดตามกิจกรรมการออกกำลังกายของตนเอง

ผลการวิจัยพบว่าผู้ที่ออกกำลังกาย “ระดับปานกลางไปจนถึงระดับที่หนักขึ้น” ในช่วงเวลาบ่ายพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุด กิจกรรมประเภทนี้ ได้แก่ การเดินเร็ว การเล่นแบดมินตันเพื่อความบันเทิง และกิจกรรมอื่นๆ เช่น การเดินป่า การวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือการขี่จักรยานที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น ผลเชิงบวกต่อระดับน้ำตาลในเลือดมีความสม่ำเสมอ แม้กระทั่งหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลจากปีที่สี่ของการวิจัยแล้ว ผู้ที่ออกกำลังกายในช่วงเวลาบ่ายก็มีแนวโน้มที่จะลดหรือหยุดการใช้ยารักษาโรคเบาหวานที่ลดน้ำตาลได้มากขึ้น

ผลการวิจัยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญที่อาจเกิดขึ้นของจังหวะการออกกำลังกายในการจัดการระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ก็มีข้อจำกัดเนื่องจากไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น การนอนหลับและการรับประทานอาหาร โดยผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้ง ดร.ลูซี่ แชมเบอร์ จากสถาบันโรคเบาหวานอังกฤษ (Dr. Lucy Chambers from Diabetes UK) ได้เน้นย้ำถึงประโยชน์จากการค้นหารูปแบบวิธีออกกำลังกายที่เหมาะกับความชอบของแต่ละบุคคลที่จะสามารถทำได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยไม่คำนึงถึงช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงว่าควรเป็นเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าการออกกำลังกายช่วงบ่ายจะเชื่อมโยงกับประโยชน์ที่สำคัญที่สุด แต่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของการออกกำลังกายรูปแบบนี้ก็ยังไม่ชัดเจน และหลักฐานที่มีอยู่เกี่ยวกับช่วงเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดก็ยังคงคละเคล้ากันไป โดยผลการวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการดูแลเบาหวาน(Diabetes Care).