ตามรายงานล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่าภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ (Natural Immunity) ที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด อาจมีประสิทธิภาพเหนือกว่าภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากการฉีดวัคซีน
ข้อมูลนี้ได้รับการศึกษาโดยการสำรวจอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการ กว่า 1.1 ล้านคน ซึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียมีจำนวน 752,781 คน และรัฐนิวยอร์ก จำนวน 355,819 คน รายงานเผยแพร่ในวันที่ 28 มกราคม 2022 และให้ความเห็นว่าข้อมูลนี้อาจมีผลกระทบต่อนโยบายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Shot) ในอนาคต ว่าจำเป็นหรือไม่
ข้อมูลจาก CDC สามารถสรุปได้ดังนี้:
- หากใช้ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเป็นฐาน (Reference) ในการเปรียบเทียบ พบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยลดลง 6.2 เท่า (ในแคลิฟอร์เนีย) และ 4.5 เท่า (ในนิวยอร์ก)
- ผู้ไม่เคยได้รับวัคซีน แต่เคยติดเชื้อตามธรรมชาติ มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยลดลง 29 เท่า (ในแคลิฟอร์เนีย) และ 14.7 เท่า (ในนิวยอร์ก)
- ผู้ที่ได้รับวัคซีนและเคยติดเชื้อตามธรรมชาติ มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยลดลงถึง 32.5 เท่า (ในแคลิฟอร์เนีย) และ 19.8 เท่า (ในนิวยอร์ก)
เราอาจต้องพิจารณาใหม่ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความจำเป็นหรือไม่ในอนาคต และอาจต้องพิจารณาให้แก่กลุ่มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด เช่นกลุ่มเสี่ยงที่สูงขึ้น 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป, กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง, และหญิงตั้งครรภ์) และการรักษาที่มีความแม่นยำ (Precision Medicine) เพื่อให้การป้องกันต่อการติดเชื้อโรคนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อนาคตอาจจะต้องพิจารณาให้ตรวจเลือดเพื่อวัดระดับภูมิคุ้มกันก่อนที่จะมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่คนทั่วไป เพื่อตรวจสอบว่าเคยติดเชื้อโควิดมาก่อนหรือไม่
รายงานข้อมูลที่เผยแพร่จาก CDC ครั้งนี้อาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในอนาคต การวิเคราะห์ข้อมูลนี้เป็นสาระสำคัญที่จะต้องพิจารณาในการวางแผนระบบป้องกันโรคและการรับมือกับการระบาดของโรค COVID-19 ในอนาคต.