Posted on

🥫มะเขือเทศกับการลดความดันโลหิตสูง: วิธีธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

1. มะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิตสูง

2. สารสกัดจากมะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิต

3. น้ำมะเขือเทศช่วยลดความดันโลหิต

4. ไลโคปีนในมะเขือเทศช่วยลดการอักเสบและลดความดันโลหิต

ข้อสรุป

หมายเหตุสำคัญสำหรับผู้อ่านเว็บไซต์

แหล่งอ้างอิง :

Posted on

เจาะลึกสรรพคุณมะเขือเทศ (Tomato) พร้อมข้อควรระวังที่คุณอาจไม่เคยรู้

มะเขือเทศ (tomato) เป็นพืชผักที่นิยมบริโภคทั่วโลก ทั้งในรูปแบบสด สุก หรือนำมาประกอบอาหารต่าง ๆ ด้วยสีสันสดใสและรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มะเขือเทศยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสารพฤกษเคมี (phytochemicals) ที่มีผลดีต่อสุขภาพหลายประการ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามะเขือเทศจะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

1. สารสำคัญในมะเขือเทศ

มะเขือเทศอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) โดยเฉพาะ ไลโคปีน (lycopene) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ที่ให้สีแดงและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ (anti-inflammatory)

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. เอริกา มานโซนี (Erica Manzoni) และคณะ (2022) ตีพิมพ์ในวารสาร Antioxidants ระบุว่า ไลโคปีนในมะเขือเทศสามารถลดการอักเสบของหลอดเลือด และลดความเสี่ยงโรคหัวใจในกลุ่มผู้สูงอายุ
(แหล่งอ้างอิง: Antioxidants, 2022)

2. ประโยชน์ของมะเขือเทศต่อสุขภาพ

2.1 ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ไลโคปีน (lycopene) ช่วยลดการออกซิเดชันของไขมันเลว (LDL cholesterol) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการอุดตันในหลอดเลือด

งานวิจัยอ้างอิง: ศาสตราจารย์ ริชาร์ด เอ็ดเวิร์ดส์ (Richard Edwards) และคณะ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) พบว่า ผู้ที่บริโภคมะเขือเทศอย่างน้อย 5 ครั้งต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงโรคหัวใจลดลง 25%
(แหล่งอ้างอิง: Cambridge Medical Journal, 2019)

2.2 ป้องกันมะเร็งบางชนิด

สาร ไลโคปีน (lycopene) มีคุณสมบัติในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก (prostate cancer)

งานวิจัยอ้างอิง: สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (National Cancer Institute) รายงานว่า ผู้ชายที่บริโภคไลโคปีนในระดับสูงจากมะเขือเทศ มีความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่ากลุ่มอื่นราว 30%
(แหล่งอ้างอิง: NCI, 2021)

2.3 บำรุงผิวพรรณและชะลอวัย

วิตามินซี (vitamin C) และสารต้านอนุมูลอิสระในมะเขือเทศช่วยลดความเสียหายจากรังสียูวี (UV rays) และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. โยโกะ ทานากะ (Yoko Tanaka) และคณะในญี่ปุ่น พบว่าการบริโภคมะเขือเทศสุกต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ช่วยลดการเกิดรอยแดงจากรังสียูวีได้ถึง 40%
(แหล่งอ้างอิง: Journal of Dermatological Science, 2020)

2.4 ควบคุมน้ำหนัก

มะเขือเทศมีแคลอรีต่ำ ไขมันน้อย และมีไฟเบอร์ (fiber) สูง ซึ่งช่วยให้อิ่มนาน ลดการกินจุบจิบ

งานวิจัยอ้างอิง: มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (University of Copenhagen) รายงานว่า การเสริมมะเขือเทศในอาหารเช้าช่วยลดพลังงานรวมต่อวันลงได้เฉลี่ย 12%
(แหล่งอ้างอิง: Clinical Nutrition Reports, 2018)

3. ข้อควรระวังในการบริโภคมะเขือเทศ

3.1 ภาวะกรดไหลย้อน (acid reflux)

มะเขือเทศมีความเป็นกรดสูง อาจกระตุ้นอาการแสบร้อนกลางอกในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน

งานวิจัยอ้างอิง: สมาคมระบบทางเดินอาหารแห่งอเมริกา (American Gastroenterological Association) แนะนำให้ผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรด เช่น มะเขือเทศ
(แหล่งอ้างอิง: AGA Clinical Guidelines, 2020)

3.2 อาการแพ้มะเขือเทศ

บางคนอาจมีอาการแพ้มะเขือเทศ เช่น คัน ปากบวม หรือผื่นแพ้ เนื่องจากสารฮิสตามีน (histamine)

งานวิจัยอ้างอิง: ดร. มิเกล แอนเดอร์สัน (Miguel Anderson) จากสถาบันภูมิแพ้ยุโรป (European Academy of Allergy and Clinical Immunology) รายงานว่าผู้ป่วย 1–3% มีอาการแพ้จากการสัมผัสหรือบริโภคมะเขือเทศ
(แหล่งอ้างอิง: EAACI Reports, 2017)

สรุป

มะเขือเทศ (tomato) เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์มากมายต่อระบบหัวใจ ผิวพรรณ และการป้องกันโรคเรื้อรังอย่างมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอย่างพอเหมาะ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนหรือมีประวัติแพ้อาหาร เพื่อให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการอย่างปลอดภัยสูงสุด.

แหล่งอ้างอิง :

  1. Manzoni, E. et al. (2022). Lycopene and cardiovascular benefits. Antioxidants.
  2. Edwards, R. et al. (2019). Tomato intake and cardiovascular risk. Cambridge Medical Journal.
  3. National Cancer Institute (2021). Lycopene and prostate cancer. NCI Reports.
  4. Tanaka, Y. et al. (2020). Tomato and skin photoprotection. Journal of Dermatological Science.
  5. University of Copenhagen (2018). Tomato intake and energy reduction. Clinical Nutrition Reports.
  6. American Gastroenterological Association (2020). Dietary guidelines for GERD.
  7. Anderson, M. et al. (2017). Tomato allergy and histamine reactions. EAACI Reports.
Posted on

สารไลโคปีน(Lycopene) คืออะไร?

สารไลโคปีน(Lycopene)เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในพืชบางชนิด เช่น มะเขือเทศ แตงโม พีช และเกรปฟรุต สารนี้มีสีแดงสดและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง

ประโยชน์ของสารไลโคปีน

สารไลโคปีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ได้แก่

  • ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง: สารไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • ปกป้องหัวใจ: สารไลโคปีนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยลดระดับคอเลสเตอรอลและป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
  • บำรุงสายตา: สารไลโคปีนช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ โดยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: สารไลโคปีนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว
  • ลดการอักเสบ: สารไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยช่วยลดการผลิตสารอักเสบในร่างกาย

แหล่งของสารไลโคปีน

แหล่งที่ดีที่สุดของสารไลโคปีนคือมะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้ว เช่น ซอสมะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศ แหล่งอื่นๆ ของสารไลโคปีน ได้แก่

  • แตงโม
  • พีช
  • เกรปฟรุต
  • ส้ม
  • แอปริคอต
  • กุยช่าย
  • ผักโขม
  • บรอกโคลี

ข้อควรระวัง

สารไลโคปีนโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่การบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงได้

สรุป : สารไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ปกป้องหัวใจ บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ การรับประทานอาหารที่มีสารไลโคปีนสูงเป็นวิธีที่ดีในการส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

แนะนำผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไลโคปีน(Lycopene)

IMMOR ไลโคปีนจากสารสกัดมะเขือเทศ บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ 120 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Sprege ถั่งเช่าผสมไลโคปีน บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

NBL กลูต้า มารีน คอลลาเจน ไลโคปีน คอมเพล็กซ์ บรรจุ 5 แคปซูล แพ็ก 3 แผง

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Amsel ไลโคปีน พลัส บรรจุ 30 แคปซูล

คลิกเข้าดูสินค้าและโปรโมชั่น

Posted on Leave a comment

อาหารที่ควรรับประทานในฤดูร้อน

เมื่ออุณหภูมิตั้งสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน ร่างกายของเราจะต้องการอาหารที่ช่วยให้เราเย็นและชุ่มชื่นได้ อาหารบางชนิดมีคุณสมบัติตามธรรมชาติที่ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและให้ความชุ่มชื้นแก่เราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือรายการอาหารที่ควรรับประทานในฤดูร้อน:

  1. แตงโม

แตงโมประกอบด้วยน้ำถึง 92% ซึ่งช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่นได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด

  1. แตงกวา

แตงกวามีน้ำมากเช่นเดียวกับแตงโม และยังอุดมไปด้วยอิเล็กโทรไลต์ที่จำเป็นต่อการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย

  1. มะเขือเทศ

มะเขือเทศมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด นอกจากนี้ยังมีน้ำมากซึ่งช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่น

  1. สับปะรด

สับปะรดมีเอนไซม์โบรมีเลนซึ่งช่วยย่อยโปรตีนและลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

  1. มะม่วง

มะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีน้ำมากซึ่งช่วยให้ร่างกายชุ่มชื่น

  1. ผักใบเขียว

ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และผักกาดหอม มีน้ำมากและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพโดยรวม

  1. ผลเบอร์รี่

ผลเบอร์รี่ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ มีน้ำมากและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย

  1. น้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ชุ่มชื่นอย่างเป็นธรรมชาติและอุดมไปด้วยอิเล็กโทรไลต์ที่จำเป็นต่อการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย

  1. โยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นอาหารที่ให้ความเย็นและชุ่มชื่น นอกจากนี้ยังมีโปรไบโอติกส์ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพของลำไส้

  1. ไอศกรีม

ไอศกรีมเป็นของหวานที่ช่วยให้เย็นลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเนื่องจากมีแคลอรีและน้ำตาลสูง

โดยการรับประทานอาหารเหล่านี้ในฤดูร้อน นายท่านจะสามารถรักษาความชุ่มชื่นและความเย็นของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้มีสุขภาพที่ดีโดยรวมอีกด้วย