
PISA หรือ “โครงการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล” (Programme for International Student Assessment) เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเยาวชนในระดับสากล โครงการนี้ไม่ได้เพียงแค่วัดความรู้เชิงวิชาการในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังประเมินความสามารถในการนำความรู้ไปปรับใช้ในสถานการณ์จริง ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิตในโลกยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน PISA ได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีมากกว่า 80 ประเทศที่เข้าร่วมการประเมินในแต่ละรอบ ความสำคัญของโครงการนี้ไม่ได้จำกัดแค่การจัดอันดับประเทศ แต่ยังมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาระบบการศึกษาของแต่ละประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมั่นคง
โครงสร้างและเป้าหมายของการประเมิน PISA
PISA ประเมินสมรรถนะที่เรียกว่า “Literacy” หรือในภาษาไทยเรียกว่า “ความฉลาดรู้” โดยแบ่งการประเมินออกเป็นสามด้านสำคัญ ได้แก่:
- ความฉลาดรู้ด้านการอ่าน (Reading Literacy): ความสามารถในการเข้าใจ วิเคราะห์ และตีความข้อมูลจากข้อความหรือสื่อที่หลากหลาย
- ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy): ความสามารถในการใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง
- ความฉลาดรู้ด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy): ความสามารถในการเข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และการนำไปใช้ในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
การประเมินของ PISA ถูกออกแบบเป็นรอบ ๆ โดยในแต่ละรอบจะมีการเน้นหนักไปที่สมรรถนะด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น ใน PISA 2000, 2009 และ 2018 เน้นด้านการอ่าน ในขณะที่ PISA 2003, 2012 และ 2022 เน้นด้านคณิตศาสตร์ ส่วน PISA 2006, 2015 และ 2025 จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์ การจัดสัดส่วนนี้ช่วยให้ OECD สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกในแต่ละด้านได้อย่างละเอียด
นอกจากการประเมินด้านความฉลาดรู้แล้ว ยังมีการเก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับนักเรียน เช่น พื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม และการจัดการเรียนการสอน รวมถึงแบบสอบถามสำหรับโรงเรียนที่มีส่วนช่วยในการประเมินสภาพแวดล้อมทางการศึกษาของประเทศ
รูปแบบการประเมินและความทันสมัยของ PISA
ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา PISA ได้เปลี่ยนรูปแบบการประเมินจากแบบสอบถามกระดาษมาเป็นการสอบด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรองรับความซับซ้อนของข้อสอบ โดยนักเรียนต้องตอบคำถามผ่านการคลิก พิมพ์คำตอบ หรือใช้การลากและวางคำตอบในแบบทดสอบที่ออกแบบมาอย่างทันสมัย
ข้อสอบของ PISA มีความหลากหลายและท้าทาย โดยอ้างอิงจากสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน เช่น การวิเคราะห์ข้อความในข่าว การคำนวณทางการเงิน หรือการพิจารณาปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม คำถามเหล่านี้ไม่ได้มุ่งวัดแค่ความรู้ แต่ยังวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความสามารถในการตัดสินใจ ซึ่งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการทำข้อสอบ และอีกหนึ่งชั่วโมงในการตอบแบบสอบถาม
การประเมินในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เข้าร่วมโครงการ PISA ตั้งแต่ปี 2000 (PISA 2000) และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในทุกสามปี โดยมีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนอายุ 15 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงจบการศึกษาภาคบังคับ การสุ่มตัวอย่างในประเทศไทยครอบคลุมโรงเรียนทุกสังกัด เช่น โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โรงเรียนเอกชน โรงเรียนในกรุงเทพมหานคร และโรงเรียนในสังกัดอาชีวศึกษา เป็นต้น
ข้อมูลจำนวนโรงเรียนและนักเรียนที่เข้าร่วมการประเมินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ใน PISA 2000 มีโรงเรียนกลุ่มตัวอย่าง 179 แห่งและนักเรียน 5,340 คน ขณะที่ใน PISA 2018 จำนวนโรงเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 290 แห่งและนักเรียนกว่า 8,600 คน ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญของประเทศไทยต่อโครงการนี้
ผลลัพธ์และประโยชน์จากการเข้าร่วม PISA
การเข้าร่วม PISA ช่วยให้ประเทศไทยสามารถวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของระบบการศึกษาในระดับประเทศ เปรียบเทียบกับมาตรฐานระดับโลก และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการปรับปรุงนโยบายทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาครู และการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก PISA ยังช่วยให้ประเทศไทยสามารถกำหนดเป้าหมายในการยกระดับสมรรถนะนักเรียนให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนสามารถปรับตัวในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การดำเนินงาน PISA ในประเทศไทย
โครงการ PISA ในประเทศไทยดำเนินการโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สสวท. ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติที่ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้คำปรึกษาและกำกับดูแลการดำเนินงาน
ข้อคิดจากการประเมิน PISA
PISA ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนคุณภาพของระบบการศึกษาของประเทศ การที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับโครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาการศึกษาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผลการประเมินในบางครั้งอาจไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุด แต่การมีข้อมูลที่ชัดเจนช่วยให้เราสามารถวางแผนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ.
ลิงค์เข้าระบบ On demand เพื่ออบรมพัฒนาการสร้างข้อสอบ PISA
Reference: https://pisathailand.ipst.ac.th/