Posted on

ไขปริศนา Poltergeist: วิญญาณหรือพลังงานจิต? รวมกรณีจริงและงานวิจัยรองรับ

👻 เหตุการณ์โพลเตอร์ไกสต์(Poltergeist) คืออะไร?

คำว่าโพลเตอร์ไกสต์(Poltergeist) มาจากภาษาเยอรมัน โดย “poltern” แปลว่า “ทำเสียงดังหรือกระแทก” และ “geist” หมายถึง “วิญญาณ” จึงแปลรวมกันได้ว่า “วิญญาณเสียงดัง” หรือ “วิญญาณก่อกวน” ปรากฏการณ์นี้มักถูกอธิบายว่าเป็นเหตุการณ์ที่สิ่งของขยับ เคลื่อนย้าย หรือถูกขว้างปาโดยไม่มีผู้กระทำอย่างชัดเจน

แม้ว่าจะมีผู้มองว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ในวงการจิตวิทยาและปรัชญาวิทยาศาสตร์บางส่วนก็มองว่า Poltergeist อาจเป็นผลของพลังงานทางจิต (psychokinesis) หรือความผิดปกติของจิตใจในบางสภาวะ


🌍 กรณีศึกษา Poltergeist ในต่างประเทศ

1. The Enfield Poltergeist – อังกฤษ (1977)

หนึ่งในกรณี Poltergeist ที่โด่งดังที่สุดในโลก เกิดขึ้นกับครอบครัว Hodgson ในเขต Enfield ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน โดยมีรายงานว่าเฟอร์นิเจอร์เคลื่อนย้ายเอง เสียงเคาะประหลาด และเด็กหญิงคนหนึ่งมีพฤติกรรมเหมือนถูกสิง

อ้างอิง: Grosse, M. & Playfair, G. (1980). This House is Haunted: The True Story of the Enfield Poltergeist.

แม้จะมีนักข่าวและนักวิจัยด้านจิตวิทยาเหนือธรรมชาติเข้าตรวจสอบ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่าเหตุการณ์บางส่วนอาจเกิดจากการแกล้งของเด็ก

2. Rosenheim Poltergeist – เยอรมนี (1967)

สำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งในเมือง Rosenheim พบว่ามีโทรศัพท์ทำงานเอง หลอดไฟระเบิด และภาพวาดบนผนังหมุนได้เอง เหตุการณ์นี้ได้รับการตรวจสอบจากนักฟิสิกส์ และมีรายงานทางเทคนิคบันทึกพฤติกรรมผิดปกติจริง

อ้างอิง: Hans Bender (1969). Investigations on the Rosenheim Poltergeist, University of Freiburg.

3. Columbus Poltergeist – สหรัฐอเมริกา (1984)

เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเด็กหญิงวัย 14 ปีในโอไฮโอที่เชื่อว่ามีพลังเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ในช่วงอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง จึงกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาเรื่อง psychokinesis ในวัยรุ่น

อ้างอิง: Roll, W. G. (1984). Poltergeists, Electromagnetic Fields, and Anomalous Events.

กรณีเหตุการณ์โพลเตอร์ไกสต์(Poltergeist) ในประเทศไทย

1. บ้านผีสิงย่านธนบุรี (2535)

รายงานจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐระบุว่า บ้านหลังหนึ่งในย่านธนบุรีมีรายงานวัตถุเคลื่อนไหวเอง ข้าวของแตก และเสียงปริศนาในเวลากลางคืน ซึ่งถูกตีความว่าเป็น “เฮี้ยน” หรือ “ผีเล่นของ” โดยพระและหมอผีที่เข้าร่วมพิธีสวดระบุว่าอาจเป็นพลังจาก “ดวงวิญญาณเร่ร่อน”

2. เหตุการณ์ Poltergeist โรงงานเย็บผ้า จ.สมุทรสาคร (2561)

พนักงานหลายคนพบว่าเครื่องจักรหยุดเอง ไฟกะพริบ และมีเสียงดังคล้ายของตก แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนแต่ก็มีการเชิญพระมาทำพิธีไล่สิ่งลี้ลับ และเหตุการณ์ก็สงบลง

หมายเหตุ: กรณีในไทยมักไม่ถูกเก็บเป็นบันทึกเชิงวิชาการ แต่มักถูกรายงานผ่านข่าวท้องถิ่นและการบอกเล่าทางวัฒนธรรม

📚 ทฤษฎีและงานวิจัยรองรับ

1. ทฤษฎีพลังจิต (Psychokinesis)

นักวิจัยบางรายเช่น Dr. William G. Roll และ Dr. Helmut Schmidt เสนอว่าปรากฏการณ์ Poltergeist อาจเป็นผลจากพลังจิตในระดับจิตใต้สำนึก โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่มีความเครียด

อ้างอิง: Roll, W. G. (1972). The Poltergeist. Journal of the American Society for Psychical Research, 66(3), 219–231.

2. ทฤษฎีพฤติกรรมอัตโนมัติ (Ideomotor Effect)

นักจิตวิทยาบางกลุ่มเสนอว่าปรากฏการณ์ Poltergeist อาจเกิดจากการเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัวของบุคคลในสถานการณ์เครียด เช่นในเด็กที่ถูกกดดันทางอารมณ์

อ้างอิง: French, C. C. (2001). Paranormal phenomena: Can they be explained psychologically? The Psychologist, 14(5), 222–226.

3. ทฤษฎีสนามแม่เหล็กผิดปกติ

งานวิจัยบางชิ้นในยุโรปพยายามเชื่อมโยง Poltergeist กับการรบกวนของสนามแม่เหล็กในบางพื้นที่ ซึ่งอาจกระตุ้นการรับรู้ผิดของสมอง

อ้างอิง: Persinger, M. A. (1983). Subjective telepathic experiences and geomagnetic activity: A preliminary report. Perceptual and Motor Skills, 57(3), 1255–1262.

🧭 สรุป: Poltergeist คืออะไรแน่?

แม้ยังไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดสำหรับ Poltergeist แต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และยังคงได้รับความสนใจจากทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และผู้ที่สนใจด้านจิตวิญญาณ

ในประเทศไทย Poltergeist มักถูกมองผ่านเลนส์ของ “ผี” หรือ “สิ่งลี้ลับ” มากกว่าการพิจารณาในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความเชื่อที่น่าสนใจไม่น้อย

🔗 แหล่งอ้างอิง:

  • Grosse, M. & Playfair, G. (1980). This House is Haunted: The True Story of the Enfield Poltergeist.
  • Roll, W. G. (1984). Poltergeists, Electromagnetic Fields, and Anomalous Events.
  • Bender, H. (1969). The Rosenheim Poltergeist.
  • French, C. C. (2001). Paranormal phenomena: Can they be explained psychologically?
  • Persinger, M. A. (1983). Subjective telepathic experiences and geomagnetic activity.
Posted on

เข้าใจสัญชาตญาณนักล่าในตัวแมว แม้จะมีอาหารครบถ้วน

หลายคนที่เลี้ยงแมวเคยประสบกับภาพน่าตกใจเมื่อเจ้าเหมียวนำหนูหรือนกมาวางไว้หน้าบ้าน ทั้งๆ ที่ในชามอาหารยังมีของกินเต็มอยู่ เหตุใดแมวจึงยังคง “ล่า” ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นทางด้านโภชนาการ?

การเข้าใจพฤติกรรมการล่าของแมว ไม่เพียงช่วยคลายข้อสงสัยให้ทาสแมวเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราออกแบบวิธีการเลี้ยงที่ตอบสนองสัญชาตญาณตามธรรมชาติของพวกมันได้ดียิ่งขึ้น

🐾 แมว: นักล่าตามสัญชาตญาณ

แมวบ้าน (Felis catus) มีวิวัฒนาการมาจากแมวป่า (Felis lybica) ซึ่งเป็นนักล่าเดี่ยวที่ต้องพึ่งพาทักษะการล่าเพื่อความอยู่รอด ถึงแม้แมวบ้านจะได้รับอาหารจากมนุษย์ แต่พฤติกรรมการล่ายังคงอยู่เพราะมันฝังรากลึกในสายพันธุกรรม

งานวิจัยโดย Dr. John W.S. Bradshaw แห่ง University of Bristol (2013) ระบุว่า พฤติกรรมการล่าของแมวไม่เกี่ยวข้องกับความหิวโดยตรง แต่เป็นกิจกรรมที่ให้ “ความพึงพอใจ” ทางจิตใจและเป็นผลมาจากแรงขับสัญชาตญาณ
(Bradshaw, J. (2013). Cat Sense: How the New Feline Science Can Make You a Better Friend to Your Pet.)

🧠 การล่า = การกระตุ้นสมอง

แม้จะได้รับอาหารเพียงพอ แต่แมวยังต้องการการกระตุ้นทางจิตใจและร่างกาย การล่าจึงเป็นรูปแบบของการใช้ “พลังงานส่วนเกิน” เพื่อเสริมสร้างความกระฉับกระเฉง ช่วยฝึกทักษะการเคลื่อนไหว สังเกต และควบคุมกล้ามเนื้อ

งานศึกษาในวารสาร Journal of Veterinary Behavior (Ellis et al., 2016) พบว่าแมวที่ไม่ได้รับการกระตุ้นพฤติกรรมล่ามีแนวโน้มเบื่อ เครียด และอาจมีปัญหาพฤติกรรม เช่น การกัดหรือข่วนสิ่งของในบ้าน

🎁 ทำไมแมวถึง “มอบ” เหยื่อให้เรา?

แมวบางตัวอาจนำเหยื่อที่ล่ามาให้เจ้าของอย่างภาคภูมิใจ หลายคนเข้าใจว่าเป็น “ของขวัญ” หรือแสดงความรัก แต่ความจริงอาจลึกซึ้งกว่านั้น

  1. การแบ่งอาหารกับกลุ่ม – สะท้อนพฤติกรรมในกลุ่มแมวป่าที่นำเหยื่อมาแบ่งกับลูกหรือฝูง
  2. การสอนทักษะ – โดยเฉพาะในแม่แมวที่นำเหยื่อมาให้ลูกฝึกจับเอง พฤติกรรมคล้ายกันนี้อาจแสดงกับ “มนุษย์” ที่แมวมองว่าไม่เก่งด้านล่า

งานวิจัยของ Turner & Bateson (2000) กล่าวว่า แมวสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมกับมนุษย์ในลักษณะคล้ายความสัมพันธ์แม่-ลูก และแสดงพฤติกรรมคล้ายการฝึกสอน

🧩 แมวไม่ล่าเพราะหิว แต่เพราะ “ต้องการ”

การล่าไม่ใช่ผลจากความหิวโดยตรงเสมอไป แม้จะอิ่มแล้ว แมวก็ยังล่าเพราะ:

  • มีสิ่งกระตุ้น เช่น เสียงนกหรือหนู
  • เป็นกิจกรรมคลายเครียดหรือความเบื่อ
  • แสดงอาณาเขตและความเป็นเจ้าของ
  • พฤติกรรมสะท้อนความมั่นคงทางอารมณ์

งานวิจัยโดย Leyhausen (1979) ผู้เชี่ยวชาญพฤติกรรมสัตว์จากเยอรมนี อธิบายว่า “พฤติกรรมการล่า” ของแมวเป็นพฤติกรรมอิสระที่แยกจากแรงขับทางชีวภาพอย่างความหิว แต่เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยเฉพาะ

🔄 สรุป

แม้ว่าจะมีอาหารในชามเต็มอยู่แล้ว แต่แมวก็ยังล่าเพราะมันคือส่วนหนึ่งของ “ตัวตน” การล่าคือความสนุก การกระตุ้นสมอง และการรักษาสัญชาตญาณให้แหลมคม พฤติกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องผิดหรือผิดปกติ แต่เป็นสัญญาณว่าพวกเขายังคงเป็นนักล่าผู้มีศักดิ์ศรีอยู่เสมอ.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Bradshaw, J. W. S. (2013). Cat Sense: How the New Feline Science Can Make You a Better Friend to Your Pet. Basic Books.
  2. Ellis, S. L. H., Rodan, I., Carney, H., Heath, S., Rochlitz, I., Shearburn, L. D., … & Sparkes, A. H. (2016). AAFP and ISFM feline environmental needs guidelines. Journal of Feline Medicine and Surgery, 15(3), 219–230.
  3. Turner, D. C., & Bateson, P. (2000). The Domestic Cat: The Biology of its Behaviour. Cambridge University Press.
  4. Leyhausen, P. (1979). Cat Behavior: The Predatory and Social Behavior of Domestic and Wild Cats. Garland STPM Press.
Posted on

โรคตับจากแอลกอฮอล์พุ่งสูงในสหรัฐฯ หลังโควิด-19: ผู้หญิง-คนหนุ่มสาวเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ในช่วงระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงหลังการระบาดของโรคโควิด-19 สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคืออัตราการเสียชีวิตจาก โรคตับที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol-Associated Liver Disease หรือ ALD) ที่เพิ่มขึ้นเกือบ สองเท่า จากข้อมูลของงานวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อเดือนมิถุนายน 2025

เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลการศึกษาซึ่งอ้างอิงจากฐานข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) พบว่า ตั้งแต่ปี 1999 จนถึง 2022 มีผู้เสียชีวิตจาก ALD มากกว่า 430,000 ราย และอัตราการเสียชีวิตปรับตามอายุเพิ่มจาก 6.71 รายต่อประชากร 100,000 คน ในปี 1999 เป็น 12.53 ราย ในปี 2022

โดยเฉพาะในช่วง ปี 2018–2022 มีการเร่งตัวของอัตราการเสียชีวิตอย่างชัดเจน ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมการดื่มที่เปลี่ยนไปในช่วงโควิด-19

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

การศึกษาชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของผลกระทบในกลุ่มประชากรต่าง ๆ ดังนี้:

  • ผู้หญิง: แม้อัตราการเสียชีวิตโดยรวมยังต่ำกว่าผู้ชาย แต่แนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
  • คนหนุ่มสาวอายุ 25–44 ปี: พบว่าอัตราการเสียชีวิตจาก ALD เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าเป็นห่วงเนื่องจากเป็นกลุ่มวัยทำงาน
  • กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันและอลาสกา (American Indian and Alaska Native): มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในทุกกลุ่มชาติพันธุ์ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความเชื่อมโยงกับโควิด-19

ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างชัดเจน เนื่องจากภาวะเครียดจากการล็อกดาวน์ การว่างงาน และการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งทำให้บางกลุ่มประชากรดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพตับในระยะยาว

เหตุใดผู้หญิงและคนหนุ่มสาวจึงเสี่ยงมากขึ้น?

งานวิจัยอธิบายว่า ผู้หญิงมีความไวต่อผลกระทบของแอลกอฮอล์มากกว่าผู้ชาย เนื่องจากร่างกายมีน้ำในร่างกายน้อยกว่า และเอนไซม์ที่ย่อยแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหารต่ำกว่า ทำให้แอลกอฮอล์เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดได้มากกว่าเมื่อเทียบในปริมาณเท่ากัน

ในขณะเดียวกัน กลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานวัยหนุ่มสาวมีแนวโน้มเผชิญกับความเครียดสูง รวมถึงอิทธิพลจากวัฒนธรรมการดื่ม ทำให้เป็นกลุ่มที่เริ่มดื่มเร็วขึ้นและมีพฤติกรรมดื่มหนักในระยะยาว

ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ

รายงานยังพบว่า กลุ่มเชื้อชาติน้อย เช่น ชนพื้นเมืองอเมริกัน เผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษา เช่น ถูกปฏิเสธจากบัญชีรายชื่อปลูกถ่ายตับ และนโยบายสวัสดิการที่จำกัด ทำให้ผลกระทบจากโรค ALD ในกลุ่มนี้รุนแรงกว่ากลุ่มอื่น

ข้อเสนอจากนักวิจัย

เพื่อรับมือกับวิกฤตสุขภาพนี้ นักวิจัยเสนอแนวทางแก้ไขเชิงนโยบายที่ควรดำเนินการเร่งด่วน ได้แก่:

  • ส่งเสริมการตรวจคัดกรองการใช้แอลกอฮอล์ในสถานพยาบาลทั่วไป
  • ปรับปรุงการเข้าถึงบริการบำบัดและเลิกดื่ม
  • ดำเนินนโยบายควบคุมแอลกอฮอล์ เช่น ภาษีและจำกัดชั่วโมงจำหน่าย
  • พัฒนาโปรแกรมการบำบัดที่เหมาะสมกับเพศ วัย และวัฒนธรรม

บทสรุป

อัตราการเสียชีวิตจากโรคตับที่เกิดจากแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะหลังการระบาดของโควิด-19 และส่งผลกระทบอย่างไม่เท่าเทียมในแต่ละกลุ่มประชากร นี่คือสัญญาณเตือนให้ภาครัฐ สถานพยาบาล และสังคมโดยรวมหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง และวางแผนการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม.

แหล่งอ้างอิง:

Pan CW, Zhang Z, Harjanto J, et al. Trends and Disparities in Alcohol-Associated Liver Disease Mortality in the US, 1999-2022. JAMA Network Open. 2025;8(6):e2514857. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.14857

Posted on

ขนมปังขัดขาว ทำไมรสไม่เค็ม แต่โซเดียมสูง?

บทนำ: ขนมปังขาว รสจืดแต่โซเดียมสูง

แม้ขนมปังขัดขาวจะไม่ให้รสเค็มชัดเจนเหมือนขนมขบเคี้ยวหรืออาหารแปรรูปอื่น ๆ แต่กลับมีปริมาณโซเดียมแฝงอยู่ในระดับที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่บริโภคเป็นประจำ เช่น ในมื้อเช้า หรือเป็นของว่าง โซเดียมที่มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคหัวใจในระยะยาว

เหตุใดขนมปังขัดขาวจึงมีโซเดียมสูง ทั้งที่ไม่ได้มีรสเค็ม?

1. โซเดียมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำขนมปัง

  • เกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ช่วยควบคุมการหมักยีสต์ ปรับโครงสร้างกลูเตน และเพิ่มความยืดหยุ่นของแป้ง ทำให้ขนมปังนุ่มและอยู่ตัว
  • งานวิจัยจาก The American Journal of Clinical Nutrition (2001) ระบุว่า แม้เกลือจะมีบทบาทน้อยในรสชาติ แต่มีความสำคัญในด้านฟังก์ชันการอบและคุณสมบัติของแป้งโดว์

Shepherd R, et al. (2001). Salt in bread: a major source of dietary sodium. Am J Clin Nutr. 74(5):722–727.

2. การบริโภคหลายแผ่นทำให้โซเดียมสะสม

  • ขนมปังแผ่นหนึ่งอาจมีโซเดียมเฉลี่ย 120–200 มก. และการบริโภค 2-3 แผ่นต่อมื้อจะทำให้ได้โซเดียมมากกว่า 400–600 มก. ทันที
  • งานวิจัยจาก CDC (Centers for Disease Control and Prevention) พบว่า ขนมปังและผลิตภัณฑ์เบเกอรี่อยู่ในกลุ่ม Top 10 แหล่งโซเดียมสูงที่สุด ที่คนอเมริกันบริโภค

CDC. (2012). Vital Signs: Food Categories Contributing the Most to Sodium Consumption — United States, 2007–2008.
https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/mm6105a3.htm

3. โซเดียมแฝงจากส่วนผสมอื่น ๆ

  • เช่น ผงฟู (sodium bicarbonate), สารกันบูด (sodium propionate), หรือแม้แต่ในยีสต์เชิงพาณิชย์บางชนิด ซึ่งอาจเติมเกลือไว้ล่วงหน้า
  • รายงานจาก Harvard School of Public Health ระบุว่า แม้ไม่มีรสเค็มในปาก แต่โซเดียมจากวัตถุเจือปนอาหารสามารถสะสมและส่งผลต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกับเกลือ

ผลกระทบต่อสุขภาพจากโซเดียมในขนมปัง

  • เพิ่มความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง
  • มีผลต่อการทำงานของไตในระยะยาว
  • เพิ่มภาระต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
    📌 งานวิจัยใน BMJ (2020) รายงานว่า การลดโซเดียมเพียง 1 กรัมต่อวัน ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรได้ชัดเจน

Mozaffarian D, et al. (2020). Global sodium consumption and death from cardiovascular causes. BMJ 2020;368:m282.
https://www.bmj.com/content/368/bmj.m282

คำแนะนำสำหรับผู้บริโภค

  • อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อขนมปัง โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำกว่า 120 มก./แผ่น
  • หลีกเลี่ยงขนมปังที่มีคำว่า “extra soft”, “long shelf-life” หรือ “enhanced flavor” ซึ่งมักมีสารปรุงแต่งเพิ่ม
  • เสริมโปรตีนและไฟเบอร์ในมื้อที่มีขนมปัง เพื่อช่วยชะลอการดูดซึมโซเดียม
  • เลือกขนมปังโฮลวีตที่ไม่มีเกลือหรือใช้สูตร low sodium ซึ่งกำลังเริ่มมีในตลาดสุขภาพ

สรุป: รสชาติไม่เค็ม ไม่ได้แปลว่าโซเดียมน้อย

ขนมปังขัดขาวอาจดูไร้พิษภัยในแง่รสชาติ แต่กลับเป็นหนึ่งในแหล่งโซเดียมที่หลายคนมองข้าม การใส่ใจต่อฉลากโภชนาการ และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในยุคที่โรคเรื้อรังจากพฤติกรรมการกินกำลังกลายเป็นภัยเงียบของสังคม.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Shepherd R, et al. (2001). Salt in bread: a major source of dietary sodium. Am J Clin Nutr. 74(5):722–727.
    https://academic.oup.com/ajcn/article/74/5/722/4737422
  2. CDC. (2012). Vital Signs: Food Categories Contributing the Most to Sodium Consumption — United States, 2007–2008.
    https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/mm6105a3.htm
  3. Mozaffarian D, et al. (2020). Global sodium consumption and death from cardiovascular causes. BMJ 2020;368:m282.
    https://www.bmj.com/content/368/bmj.m282
Posted on

ผู้ป่วยเก๊าท์ออกกำลังกายได้หรือไม่? คำตอบจากงานวิจัย

โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในเลือด ซึ่งมักตกผลึกในข้อกระดูก ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง โดยเฉพาะที่ข้อนิ้วเท้า โรคนี้มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหาร การดื่มแอลกอฮอล์ และการออกกำลังกาย ซึ่งปัจจุบันมีการศึกษาจำนวนมากชี้ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการและลดความเสี่ยงของโรคเก๊าท์ในระยะยาวได้

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกายของผู้ป่วยโรคเก๊าท์

หลายคนมักหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายด้วยความกลัวว่าจะกระตุ้นอาการปวดเก๊าท์ให้รุนแรงขึ้น แต่อันที่จริง การไม่ออกกำลังกายเลยกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ และทำให้ภาวะยูริกในเลือดแย่ลงอีกด้วย

ข้อเท็จจริง: การออกกำลังกายกับโรคเก๊าท์

1. ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดกรดยูริกในเลือด

การลดน้ำหนักช่วยลดระดับกรดยูริกในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะอ้วน
📌 งานวิจัยจาก Annals of the Rheumatic Diseases (2007) พบว่าการลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหารสามารถลดระดับกรดยูริกได้อย่างมีนัยสำคัญ

Choi HK, et al. (2007). Weight change, purine-rich foods, and risk of gout in men. Ann Rheum Dis, 66(10):1273–1277.
https://ard.bmj.com/content/66/10/1273

2. ลดการอักเสบทั่วร่างกาย

การออกกำลังกายระดับปานกลางช่วยลดสารไซโตไคน์ที่กระตุ้นการอักเสบ ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดอาการเก๊าท์
📌 งานวิจัยจาก Current Opinion in Rheumatology (2019) ระบุว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิคต่อเนื่องช่วยลดระดับ IL-6 และ TNF-alpha ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของข้อ

Gleeson M, et al. (2019). Exercise, inflammation and chronic disease. Curr Opin Rheumatol, 31(1):47–54.
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30399085/

3. กระตุ้นการขับกรดยูริกผ่านไต

การออกกำลังกายเพิ่มอัตราการกรองของไต ช่วยให้ร่างกายกำจัดกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้ดีขึ้น
📌 การศึกษาจาก Clinical Rheumatology (2014) รายงานว่า ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ที่ออกกำลังกายระดับเบาถึงปานกลางอย่างสม่ำเสมอ มีระดับยูริกในเลือดลดลงโดยไม่ต้องเพิ่มยา

Keenan RT, et al. (2014). Clin Rheumatol. 33(4):495–501.
https://link.springer.com/article/10.1007/s10067-013-2386-4

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเก๊าท์

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วงที่ข้อยังอักเสบ
  • เริ่มด้วยกิจกรรมเบา เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ
  • เน้นความต่อเนื่องมากกว่าความหนัก (เช่น เดินเร็ว 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์)
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อลดความเข้มข้นของยูริกในเลือด
  • ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดหากมีอาการปวดข้อเรื้อรัง

สรุป: ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ช่วยคุมเก๊าท์ได้

แม้โรคเก๊าท์จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินและพันธุกรรม แต่พฤติกรรมการออกกำลังกายก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน การออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยลดระดับกรดยูริก ลดการอักเสบ และป้องกันโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ จึงควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพระยะยาว

แหล่งอ้างอิง:

  1. Choi HK, et al. (2007). Weight change, purine-rich foods, and risk of gout in men. Ann Rheum Dis, 66(10):1273–1277.
    https://ard.bmj.com/content/66/10/1273
  2. Gleeson M, et al. (2019). Exercise, inflammation and chronic disease. Curr Opin Rheumatol, 31(1):47–54.
    https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30399085/
  3. Keenan RT, et al. (2014). The impact of physical activity on serum uric acid levels in patients with gout. Clin Rheumatol, 33(4):495–501.
    https://link.springer.com/article/10.1007/s10067-013-2386-4
Posted on

Paralysis Demon: ภูตในยามหลับหรือภาพหลอนจากสมอง? วิเคราะห์ปรากฏการณ์ปีศาจอัมพาตด้วยงานวิจัย”

เมื่อร่างกายตื่นแต่จิตใจยังติดอยู่ในฝัน
หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ “สะดุ้งตื่นกลางดึก รู้สึกเหมือนถูกกดทับ พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ และรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในห้อง” ปรากฏการณ์นี้มักเรียกกันว่า “Paralysis Demon” หรือ “ปีศาจอัมพาต” โดยเป็นคำที่นิยมใช้บนโลกออนไลน์ เพื่ออธิบายประสบการณ์ของ “sleep paralysis” หรือ “ภาวะผีอำ” ในทางวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากกลไกของสมอง ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ

Sleep Paralysis คืออะไร?

Sleep Paralysis หรือ อาการอัมพาตขณะหลับ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนผ่านระหว่างช่วงหลับลึก (non-REM) และช่วงหลับฝัน (REM sleep) หรือระหว่างการตื่นนอน
ในช่วง REM สมองจะยังคงทำงานเพื่อสร้างความฝัน แต่ร่างกายจะถูก “ล็อก” เพื่อไม่ให้เราขยับตามความฝัน หากเกิดการตื่นขึ้นมาก่อนที่สมองจะปลดล็อกร่างกาย เราจะรู้สึกเหมือนถูกตรึง ขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ และบางครั้งอาจรู้สึกถึง “การปรากฏตัว” ของสิ่งลึกลับใกล้ตัว

Paralysis Demon: จากภาพหลอนในสมองสู่ปีศาจในความเชื่อ

งานวิจัยจำนวนมากอธิบายว่าภาพของ “Paralysis Demon” เป็นผลจากอาการ hypnopompic hallucination (ภาพหลอนขณะตื่น) ซึ่งเกิดจากความสับสนของสมองที่ยังไม่แยกความจริงออกจากความฝันในช่วงตื่นนอน

📌 งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Waterloo ประเทศแคนาดา (2012) พบว่า 20-30% ของประชากรทั่วไปเคยประสบภาวะนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มเห็นภาพหลอนมากที่สุดคือผู้ที่มีความเครียด วิตกกังวล และนอนผิดเวลา

อ้างอิง: Cheyne JA, Rueffer SD, Newby-Clark IR. Hypnagogic and hypnopompic hallucinations during sleep paralysis: Neurological and cultural construction of the night-mare. Conscious Cogn. 1999;8(3):319-337.
https://doi.org/10.1006/ccog.1999.0404

ภาพหลอนที่ผู้ประสบมักพบ ได้แก่:

  • เงาดำเคลื่อนที่ในห้อง
  • สิ่งมีชีวิตปีศาจนั่งทับหน้าอก
  • เสียงกระซิบ หรือเสียงฝีเท้า
  • ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่ง “ชั่วร้าย” อยู่ใกล้

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด Sleep Paralysis และภาพหลอน

  1. ความเครียดและภาวะวิตกกังวลสูง
    การหลับไม่ลึกจากความเครียด ทำให้สมองหลุดเข้าสู่ภาวะ sleep paralysis ได้ง่ายขึ้น
  2. ภาวะขาดการนอน หรือการนอนผิดเวลา
    คนที่นอนน้อย หรือนอนแบบไม่เป็นเวลา เช่น นักศึกษา คนทำงานกะกลางคืน มีโอกาสสูง
  3. การใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์
    ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
  4. โรคจิตเภท หรือกลุ่มอาการผิดปกติทางจิตบางประเภท
    แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่มีความสัมพันธ์เชิงสถิติ

📌 งานวิจัยจาก Sleep Medicine Reviews (2011) ระบุว่า ผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลเรื้อรัง มีโอกาสเผชิญภาวะ sleep paralysis และภาพหลอนมากกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า

อ้างอิง: Sharpless BA, Barber JP. Lifetime prevalence rates of sleep paralysis: A systematic review. Sleep Med Rev. 2011;15(5):311-315.
https://doi.org/10.1016/j.smrv.2011.01.007

วิธีจัดการและป้องกัน Sleep Paralysis

  • สร้างสุขอนามัยการนอนที่ดี (Sleep hygiene) เช่น เข้านอน-ตื่นให้ตรงเวลา
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน
  • ลดความเครียดด้วยการทำสมาธิหรือโยคะ
  • หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ซึ่งเป็นท่าที่กระตุ้นภาวะนี้ในหลายกรณี
  • หากเกิดขึ้นบ่อย ควรพบแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อประเมินภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับเรื้อรังหรือ PTSD

สรุป: ปีศาจที่อยู่ในสมอง ไม่ใช่ในความเชื่อ

ปรากฏการณ์ “Paralysis Demon” ที่ดูน่ากลัวนั้น แท้จริงแล้วคือกลไกหนึ่งของสมองที่ทำงานผิดจังหวะระหว่างการหลับและการตื่น ภาพหลอนและความรู้สึกหวาดกลัวเป็นสิ่งที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จึงเป็นการคลายความกลัว และช่วยส่งเสริมให้เราดูแลสุขภาพการนอนของตนเองได้ดียิ่งขึ้น.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Cheyne JA, Rueffer SD, Newby-Clark IR. (1999). Hypnagogic and hypnopompic hallucinations during sleep paralysis: Neurological and cultural construction of the night-mare. Conscious Cogn. 8(3):319-337.
    https://doi.org/10.1006/ccog.1999.0404
  2. Sharpless BA, Barber JP. (2011). Lifetime prevalence rates of sleep paralysis: A systematic review. Sleep Med Rev. 15(5):311-315.
    https://doi.org/10.1016/j.smrv.2011.01.007
Posted on

ลดน้ำหนักด้วยวิธี Intermittent Fasting พร้อมผลวิจัยรองรับ

Intermittent Fasting คืออะไร?
Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วง คือรูปแบบการกินอาหารที่มุ่งเน้นไปที่ช่วงเวลาที่กินและช่วงเวลาที่อด โดยไม่จำเป็นต้องควบคุมปริมาณอาหารอย่างเข้มงวด วิธีนี้ไม่ได้เน้นว่า “กินอะไร” แต่เน้นว่า “กินเมื่อไหร่”

รูปแบบที่นิยม เช่น

  • 16/8: อดอาหาร 16 ชั่วโมง และกินอาหารในช่วง 8 ชั่วโมง
  • 5:2: กินตามปกติ 5 วัน/สัปดาห์ และจำกัดแคลอรีในอีก 2 วัน
  • Eat-Stop-Eat: อดอาหาร 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ประโยชน์ของ Intermittent Fasting ตามงานวิจัย

  1. ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในร่างกาย
    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open (2020) พบว่า IF ช่วยให้กลุ่มทดลองลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 0.94 กิโลกรัมภายใน 12 สัปดาห์ โดยไม่ต้องจำกัดปริมาณแคลอรีอย่างเข้มงวด อ้างอิง: Lowe DA, et al. (2020). Effect of Time-Restricted Eating on Weight Loss in Adults With Overweight and Obesity. JAMA Netw Open. 3(10):e2024586. https://jamanetwork.com/journals/jamanetworkopen/fullarticle/2771095
  2. ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลิน
    งานวิจัยจาก University of Alabama แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายที่มีภาวะ prediabetes ซึ่งปฏิบัติ IF แบบ 6 ชั่วโมงต่อวัน (กินภายใน 8.00–14.00 น.) มีระดับอินซูลินและความดันโลหิตดีขึ้น อ้างอิง: Sutton EF, et al. (2018). Early Time-Restricted Feeding Improves Insulin Sensitivity, Blood Pressure, and Oxidative Stress. Cell Metab. 27(6):1212–1221.e3. https://doi.org/10.1016/j.cmet.2018.04.010
  3. อาจช่วยชะลอความชราและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
    จากรายงานใน The New England Journal of Medicine นักวิจัยพบว่า IF ส่งผลต่อการกระตุ้นกระบวนการ autophagy (การรีไซเคิลเซลล์ที่เสื่อมสภาพ) ซึ่งสัมพันธ์กับการชะลอวัยและลดความเสี่ยงของโรคอย่างเช่น อัลไซเมอร์ มะเร็ง และเบาหวาน อ้างอิง: de Cabo R, Mattson MP. (2019). Effects of Intermittent Fasting on Health, Aging, and Disease. N Engl J Med. 381:2541–2551. https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1905136

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ Intermittent Fasting
แม้จะมีประโยชน์ IF ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือกำลังรับยาที่เกี่ยวกับระดับอินซูลิน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม

สรุป :
Intermittent Fasting เป็นวิธีการกินที่เรียบง่ายแต่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าอาจช่วยลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติต้องเหมาะสมกับแต่ละบุคคล และควรพิจารณาร่วมกับคำแนะนำทางการแพทย์.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Lowe DA, Wu N, Rohdin-Bibby L, Moore AH, Kelly N, Liu YE, Philip E, Vittinghoff E, Heymsfield SB, Olgin JE, Cummings SR. (2020). Effect of Time-Restricted Eating on Weight Loss in Adults With Overweight and Obesity. JAMA Network Open, 3(10):e2024586.
    https://jamanetwork.com/journals/jamanetworkopen/fullarticle/2771095
  2. Sutton EF, Beyl R, Early KS, Cefalu WT, Ravussin E, Peterson CM. (2018). Early Time-Restricted Feeding Improves Insulin Sensitivity, Blood Pressure, and Oxidative Stress Even Without Weight Loss in Men With Prediabetes. Cell Metabolism, 27(6):1212–1221.e3.
    https://doi.org/10.1016/j.cmet.2018.04.010
  3. de Cabo R, Mattson MP. (2019). Effects of Intermittent Fasting on Health, Aging, and Disease. New England Journal of Medicine, 381:2541–2551.
    https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMra1905136
Posted on

ทรัมป์ส่งทหารบุก LA จุดปะทะร้อนกับผู้ว่าฯ แคลิฟอร์เนีย

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลทรัมป์และรัฐแคลิฟอร์เนียปะทุขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งการให้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) และนาวิกโยธิน (Marines) เข้าประจำการในนครลอสแอนเจลิสโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย นายเกวิน นิวซัม (Gavin Newsom)

นิวซัมตอบโต้ด้วยการประกาศว่า “ประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคาม” และยื่นฟ้องต่อศาลกลางโดยชี้ว่าการกระทำของทรัมป์ขัดต่อรัฐธรรมนูญและอำนาจของผู้ว่าการรัฐอย่างร้ายแรง พร้อมทั้งวิจารณ์ว่าทรัมป์กำลัง “ดึงร่างทหารเข้าควบคุมท้องถนน” และไล่ล่าผู้อพยพอย่างไร้ความยุติธรรม โดยยกตัวอย่างกรณีที่เจ้าหน้าที่ ICE ควบคุมตัวพลเมืองสหรัฐฯ ที่ตั้งครรภ์ 9 เดือน และจับคนงานไร้สัญชาติหน้าร้านค้าและโรงเรียน

ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง: อำนาจกลาง vs รัฐ

กรณีนี้สะท้อนถึงประเด็นสำคัญทางโครงสร้างของสหรัฐฯ คือความสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐบาลกลางและอำนาจของรัฐ ทรัมป์อ้างอิงอำนาจในการใช้กองกำลังภายใต้พระราชบัญญัติการก่อกบฏ (Insurrection Act) แต่การที่ผู้ว่าการรัฐไม่ได้รับการปรึกษาหรือยินยอมก่อนการส่งกำลังพลเข้าพื้นที่ ถือเป็นการละเมิดหลักการกระจายอำนาจ และสร้างบรรยากาศที่คล้ายกับการปกครองแบบเผด็จการ

การเมืองของ “ความกลัว” และการสร้างศัตรู

ในขณะที่นิวซัมมองว่า การใช้ทหารต่อประชาชนเป็น “ความอ่อนแอที่ปลอมตัวเป็นความเข้มแข็ง” ทรัมป์กลับเร่งเร้าแนวคิด “กู้ชาติ” ด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยกล่าวหาผู้ประท้วงว่าเป็น “สัตว์” และระบุว่าเบื้องหลังมี “ผู้ก่อการร้ายต่างชาติ” สนับสนุน การใช้วาทกรรมเช่นนี้ไม่ได้เพียงแค่ลดทอนคุณค่าของผู้ชุมนุม แต่ยังบั่นทอนหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นแกนกลางของระบอบประชาธิปไตย

มิติทางกฎหมายและผลกระทบต่อเสรีภาพ

คดีที่รัฐแคลิฟอร์เนียยื่นต่อศาลกลาง มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในการสั่งการทหารเข้าเมืองโดยพลการ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า หากศาลไม่รับรองอำนาจรัฐในการควบคุมกำลังพลของตนเอง ก็อาจเป็นแบบอย่างอันตรายที่นำไปสู่การขยายอำนาจของรัฐบาลกลางเกินขอบเขตในอนาคต

ผลกระทบเชิงสังคมและความหมายต่อประชาชน

การส่งกำลังทหารเข้าสู่ชุมชนที่เปราะบาง เช่น คนงานไร้เอกสาร ผู้อพยพ และแรงงานนอกระบบ อาจนำไปสู่ความกลัว วิตก และความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลในระดับรากหญ้า ไม่เพียงแต่ในลอสแอนเจลิสเท่านั้น หากยังส่งผลต่อการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่บรรยากาศของการเลือกตั้งอีกครั้ง

บทสรุป :

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐแคลิฟอร์เนียในกรณีนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นทางนโยบาย แต่เป็นการเผชิญหน้าทางอุดมการณ์ระหว่าง “อำนาจนิยม” กับ “ประชาธิปไตยแบบกระจายศูนย์” การใช้ทหารเพื่อควบคุมการแสดงออกของประชาชนเป็นเรื่องที่ต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพราะในระบอบที่เสรี ทุกการตัดสินใจของรัฐต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของสาธารณะ ไม่ใช่ภายใต้คำสั่งของคนเพียงคนเดียว.

แหล่งอ้างอิง:

  • Associated Press (2025). Trump deploys national guard to LA amidst ICE protests.
Posted on

อาหารที่มีโพรแทสเซียมสูง: ประโยชน์มาก แต่ไม่ใช่ทุกคนกินได้

โพรแทสเซียม (Potassium) เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการในปริมาณมากในแต่ละวัน มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิต สมดุลของของเหลวในร่างกาย และการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจ งานวิจัยหลายฉบับชี้ว่า การบริโภคโพรแทสเซียมในระดับที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังได้หลายชนิด โดยเฉพาะโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

ประโยชน์ของอาหารที่มีโพรแทสเซียมสูง

  1. ช่วยลดความดันโลหิต
    งานวิจัยจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2012 ระบุว่า การบริโภคโพรแทสเซียม 3,510 มิลลิกรัมต่อวันสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองได้
  2. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
    การศึกษาจาก American Journal of Clinical Nutrition ปี 2011 พบว่าผู้ที่บริโภคโพรแทสเซียมในปริมาณสูงมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลดลงอย่างชัดเจน
  3. สมดุลเกลือโซเดียมในร่างกาย
    โพรแทสเซียมช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกาย ซึ่งช่วยลดผลเสียจากการบริโภคเกลือ (โซเดียม) มากเกินไป โดยเฉพาะในอาหารแปรรูปและอาหารฟาสต์ฟู้ด
  4. ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
    โพรแทสเซียมมีส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งรวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย

ตัวอย่างอาหารที่มีโพรแทสเซียมสูง

อาหารปริมาณโพรแทสเซียมโดยประมาณ (มก.) ต่อหน่วยบริโภค
กล้วย 1 ผลกลาง422 มก.
มันฝรั่งอบ 1 หัว926 มก.
อะโวคาโด 1 ลูกกลาง708 มก.
ผักโขมต้ม 1 ถ้วย839 มก.
ถั่วดำสุก 1 ถ้วย611 มก.
แครอท 1 ถ้วย390 มก.

ใครบ้างที่ควรระมัดระวังการบริโภคโพรแทสเซียมสูง

แม้ว่าโพรแทสเซียมจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะ:

  1. ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)
    ไตทำหน้าที่ขับโพรแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกาย หากไตทำงานบกพร่อง โพรแทสเซียมอาจสะสมจนเป็นอันตรายถึงขั้นหัวใจหยุดเต้นได้
  2. ผู้ใช้ยาบางชนิด
    เช่น ยาขับปัสสาวะชนิดที่ไม่ขับโพแทสเซียม (Potassium-sparing diuretics), ยา ACE inhibitors และยา ARBs ที่มักใช้รักษาความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ อาจทำให้ระดับโพรแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นได้
  3. ผู้สูงอายุที่มีการทำงานของไตลดลง
    แม้จะไม่ทราบว่าตนเองมีโรคไตหรือไม่ แต่การทำงานของไตที่ลดลงตามวัยอาจทำให้ไม่สามารถขับโพรแทสเซียมส่วนเกินได้ดีนัก

คำแนะนำในการบริโภคโพรแทสเซียม

  • สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคโพรแทสเซียม อย่างน้อย 3,510 มิลลิกรัมต่อวัน
  • หากคุณเป็นผู้ป่วยโรคไต หรือรับประทานยาที่มีผลต่อระดับโพรแทสเซียม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มปริมาณโพรแทสเซียมในอาหาร

บทสรุป

อาหารที่มีโพรแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ผักใบเขียว ถั่ว และมันฝรั่ง มีประโยชน์อย่างมากต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง แต่ก็ต้องบริโภคอย่างระมัดระวังในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยโรคไตหรือผู้สูงอายุ

การเลือกอาหารให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของตนเอง และการปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัว คือทางเลือกที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน

แหล่งอ้างอิง:

  1. World Health Organization. Guideline: Potassium intake for adults and children. 2012.
  2. Zhang Z et al. Potassium Intake and All-Cause Mortality: A Prospective Cohort Study. Am J Clin Nutr. 2011; 94(2): 509–516.
  3. National Kidney Foundation. Potassium and Your CKD Diet.
  4. Mente A et al. Urinary Sodium and Potassium Excretion, Mortality, and Cardiovascular Events. N Engl J Med. 2014.
Posted on

งานวิจัยใหม่เผย: AI ช่วยคัดกรองมะเร็งเต้านมแม่นยำขึ้น แม้ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย

งานวิจัยล่าสุดจากประเทศแคนาดาเผยว่า แบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ใช้ภาพแมมโมแกรมย้อนหลังถึง 4 ปี ช่วยประเมินความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการวางแผนคัดกรองและป้องกันมะเร็งเต้านมในระดับปัจเจก

วิเคราะห์ภาพแมมโมแกรมหลายปี เพิ่มความแม่นยำ

การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้หญิงกว่า 206,000 คน อายุระหว่าง 40–74 ปี ที่เข้าร่วมโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ตั้งแต่ปี 2013–2019 โดยใช้ภาพแมมโมแกรมดิจิทัลทั้งภาพปัจจุบันและภาพย้อนหลังในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เพื่อประเมินความเสี่ยงเกิดมะเร็งภายใน 5 ปี

ผลการวิจัยพบว่า แบบจำลอง AI ที่ใช้ภาพย้อนหลัง (dynamic model) มีค่า AUROC (ค่าชี้วัดความแม่นยำของโมเดล) เท่ากับ 0.78 ซึ่งถือว่าแม่นยำสูงกว่าการใช้เพียงภาพปัจจุบันเพียงภาพเดียว (AUROC = 0.71) อย่างมีนัยสำคัญ

ใช้ได้กับทุกเชื้อชาติ – ลดความเหลื่อมล้ำ

ที่สำคัญ แบบจำลองนี้สามารถใช้ได้กับสตรีทุกเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นหญิงผิวขาว เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก หรือชนพื้นเมือง โดยมีค่า AUROC ใกล้เคียงกัน (อยู่ระหว่าง 0.75–0.80) แสดงให้เห็นว่าโมเดลนี้มีความแม่นยำและเป็นธรรมในทุกกลุ่มประชากร

สะดวก ไม่ต้องใช้ข้อมูลสุขภาพหรือพันธุกรรม

ต่างจากโมเดลดั้งเดิมที่ต้องอาศัยข้อมูลเชิงคลินิก เช่น ประวัติครอบครัว ความหนาแน่นของเต้านม หรือคะแนนพันธุกรรม แบบจำลองใหม่นี้ใช้เพียงภาพแมมโมแกรมที่มีอยู่แล้ว จึงสามารถนำไปใช้ในระบบบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น ลดภาระของแพทย์และผู้ป่วย

ศักยภาพสู่การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine)

ด้วยความแม่นยำในการคาดการณ์ความเสี่ยงภายใน 5 ปี และความสามารถในการประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงสูง (มากกว่า 3%) แบบจำลองนี้จึงสามารถใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการกำหนดแนวทางป้องกัน เช่น การตรวจถี่ขึ้น หรือใช้ยาต้านฮอร์โมนในกลุ่มเสี่ยงสูง

ข้อสังเกตและข้อจำกัด

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังใช้ข้อมูลย้อนหลังได้เพียง 4 ปี เนื่องจากข้อจำกัดของระบบดิจิทัลที่เพิ่งเริ่มใช้ในปี 2013 และยังไม่มีการผสานข้อมูลทางพันธุกรรมซึ่งอาจช่วยเพิ่มความแม่นยำได้อีกในอนาคต

บทสรุป

การใช้ AI วิเคราะห์ภาพแมมโมแกรมย้อนหลังหลายปี ช่วยยกระดับการประเมินความเสี่ยงมะเร็งเต้านมอย่างแม่นยำและทั่วถึงในผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติทั่วโลก งานวิจัยนี้เป็นก้าวสำคัญสู่การแพทย์เชิงป้องกันเฉพาะบุคคล และเป็นเครื่องมือที่พร้อมนำไปประยุกต์ใช้จริงในระบบบริการสุขภาพ.

แหล่งที่มา:
Jiang S, et al. Validation of a Dynamic Risk Prediction Model Incorporating Prior Mammograms in a Diverse Population. JAMA Network Open. 2025;6(6):e2512681. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.12681