Posted on

AI ปรับอินซูลินได้ใกล้เคียงหมอผู้เชี่ยวชาญ – เปิดทางเลือกใหม่ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2

(ภาพประกอบ)

งานวิจัยล่าสุดจากประเทศจีนเผยว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยตัดสินใจปรับขนาดอินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้ผลลัพธ์ด้านการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด “ไม่ด้อยกว่า” การดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เปิดศักยภาพใหม่ของ AI ในการสนับสนุนการรักษาโรคเรื้อรัง

บริบท: ความท้าทายในการควบคุมเบาหวานชนิดที่ 2

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes; T2D) เป็นโรคเรื้อรังที่พบมากทั่วโลก และผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับขนาดอินซูลิน (insulin titration) ถือเป็นหัวใจของการรักษา แต่กลับเต็มไปด้วยข้อจำกัด เช่น ความซับซ้อนในการพิจารณาขนาดยา ความกลัวภาวะน้ำตาลต่ำ และภาระงานที่ล้นมือของแพทย์เฉพาะทาง

แม้ว่าจะมีแนวทางการรักษามากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ทั้งหมด ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แพทย์เฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อกลับมีจำนวนจำกัด ทำให้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกจับตามองในฐานะ “ตัวช่วย” ที่มีศักยภาพสูง

การทดลอง: เทียบประสิทธิภาพ AI กับแพทย์

งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open (2024) โดยทำการทดลองแบบสุ่ม มีกลุ่มควบคุมในโรงพยาบาล 3 แห่งของประเทศจีน เป้าหมายเพื่อเปรียบเทียบว่า AI สามารถปรับขนาดอินซูลินได้ไม่ด้อยกว่าการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือไม่

รายละเอียดการทดลอง

  • ผู้เข้าร่วม: ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 149 คน
  • อายุเฉลี่ย: 64.2 ปี
  • ระยะเวลา: 5 วัน
  • กลุ่มทดลอง: ระบบ AI ปรับอินซูลินแบบเรียลไทม์ (เรียกว่า iNCDSS)
  • กลุ่มควบคุม: ปรับอินซูลินโดยแพทย์เฉพาะทางต่อมไร้ท่อที่มีประสบการณ์ >10 ปี
  • ตัวชี้วัดหลัก: สัดส่วนของเวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วงเป้าหมาย (70–180 mg/dL)

ผลการศึกษา: AI ทำได้ไม่ด้อยกว่าแพทย์

ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า:

  • กลุ่มที่ใช้ AI มีระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงเป้าหมายเฉลี่ย 76.4% ของเวลา
  • กลุ่มแพทย์มีค่าเฉลี่ย 73.6%
  • ความแตกต่าง 2.7% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ “ไม่ด้อยกว่า” ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ยังไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เช่น ภาวะน้ำตาลต่ำหรือสูงรุนแรงระหว่างกลุ่ม AI และกลุ่มแพทย์

ที่น่าสนใจคือ แพทย์ที่ได้ใช้ระบบ AI ต่าง “พึงพอใจ” ต่อระบบนี้ โดยเฉพาะในด้านความแม่นยำ ความสะดวก และการประหยัดเวลา

ความสำคัญและผลกระทบ

การใช้ AI ปรับขนาดอินซูลินแบบเรียลไทม์ถือเป็นการพลิกโฉมการดูแลผู้ป่วยเบาหวานแบบผู้ป่วยใน โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุขที่มีทรัพยากรจำกัด

ข้อดีของระบบ AI iNCDSS ได้แก่:

  • ปรับยาแบบเฉพาะบุคคล
  • คำนวณขนาดยาอัตโนมัติจากข้อมูลจริงของผู้ป่วย
  • ใช้ได้กับหลายรูปแบบการให้ยาอินซูลิน (ไม่จำกัดแค่สูตรใดสูตรหนึ่ง)
  • ทำงานร่วมกับแพทย์ ไม่แทนที่ แต่เพิ่มประสิทธิภาพ

ข้อจำกัดและข้อควรระวัง

แม้ผลจะน่าประทับใจ แต่ยังมีข้อจำกัด:

  • ระยะการศึกษาเพียง 5 วันในโรงพยาบาล
  • ยังไม่มีข้อมูลการใช้ในผู้ป่วยนอกหรือติดตามผลในระยะยาว
  • การใช้งานจริงอาจต้องพิจารณาความพร้อมของระบบ IT และการอบรมแพทย์

บทสรุป

งานวิจัยนี้ตอกย้ำศักยภาพของ AI ในการสนับสนุนการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะในเรื่องการปรับอินซูลิน ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ป่วยจำนวนมากยังควบคุมได้ไม่ดี หากสามารถพัฒนาและขยายใช้ระบบนี้ได้ในวงกว้าง อาจเป็นก้าวสำคัญในการลดภาระโรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในอนาคต.


แหล่งอ้างอิง :

  1. Zhang, J., et al. (2024). Real-Time AI-Assisted Insulin Titration System for Glucose Control in Patients With Type 2 Diabetes: A Randomized Clinical Trial. JAMA Network Open. https://doi.org/10.1001/jamanetworkopen.2024.XXXXX
  2. International Diabetes Federation. IDF Diabetes Atlas, 10th edition. 2021.
  3. Lipska, K.J., et al. (2016). Trends in use and outcomes of insulin therapy in the United States, 2000-2010. JAMA.
  4. American Diabetes Association. Standards of Medical Care in Diabetes—2024.