นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีน (Gene Editing) เพื่อแก้ปัญหา “คอเลสเตอรอลสูง” ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก ล่าสุดมีรายงานผลการทดลองในมนุษย์ที่แสดงให้เห็นว่า “การแก้ยีนเพียงครั้งเดียว” อาจสามารถ ลดคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (แอลดีแอล; LDL) ได้ในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ
หากผลการทดลองในระยะต่อ ๆ ไปประสบความสำเร็จจริง นี่อาจเป็นก้าวสำคัญสู่ “การรักษาแบบครั้งเดียวจบ” ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจตลอดชีวิต
🧪 แนวคิดของการตัดต่อยีนเพื่อลดคอเลสเตอรอล
เทคโนโลยีนี้ใช้หลักการของ คริสเปอร์ (CRISPR) ซึ่งเป็นเครื่องมือระดับโมเลกุลที่สามารถ “ตัด” และ “แก้ไข” ยีนในดีเอ็นเอของมนุษย์ได้อย่างเฉพาะเจาะจง จุดมุ่งหมายคือ “ปิดการทำงานของยีน” ที่ทำให้ร่างกายมีระดับไขมันเลว (LDL) สูงเกินไป
นักวิจัยเน้นการตัดต่อยีน พีซีเอสเคไนน์ (PCSK9) และ แองจีโอพอยทีน-ไลเปส 3 (ANGPTL3) ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการควบคุมระดับไขมันในเลือด หากยีนเหล่านี้ถูก “ปิดสวิตช์” ตับจะสามารถกำจัด LDL ได้มากขึ้น ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลงอย่างยั่งยืน
🧫 การทดลองในมนุษย์ระยะแรกให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้น
งานวิจัยจากสหรัฐฯ และอังกฤษซึ่งเผยแพร่ในการประชุมของ สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (เอชเอเอ; AHA) และตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ช่วงปี 2023–2025 พบว่า
- การใช้เทคนิค เบสเอดิทติ้ง (Base Editing) เพื่อแก้ยีน PCSK9 ด้วยยา VERVE-101/102 สามารถลดระดับ LDL ได้สูงสุดราว 60% หลังฉีดเพียงครั้งเดียว ในผู้ป่วยที่มีภาวะคอเลสเตอรอลสูงทางพันธุกรรม (HeFH) ที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาสแตติน
- การทดลองอีกแนวทางหนึ่งที่ใช้คริสเปอร์ “ปิดยีน ANGPTL3” พบว่า สามารถ ลดทั้ง LDL และไตรกลีเซอไรด์ได้ประมาณ 50% ภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการรักษา และไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงในระยะสั้น
ผลดังกล่าวถือเป็น “หลักฐานแนวคิด” (Proof of Concept) ว่าการแก้ไขยีนเพียงครั้งเดียวอาจให้ผลลดคอเลสเตอรอลได้ยาวนาน โดยไม่ต้องพึ่งยารับประทานทุกวันเหมือนในปัจจุบัน
📈 ความปลอดภัยและข้อจำกัดของการรักษาแบบใหม่
แม้ผลการทดลองจะดูมีความหวัง แต่นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่ายังต้องใช้เวลาในการติดตามผลระยะยาว เพราะเทคโนโลยีนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับ ดีเอ็นเอในเซลล์ตับ ซึ่งอาจมีผลต่อร่างกายในระยะหลายปีข้างหน้า
- จำเป็นต้องมีการติดตาม ผลกระทบด้านความปลอดภัยอย่างน้อย 10–15 ปี
- ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาทางคลินิก (Clinical Trial) และรอการประเมินจาก องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ; FDA)
- ยังไม่มีข้อมูลว่าการแก้ไขยีนจะช่วยลด “เหตุการณ์หัวใจจริง” เช่น หัวใจวายหรือหลอดเลือดสมองตีบ ได้หรือไม่
ดังนั้นแนวทางนี้ยังถือเป็น “การรักษาในอนาคต” ที่ต้องได้รับการพิสูจน์ต่อไป
🧬 ใครอาจได้ประโยชน์จากการรักษานี้ในอนาคต
ในอนาคต หากเทคโนโลยีนี้ผ่านการอนุมัติและพิสูจน์ความปลอดภัยแล้ว กลุ่มที่อาจได้รับประโยชน์มากที่สุดคือ
- ผู้ที่มี ภาวะคอเลสเตอรอลสูงทางพันธุกรรม (HeFH)
- ผู้ที่ใช้ยาลดไขมัน เช่น สแตติน (Statin) หรือ อีเซทิมิบ (Ezetimibe) แล้วไม่ได้ผล
- ผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาลดไขมันได้เนื่องจากผลข้างเคียง
แนวทางนี้อาจช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาตลอดชีวิต และเป็นอีกทางเลือกในการป้องกันโรคหัวใจในอนาคต
🩺 แล้วตอนนี้คนทั่วไปควรทำอย่างไร
แม้เทคโนโลยีตัดต่อยีนยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลระดับไขมันในเลือดได้ด้วยวิธีที่มีหลักฐานรองรับแล้ว ได้แก่
- ควบคุมอาหาร — ลดอาหารมันจัด เนื้อแดง และของทอด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ — อย่างน้อยวันละ 30 นาที
- ตรวจระดับไขมันในเลือดเป็นประจำ — โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
- ใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง — โดยเฉพาะยากลุ่มสแตตินที่ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้จริง
ข้อมูลจาก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี; CDC) และ สถาบันหัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ (เอ็นเอชแอลบีไอ; NHLBI) ยืนยันว่า “การควบคุม LDL ให้ต่ำกว่าเกณฑ์” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
📚 แหล่งข้อมูลและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- VERVE-101 และ VERVE-102 – รายงานผลการทดลองในมนุษย์ระยะแรกโดยบริษัท Verve Therapeutics และตีพิมพ์ในงานประชุม AHA 2023–2025
- การทดลองตัดยีน ANGPTL3 ด้วยคริสเปอร์ – ผลเบื้องต้นระบุว่าสามารถลดไขมันได้ถึง 50% โดยไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง (รายงานในปี 2025)
- แนวทางเวชปฏิบัติไทย พ.ศ. 2567 โดย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย – แนะนำการประเมินความเสี่ยงและเป้าหมาย LDL สำหรับคนไทย
- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) และ สถาบันหัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ (NHLBI) – แหล่งข้อมูลมาตรฐานด้านคอเลสเตอรอลและสุขภาพหัวใจ
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย) – คู่มือดูแลสุขภาพหัวใจและแนวทางลดไขมันในเลือด
⚠️ หมายเหตุสำคัญ
- เทคโนโลยีตัดต่อยีนเพื่อลดคอเลสเตอรอล ยังอยู่ระหว่างการทดลอง และยัง ไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้จริงในประเทศไทย หรือประเทศอื่น
- ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงควร ปรึกษาแพทย์ ก่อนปรับหรือหยุดยาด้วยตนเอง
- ข่าวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อชี้แนะการรักษา
อ้างอิงข้อมูลจาก: สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (AHA), วารสารทางการแพทย์ปี 2023–2025, ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC), สถาบันหัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ (NHLBI), กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย)
