Posted on

โรคเก๊าท์ : โรคของคนรักเนื้อสัตว์? ความจริงที่คุณต้องรู้

โรคเก๊าท์คืออะไร?

โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกายจนก่อให้เกิดผลึกยูเรตในข้อต่อ ส่งผลให้เกิดการอักเสบเฉียบพลัน มีอาการปวด บวม แดง และร้อนบริเวณข้อต่อ โดยส่วนใหญ่มักเกิดที่หัวแม่เท้า ข้อเท้า และเข่า

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์มีหลายปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเกิดโรค ได้แก่:

  1. อาหารและเครื่องดื่ม – การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะเบียร์) จะเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด
  2. พันธุกรรม – หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โอกาสเกิดโรคในรุ่นต่อไปก็สูงขึ้น
  3. โรคประจำตัว – ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง โรคอ้วน และเบาหวาน มีแนวโน้มเป็นโรคเก๊าท์มากขึ้น
  4. ยาบางชนิด – ยาขับปัสสาวะบางชนิด (เช่น thiazide) และยารักษาโรคหัวใจอาจส่งผลให้ระดับกรดยูริกเพิ่มขึ้น
  5. พฤติกรรมการใช้ชีวิต – การใช้ชีวิตที่ไม่มีการออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์

ผลกระทบของโรคเก๊าท์

  1. อาการปวดข้ออย่างรุนแรง – มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการนอนหลับ
  2. ข้ออักเสบเรื้อรัง – หากไม่ได้รับการรักษา โรคเก๊าท์อาจทำให้เกิดข้อผิดรูปและสูญเสียการทำงานของข้อ
  3. นิ่วในไต – กรดยูริกที่ตกผลึกในไตอาจนำไปสู่การเกิดนิ่ว ซึ่งทำให้เกิดภาวะไตเสื่อม
  4. ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด – งานวิจัยบางชิ้นพบว่าผู้ป่วยโรคเก๊าท์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น

แนวทางการป้องกันและรักษา

  1. การควบคุมอาหาร
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง และอาหารทะเล
    • ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์
    • เพิ่มการบริโภคอาหารที่ช่วยลดระดับกรดยูริก เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว นมไขมันต่ำ และธัญพืชเต็มเมล็ด
  2. การรักษาด้วยยา
    • ยาลดกรดยูริก เช่น Allopurinol และ Febuxostat ช่วยลดการผลิตกรดยูริก
    • ยาต้านการอักเสบ เช่น NSAIDs และ Colchicine ใช้ลดอาการอักเสบเฉียบพลัน
  3. การออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก
    • การออกกำลังกายช่วยลดระดับกรดยูริกและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
    • การลดน้ำหนักช่วยลดภาระของข้อต่อและลดโอกาสเกิดโรคเก๊าท์

บทสรุป

โรคเก๊าท์เป็นภาวะที่สามารถป้องกันและควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ควบคุมอาหาร และการใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ดังนั้น การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและแนวทางการดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคนี้

References:

  1. National Health Service (NHS). (2023). “Gout”. Retrieved from https://www.nhs.uk
  2. American College of Rheumatology. (2023). “Gout Guidelines”. Retrieved from https://www.rheumatology.org
  3. Choi, H. K., & Curhan, G. (2005). “Gout: Epidemiology and Risk Factors”. The New England Journal of Medicine.