Posted on

โรคความดันโลหิตคืออะไร?

โรคความดันโลหิตเป็นภาวะที่ความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไต เป็นโรคที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก

สาเหตุที่แน่ชัดของโรคความดันโลหิตยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยหลายประการที่มีส่วนทำให้เกิดโรคนี้ ได้แก่:

  • พันธุกรรม: โรคความดันโลหิตสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
  • อายุ: ความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
  • เชื้อชาติ: ชาวแอฟริกันและชาวอเมริกันมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ
  • เพศ: ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงกว่าผู้หญิง
  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน: น้ำหนักส่วนเกินจะเพิ่มภาระให้กับหัวใจและหลอดเลือดให้ทำงานหนักขึ้น
  • การสูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่สามารถทำให้หลอดเลือดตีบแคบ
  • การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไป: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปก็สามารถเพิ่มความดันโลหิต
  • การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง: โซเดียมสามารถทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ ซึ่งจะเพิ่มปริมาณเลือดและความดันโลหิตให้สูงขึ้น
  • ขาดการออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้
  • ความเครียด: ความเครียดสามารถกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนที่เพิ่มความดันโลหิต

ในระยะแรกๆ โรคความดันโลหิตมักจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่เมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นก็ปรากฏอาการต่างๆ คือ

  • ปวดหัว
  • มึนงง
  • หูอื้อ
  • เห็นแสงวาบ
  • หายใจลำบาก
  • เจ็บหน้าอก
  • อ่อนแรง
  • ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่แขนหรือขา
  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปัสสาวะเป็นเลือด
  • บวมที่เท้า ข้อเท้า หรือขา

การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตทำได้โดยการวัดความดันโลหิตโดยใช้เครื่องวัดความดัน ซึ่งความดันโลหิตปกติจะน้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท (มม.ปรอท) ความดันโลหิตสูงจะแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ได้แก่:

  • ระยะที่ 1: ความดันโลหิตซิสโตลิก (ตัวเลขบน) อยู่ระหว่าง 130-139 มม.ปรอท และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (ตัวเลขล่าง) อยู่ระหว่าง 80-89 มม.ปรอท
  • ระยะที่ 2: ความดันโลหิตซิสโตลิกอยู่ระหว่าง 140-159 มม.ปรอท และความดันโลหิตไดแอสโตลิกอยู่ระหว่าง 90-99 มม.ปรอท
  • ระยะที่ 3: ความดันโลหิตซิสโตลิกมากกว่า 160 มม.ปรอท หรือความดันโลหิตไดแอสโตลิกมากกว่า 100 มม.ปรอท

เป้าหมายของการรักษาโรคความดันโลหิตคือการลดความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท ซึ่งการรักษาอาจรวมถึงแนวทางดังต่อไปนี้:

  • การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการลดการบริโภคแอลกอฮอล์และโซเดียม
  • ยา: มีหลายประเภทของยาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิต ได้แก่ ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิต และยาขยายหลอดเลือดซึ่งผู้ป่วยต้องอยู่ในความดูแลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
  • การผ่าตัด: เป็นกรณีที่ไม่ค่อยพบบ่อย ซึ่งการผ่าตัดอาจจำเป็นเพื่อรักษาโรคความดันโลหิตอีกวิธีหนึ่ง

ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตที่ไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น:

  • โรคหัวใจ
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคไต
  • โรคตา
  • ภาวะสมองเสื่อม

แม้ว่าสาเหตุการเกิดโรคความดันโลหิตยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้ ได้แก่:

  • การเลือกรับประทานอาหาร
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ควบคุมน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • จำกัดการบริโภคแอลกอฮอล์
  • ลดการบริโภคโซเดียม
  • จัดการความเครียด
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

โรคความดันโลหิตเป็นภาวะที่พบบ่อยและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ การวินิจฉัยและรักษาโรคความดันโลหิตตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญต่อการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตและการใช้ยาโดยความควบคุมของแพทย์ ก็จะสามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

Credit/Reference: www.cdc.gov

ALLWELL เครื่องวัดความดันโลหิต รุ่น 2005 Blood Pressure Monitor

เข้าดูโปรโมชั่น

เครื่องวัดความดันโลหิต Beurer รุ่น BM40

เข้าดูโปรโมชั่น