Posted on

แรงกดดันทางการทูต: ยูเครน, สหรัฐและการตอบโต้ของรัสเซีย

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงดำเนินต่อไปโดยมีการพยายามเจรจาหยุดยิงภายใต้การเป็นตัวกลางของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของสถานการณ์ในสนามรบ รวมถึงกลยุทธ์ทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย ทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยาก ล่าสุด ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ได้เรียกร้องให้กองทัพยูเครนในภูมิภาคคูร์สค์ยอมจำนน ในขณะที่ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี เรียกร้องให้สหรัฐฯ กดดันรัสเซียให้ยุติสงคราม

ปูตินเรียกร้องให้กองทัพยูเครนยอมจำนน ปูตินกล่าวหาเจ้าหน้าที่ทหารยูเครนในภูมิภาคคูร์สค์ว่าก่ออาชญากรรมต่อพลเรือน และเสนอให้พวกเขายอมจำนนโดยรับประกันความปลอดภัยในชีวิต เขายังอ้างถึงท่าทีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้รัสเซียเมตตาต่อทหารยูเครน พร้อมทั้งกล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ อาจได้รับการฟื้นฟูหลังจากถูกทำลายลงโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อนหน้า

การที่ปูตินเสนอให้ทหารยูเครนยอมจำนนอาจสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของรัสเซียที่ต้องการควบคุมภูมิภาคคูร์สค์อย่างสมบูรณ์ก่อนเริ่มการเจรจา เนื่องจากคูร์สค์เป็นดินแดนเดียวที่ยูเครนสามารถใช้เป็นข้อต่อรองทางการทูตในขณะนี้ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ปูตินเลือกชะลอการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อเสนอหยุดยิงของสหรัฐฯ จนกว่าพื้นที่ดังกล่าวจะกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียโดยสมบูรณ์

บทบาทของสหรัฐฯ และการเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ พยายามเสนอข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ซึ่งยูเครนตอบรับไปแล้ว โดยข้อเสนอนี้ครอบคลุมแนวรบทั้งหมด และมีการหารือกันระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยูเครนในซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ ทรัมป์ยังออกมาเรียกร้องให้ปูตินปฏิบัติต่อทหารยูเครนในคูร์สค์ด้วยความเมตตา โดยย้ำว่ามีโอกาสที่สงครามอันโหดร้ายนี้จะยุติลงได้ อย่างไรก็ตาม ปูตินระบุว่ากองทัพยูเครนจะต้องได้รับคำสั่งให้ยอมจำนนก่อนจึงจะสามารถให้หลักประกันด้านความปลอดภัยได้

ในขณะเดียวกัน สหประชาชาติ (UN) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานที่ระบุว่ามีทหารยูเครนจำนวนมากถูกสังหารหลังจากยอมจำนนต่อรัสเซียตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2024 ซึ่งก่อให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของคำสัญญาที่ปูตินให้ไว้กับทหารยูเครนในปัจจุบัน

เซเลนสกีและท่าทีของยูเครน ในขณะที่ปูตินพยายามกำหนดเงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง เซเลนสกีออกมาแสดงความสงสัยในแรงจูงใจของรัสเซีย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการกดดันรัสเซีย โดยเน้นว่าทุกวันที่สงครามดำเนินต่อไปหมายถึงการสูญเสียชีวิตของประชาชนยูเครน เซเลนสกียังกล่าวหาปูตินว่าเจตนาบ่อนทำลายการเจรจาสันติภาพ และตั้งเงื่อนไขที่ไม่สามารถยอมรับได้เพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดยิง

ข้อเสนอของปูตินยังรวมถึงการกล่าวถึง “รากเหง้าของความขัดแย้ง” ซึ่งหมายถึงความต้องการให้ยูเครนไม่เข้าร่วมองค์การ NATO และให้ตะวันตกลดการปรากฏตัวทางทหารในยุโรปตะวันออก เงื่อนไขเหล่านี้ถูกปฏิเสธโดยสหรัฐฯ และพันธมิตร NATO มาโดยตลอด เนื่องจากถือว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของยูเครนและความมั่นคงของยุโรป

การกดดันทางการทูตและแนวโน้มในอนาคต เซเลนสกีเน้นย้ำว่าสงครามนี้ไม่สามารถยุติลงได้หากไม่มีแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐฯ และพันธมิตรทางตะวันตกของยูเครน เขาเรียกร้องให้ประเทศที่มีอิทธิพลต่อรัสเซียดำเนินมาตรการที่แข็งกร้าวขึ้นเพื่อบังคับให้รัสเซียยุติการรุกราน และจะเข้าร่วมการประชุมเสมือนจริงกับผู้นำยุโรปและ NATO ซึ่งจัดโดยนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เคียร์ สตาร์เมอร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางสนับสนุนยูเครนต่อไป

บทสรุป แม้ว่าจะมีความพยายามในการหยุดยิงโดยสหรัฐฯ แต่สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงซับซ้อนและเต็มไปด้วยเงื่อนไขที่ขัดแย้งกัน ปูตินพยายามกำหนดสถานการณ์ให้เป็นไปตามความต้องการของรัสเซีย ในขณะที่เซเลนสกีเรียกร้องให้มีการกดดันรัสเซียมากขึ้นเพื่อให้สงครามยุติลงอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ของการเจรจาครั้งนี้จะขึ้นอยู่กับว่าแต่ละฝ่ายจะยอมอ่อนข้อเพียงใด และแรงกดดันจากประชาคมโลกจะมีผลต่อปูตินมากแค่ไหนในกระบวนการตัดสินใจครั้งนี้.

Reference: Coohfey.com