
เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ หวนคืนสู่ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาก็เผชิญกระแสต่อต้านทางการเมืองครั้งใหญ่ ภาพของลูกโป่งยักษ์รูปร่างคล้ายทรัมป์ลอยเคว้งคว้างเหนือฝูงชนผู้ประท้วงในลอสแองเจลิส สะท้อนถึงบรรยากาศทางการเมืองที่ตึงเครียดและความไม่พอใจของประชาชนที่ขยายตัวไปทั่วประเทศ เสียงตะโกน “ต่อต้าน!” “ทรยศประชาธิปไตย!” ดังขึ้นจากทั้งประชาชนธรรมดา นักเคลื่อนไหว ไปจนถึงนักการเมืองอิสระ โดยกล่าวหาว่าทรัมป์กำลังทำลายเสรีภาพขั้นพื้นฐานและมุ่งสะสมอำนาจให้ตนเองอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติสหรัฐฯ
คลื่นการต่อต้านที่รุนแรงและขยายตัว
แม้กระแสต่อต้านจะเริ่มช้ากว่าที่เคยเกิดขึ้นในสมัยแรกของทรัมป์ แต่ความไม่พอใจในรอบนี้กลับทวีความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด ส.ส.พรรคเดโมแครตถูกกดดันจากผู้สนับสนุนให้แสดงบทบาทแข็งกร้าวขึ้น ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนเผชิญเสียงตำหนิอย่างหนักหน่วงจากประชาชนในพื้นที่ของตน ถึงขั้นมีการตั้งคำถามเรื่องสติสัมปชัญญะของประธานาธิบดี และการเรียกร้องให้ถอดถอนเกิดขึ้นอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารของทรัมป์กลับเพิกเฉยต่อกระแสต่อต้านเหล่านี้ พร้อมเดินหน้าผลักดันวาระที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา
ยุทธศาสตร์การแก้แค้นอย่างเป็นระบบ
โดนัลด์ ทรัมป์แสดงเจตนาชัดเจนว่าจะลงโทษคู่แข่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองเก่าที่เคยสอบสวนเขา เจ้าหน้าที่ที่ไม่สนับสนุนคำกล่าวอ้างเรื่องการเลือกตั้งที่ถูกขโมย หรือแม้แต่สื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของเขา
ใน 100 วันแรก ทรัมป์สั่งถอนใบอนุญาตความปลอดภัย (security clearance) ของเจ้าหน้าที่หลายคน ดำเนินคดีสืบสวนคู่แข่งทางการเมือง และกดดันบริษัทกฎหมาย รวมถึงมหาวิทยาลัยที่ไม่ยอมโอนอ่อนต่ออุดมการณ์ของเขา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือกรณีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ถูกแช่แข็งเงินทุนกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัฐบาล จนนำไปสู่การยื่นฟ้องรัฐบาลในข้อหาละเมิดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
การใช้เครื่องมือรัฐเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ทำให้หลายฝ่าย รวมถึงนักข่าวผู้คร่ำหวอดอย่างแม็กกี้ ฮาเบอร์แมน ระบุว่า ทรัมป์ได้ข้ามเส้นที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดเคยทำมาก่อน
ความเปลี่ยนแปลงที่ปั่นป่วนทางสังคมและเศรษฐกิจ
ขณะทรัมป์ประกาศความสำเร็จในฐานะแชมป์ของฝ่ายขวา ด้วยการทำลาย “ขนบธรรมเนียมเดิม” และหลีกเลี่ยงการถูกสกัดโดยสภาคองเกรสหรือศาล แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ก้าวร้าวโดยตรง
การเก็บภาษีศุลกากรแบบใหม่ (tariffs) ที่ทรัมป์ผลักดันทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ต้นทุนการดำรงชีวิตของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับคำสัญญาเรื่องราคาสินค้าที่จะถูกลง ผลสำรวจชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่เริ่มหันมาชี้ว่าทรัมป์เป็นต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจ มากกว่าจะโทษอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เหมือนในช่วงแรก
ตัวเลขสนับสนุนทรัมป์จากฐานเสียง “MAGA” (Make America Great Again) ขยายตัวมากกว่า 70% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในพรรครีพับลิกัน แต่ในภาพรวมทั่วประเทศ กลุ่มนี้ยังคงเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้น ขณะที่คะแนนนิยมของทรัมป์ในเรื่องเศรษฐกิจและเงินเฟ้อกำลังดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง
ความไม่แน่นอนที่ก่อตัวเป็นเงาทั่วทั้งประเทศ
บรรยากาศในสหรัฐฯ เวลานี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความไม่แน่นอน เสียงสะท้อนจากผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ เจบี พริตซ์เกอร์ ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่เตือนถึงความเสี่ยงของการเหยียดเพศ เหยียดชาติพันธุ์ และกีดกันกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ เป็นเหมือนการเตือนใจว่าสังคมอเมริกันกำลังมาถึงทางแยกสำคัญอีกครั้ง
หลังจากผ่านพ้น 100 วันภายใต้การบริหารงานของโดนัล ทรัมป์ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ถูกเปลี่ยนโฉมอย่างคาดไม่ถึง หรือนี่คือมาตรฐานใหม่ที่เกิดขึ้นและจะเป็นไปอย่างถาวร สิ่งที่แน่นอนที่สุดในเวลานี้ก็คือความไม่แน่นอนที่กัดกินทั้งสองฝั่งการเมือง และคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบก็คือ “ต่อจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้น?”.