
(ภาพประกอบ)
ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเอกชนกับนโยบายระดับชาติกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อ Amazon ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของโลกตกเป็นเป้าการกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังมีรายงานว่าบริษัทกำลังพิจารณาเปิดเผยต้นทุนภาษีนำเข้าบนหน้าสินค้า เพื่อแสดงให้ผู้บริโภคเห็นผลกระทบจากนโยบายภาษีโดยตรง บทสนทนา “แก้ปัญหาได้เร็ว” ที่เกิดขึ้นระหว่างทรัมป์กับเจฟฟ์ เบโซส กลับกลายเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของสงครามภาษี การเมือง และการสื่อสารกับสาธารณะในยุคที่ทุกการตัดสินใจอาจสร้างผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ
Amazon และการแสดงต้นทุนภาษี: การเมืองหรือความโปร่งใสของตลาด?
ข่าวจาก Punchbowl News เผยว่า Amazon กำลังพิจารณาแสดง “ต้นทุนภาษี” ที่รวมอยู่ในราคาสินค้าบางรายการบนเว็บไซต์ “Haul” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มลูกที่เน้นสินค้าราคาต่ำกว่า 20 ดอลลาร์ แม้จะยังไม่มีการดำเนินการจริง แต่นโยบายนี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ในการให้ข้อมูลที่โปร่งใสแก่ผู้บริโภค ถึงแม้จะมีความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์กับภาครัฐโดยตรงก็ตาม
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ทรัมป์ไม่พอใจอย่างรุนแรง โดยเขารีบต่อสายตรงถึงเบโซสทันทีที่ได้รับทราบข้อมูล และยังกล่าวต่อสาธารณะว่า “เบโซสยอดเยี่ยมมาก แก้ปัญหาเร็ว เป็นคนดี” อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังบทสนทนาที่ดูจะคลี่คลายนั้น กลับเป็นสัญญาณของความตึงเครียดระหว่างบริษัทเอกชนระดับโลกกับรัฐบาลที่ใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ
การตอบโต้ของทำเนียบขาว: ความพยายามควบคุม ‘การเล่าเรื่อง’
Karoline Leavitt โฆษกประจำทำเนียบขาวกล่าวถึงแผนของ Amazon ว่าเป็น “การกระทำเชิงศัตรูและการเมือง” ขณะที่รัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ย้ำว่า “ภาษี 10% ไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ” โดยเฉพาะในสินค้าที่สหรัฐฯ ผลิตเอง
แต่นักวิจารณ์มองว่าท่าทีเหล่านี้สะท้อนความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการควบคุมการสื่อสารเรื่องผลกระทบของนโยบายการค้า เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ซึ่งเน้นการผลิตในประเทศและลดการพึ่งพาจีน
การเมืองภาษีในโลกธุรกิจ: เมื่อความจริงไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลต้องการให้เห็น
กรณีของ Amazon สะท้อนความย้อนแย้งในนโยบายของรัฐ: รัฐบาลต้องการกระตุ้นการผลิตในประเทศผ่านนโยบายภาษี แต่ไม่ต้องการให้ประชาชนเห็นผลลัพธ์จริงในรูปของราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น การเปิดเผยต้นทุนภาษีโดย Amazon อาจสร้างแรงกดดันให้บริษัทอื่นทำตาม เช่นเดียวกับที่ Temu และ Shein ได้เริ่มแสดงค่าภาษีที่เพิ่มขึ้นในระบบชำระเงินแล้ว
ตรงกันข้ามกับท่าทีของทรัมป์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาอย่าง Chuck Schumer กลับสนับสนุนให้บริษัทเอกชนแสดงต้นทุนภาษีอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงและสามารถประเมินนโยบายสาธารณะได้ด้วยตนเอง
สัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่าง Amazon กับทรัมป์: ศัตรูหรือพันธมิตร?
แม้จะมีเหตุปะทะในเชิงนโยบาย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเบโซสกับทรัมป์ในวาระที่สองของการดำรงตำแหน่งกลับค่อนข้างแน่นแฟ้น Amazon บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุนพิธีสาบานตนของทรัมป์ และมีโปรเจกต์สารคดีเกี่ยวกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เมลาเนีย ทรัมป์ ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็ให้สัมภาษณ์กับ The Atlantic ว่า “เบโซสเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก” และยกย่องความร่วมมือระหว่างกันอย่างชัดเจน
แต่อีกด้านหนึ่ง Net worth ของเบโซสลดลงเกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายภาษีของทรัมป์และภาวะตลาดหุ้น
บทสรุป: เส้นแบ่งระหว่างข้อมูล โปร่งใส และการควบคุมการเมือง
กรณี Amazon แสดงให้เห็นว่าแม้ในโลกทุนนิยมที่เน้นข้อมูลและเสรีภาพของผู้บริโภค แต่เมื่อข้อมูลเหล่านั้นกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล การเมืองก็พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงอย่างรวดเร็ว ความพยายามของบริษัทในการเปิดเผยต้นทุนภาษี แม้จะยังไม่เกิดขึ้นจริง ก็ได้จุดประกายการถกเถียงเรื่อง “สิทธิในการรับรู้” ของประชาชน กับ “สิทธิในการควบคุมเรื่องเล่า” ของรัฐบาล
ในท้ายที่สุด เส้นแบ่งระหว่างการบริหารประเทศและการจัดการภาพลักษณ์กำลังบางเบาจนแทบแยกไม่ออก และกรณีนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสมรภูมิใหม่ระหว่าง Big Tech กับรัฐ ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีเดิมพันที่ใหญ่เกินกว่าจะยอมถอย.