Posted on

สันติภาพหรือข้อตกลงที่อ่อนแอ? การเผชิญหน้าระหว่างมาครงและทรัมป์

ในขณะที่สงครามในยูเครนยังคงดำเนินไป ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาได้แสดงท่าทีว่าตนสามารถใช้ความสามารถในการเจรจาต่อรองเพื่อยุติความขัดแย้งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ได้เตือนว่าการบรรลุข้อตกลงที่อ่อนแออาจไม่เป็นผลดีต่อยูเครนและอาจส่งผลให้รัสเซียไม่รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้

แนวทางของมาครง: สันติภาพต้องมีหลักประกัน

มาครงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรับรองความมั่นคงของยูเครน โดยระบุว่าหากมีข้อตกลงเกิดขึ้น จะต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองว่ารัสเซียจะปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวจริง ๆ เขายังกล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในการพูดคุยกับวลาดิเมียร์ ปูติน โดยเน้นว่าการเจรจากับรัสเซียต้องดำเนินการจากจุดแข็ง มิใช่จากจุดอ่อน

“เราต้องการสันติภาพ เขาต้องการสันติภาพ” มาครงกล่าวถึงทรัมป์ “เราต้องการให้เกิดสันติภาพโดยเร็ว แต่อย่าให้เป็นข้อตกลงที่อ่อนแอ เพราะสันติภาพนี้ต้องไม่หมายถึงการยอมแพ้ของยูเครน”

ทรัมป์: การเจรจาเป็นหัวใจสำคัญ

ในทางกลับกัน ทรัมป์เน้นว่าการบรรลุข้อตกลงเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดชีวิต และเขามั่นใจว่าสามารถบรรลุข้อตกลงกับรัสเซียได้ “ผมได้พูดคุยกับปูติน และทีมของผมก็กำลังเจรจากับพวกเขาตลอดเวลา ผมรู้ว่าเมื่อใดที่ใครบางคนต้องการทำข้อตกลง และเมื่อใดที่พวกเขาไม่ต้องการ” ทรัมป์กล่าว

ทรัมป์ยังไม่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับหลักประกันด้านความมั่นคงของยูเครน แต่ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพของยุโรปเข้าไปในยูเครน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เขากล่าวว่าปูตินเองก็เปิดรับ

การเผชิญหน้าทางความคิดระหว่างสองผู้นำ

แม้ว่ามาครงและทรัมป์จะมีเป้าหมายร่วมกันคือการยุติสงครามในยูเครน แต่ความแตกต่างในการดำเนินการของพวกเขายังคงเห็นได้อย่างชัดเจน ในขณะที่มาครงต้องการให้ยุโรปมีบทบาทมากขึ้นในการรักษาความมั่นคงของตนเอง ทรัมป์กลับเน้นที่แนวคิดว่าอเมริกาควรได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการเจรจาสันติภาพ

ในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกัน มาครงได้พยายามแก้ไขข้อผิดพลาดของทรัมป์เกี่ยวกับความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรปที่มีต่อยูเครน เมื่อทรัมป์กล่าวว่า “ยุโรปให้เงินยูเครนในรูปแบบของเงินกู้ และพวกเขาจะได้รับเงินคืน” มาครงได้แทรกขึ้นมาทันทีว่า “ไม่จริง ในความเป็นจริง เราจ่ายเงินไปแล้ว 60% ของความช่วยเหลือทั้งหมด มันเป็นทั้งเงินกู้ การค้ำประกัน และเงินช่วยเหลือเหมือนกับสหรัฐฯ”

ความตึงเครียดภายใน G7 และการผลักดันของทรัมป์

ก่อนที่ทั้งสองผู้นำจะประชุมกัน พวกเขาได้เข้าร่วมการประชุมทางไกลของกลุ่ม G7 ซึ่งเป็นวาระครบรอบสามปีของสงครามในยูเครน การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด เนื่องจากสหรัฐฯ ต่อต้านการระบุว่า “รัสเซียเป็นผู้รุกราน” ในแถลงการณ์ร่วมของกลุ่มผู้นำโลก และทรัมป์ยังคงเดินหน้าผลักดันให้รัสเซียกลับเข้าสู่กลุ่ม G7 แม้ว่าฝรั่งเศสและพันธมิตรยุโรปจะไม่เห็นด้วย

แม้ว่าทรัมป์และมาครงจะพยายามสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร แต่ความแตกต่างทางความคิดของทั้งสองยังคงเป็นที่ประจักษ์ และยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าทรัมป์จะเปลี่ยนจุดยืนของเขาเกี่ยวกับยูเครนและยุโรป

ผลกระทบต่ออนาคตของยูเครน

มาครงได้เตือนทรัมป์ว่าปูตินในปัจจุบันไม่ใช่ปูตินในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งก่อน และหากยูเครนพ่ายแพ้ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ ถูกมองว่าอ่อนแอในสายตาของประเทศคู่แข่ง เช่น จีน แม้ว่าเขาจะพยายามโน้มน้าวทรัมป์ให้เข้าใจถึงความสำคัญของการสนับสนุนยูเครน แต่ดูเหมือนว่าคำเตือนเหล่านี้อาจไม่มีผลกระทบต่อมุมมองของทรัมป์มากนัก

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของสหราชอาณาจักร กำลังเตรียมแผนการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพของยุโรปจำนวน 30,000 นายไปยังยูเครน โดยหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยแสดงให้เห็นว่ายุโรปมีความพร้อมที่จะรับผิดชอบด้านความมั่นคงของตนเองมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มาครงผลักดันมาโดยตลอด

บทสรุป: อนาคตที่ยังไม่มีความแน่นอน

แม้ว่าทรัมป์จะมั่นใจว่าสงครามในยูเครนสามารถยุติได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ความไม่ลงรอยกันระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปเกี่ยวกับแนวทางการเจรจาทำให้ความเป็นไปได้ในการบรรลุข้อตกลงที่ยุติธรรมสำหรับทุกฝ่ายยังคงไม่แน่นอน มาครงเน้นย้ำว่าการยุติสงครามต้องมีหลักประกันที่ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยที่รัสเซียละเมิดข้อตกลงในอดีต ขณะที่ทรัมป์ยังคงยึดมั่นในแนวคิดของการเจรจาในฐานะนักทำข้อตกลง โดยไม่ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับหลักประกันในอนาคตของยูเครน

สงครามในยูเครนยังคงเป็นบททดสอบสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป และแนวทางที่ผู้นำโลกเลือกเดินจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของทั้งยูเครนและสมดุลอำนาจระหว่างประเทศในอีกหลายปีข้างหน้า.

Reference: Coohfey.com