Posted on

วิเคราะห์เบื้องลึก: “หยุดยิงอีสเตอร์” กลยุทธ์ของรัสเซียในสงครามยูเครน

การประกาศหยุดยิงที่ไม่ได้เรียกร้องสันติภาพจริง

การประกาศหยุดยิงของรัสเซียในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก ไม่ใช่เพราะมันเป็นสัญญาณแห่งสันติภาพ แต่เพราะมันดูเหมือนการเคลื่อนไหว ทางยุทธศาสตร์ที่แฝงไว้ด้วยเจตนาแอบแฝงมากกว่าจะเป็นความตั้งใจจริงในการยุติสงคราม เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ มาร์โค รูบิโอ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งเรียกร้องให้รัสเซียแสดงความจริงใจต่อการเจรจา ปฏิกิริยาจากเครมลินจึงถูกตีความว่าเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันจากวอชิงตันมากกว่าจะเป็นความสมัครใจโดยแท้

หยุดยิงแบบไม่มีการเตรียมการ: ปัญหาที่มาพร้อมความสับสน

ประกาศหยุดยิงครั้งนี้มาพร้อมกับความสับสนในทางปฏิบัติ:

  • ยูเครนไม่ได้รับการเจรจาหรือแจ้งล่วงหน้า
  • กองทัพในแนวหน้ากำลังอยู่ในจังหวะการสู้รบที่ไม่สามารถ “หยุดทันที” ได้
  • ขาดระบบสื่อสารเพื่อประสานการหยุดยิงระหว่างฝ่าย
  • ไม่มีความชัดเจนว่าการละเมิดจะได้รับการจัดการอย่างไร

นักวิเคราะห์มองว่า ความสับสนนี้จะนำไปสู่การกล่าวโทษกันไปมา และใช้เป็นหลักฐานว่าฝ่ายตรงข้าม “ไม่สามารถไว้ใจได้”

“สันติภาพฝ่ายเดียว” กับผลกระทบเชิงลบต่อการทูต

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัสเซียประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียวโดยไม่มีการเจรจา ตัวอย่างชัดเจนคือในเดือนมกราคม 2023 เมื่อเครมลินประกาศหยุดยิงช่วงคริสต์มาสออร์โธดอกซ์ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียง “หยุดพักทางทหาร” เพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์

ความไม่ชัดเจนยังเกิดขึ้นซ้ำอีกในการหยุดยิง 30 วันที่อ้างว่าเน้นปกป้อง “โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน” ซึ่งแต่ละฝ่ายประกาศวันเริ่มต้นไม่ตรงกัน และกล่าวอ้างเนื้อหาของข้อตกลงแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาคมโลกตั้งคำถามว่า รัสเซียต้องการสันติภาพจริง หรือเพียงสร้างภาพให้ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น

ประโยชน์ทางการเมืองในมุมของปูตินและทรัมป์

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายชี้ว่า ปูตินอาจมองการประกาศหยุดยิงครั้งนี้เป็นโอกาสในการเอื้อประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ของเขาในสายตาของสหรัฐฯ โดยเฉพาะต่อทรัมป์ ซึ่งเคยแสดงท่าทีเข้าใจรัสเซียอยู่บ่อยครั้ง การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้วอชิงตันต้องออกมาประเมินว่าการตอบสนองของยูเครนเป็น “การปฏิเสธไมตรี” หรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนยูเครนในระยะยาว

สรุป: การหยุดยิงที่สร้างความเสียหายมากกว่าประโยชน์

การหยุดยิงอย่างกะทันหันและไม่มีการเตรียมพร้อมเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยส่งเสริมสันติภาพ แต่ยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการทางการทูตในอนาคต ความไม่ชัดเจน การละเมิด และเจตนาทางการเมืองที่แฝงอยู่ ทำให้หยุดยิงนี้กลายเป็นอีกหนึ่ง “ยุทธวิธี” มากกว่าจะเป็น “ทางออก”.