
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทวีปยุโรปต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ อันเนื่องมาจากนโยบายของสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้แสดงท่าทีที่อาจนำไปสู่การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในการเป็นผู้ค้ำประกันด้านความมั่นคงให้กับยุโรปและ NATO ประกอบกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากรัสเซีย ทำให้ยุโรปต้องเร่งดำเนินมาตรการในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการทหารของตนเอง
การเร่งเสริมสร้างศักยภาพทางทหารของยุโรป
การประชุมฉุกเฉินของสภายุโรปในกรุงบรัสเซลส์ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ายุโรปต้องพึ่งพาตนเองในด้านการป้องกันประเทศมากขึ้น โดยมีข้อเสนอในการจัดสรรงบประมาณกว่า 800,000 (แปดแสนล้านยูโร)ล้านยูโร เพื่อใช้ในการเพิ่มศักยภาพด้านกลาโหม และจัดหาเงินกู้ให้แก่ประเทศสมาชิกมากถึง 150,000 ล้านยูโร นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังมีแผนที่จะใช้ทรัพย์สินที่ถูกอายัดจากรัสเซียเพื่อสนับสนุนยูเครน โดยคาดว่าจะมีเงินช่วยเหลือมากถึง 33,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ได้เน้นย้ำว่าการรุกรานของรัสเซียเป็น “ภัยคุกคามเชิงอัตถิภาวนิยม” ต่อยุโรป ดังนั้นยุโรปจึงต้องมีความสามารถในการป้องกันตัวเองโดยอิสระมากขึ้น พร้อมทั้งดำเนินนโยบายที่สามารถตอบโต้ภัยคุกคามจากรัสเซียได้อย่างทันท่วงที
ความกังวลเกี่ยวกับ NATO และมาตรา 5
หนึ่งในประเด็นที่สร้างความวิตกกังวลให้กับยุโรปมากที่สุดคือท่าทีของทรัมป์ที่อาจทำให้ NATO อ่อนแอลง โดยเขาได้กล่าวว่าสหรัฐฯ อาจไม่ปกป้องประเทศสมาชิก NATO ที่ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณด้านกลาโหมให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ NATO ได้ นี่เป็นการสั่นคลอนหลักการของมาตรา 5 ซึ่งเป็นหัวใจของ NATO ที่ระบุว่าการโจมตีต่อประเทศสมาชิกหนึ่งประเทศถือเป็นการโจมตีต่อทุกประเทศสมาชิก
คำกล่าวของทรัมป์ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของประเทศสมาชิก NATO แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงที่ยุโรปจะตกเป็นเป้าหมายของรัสเซียอีกด้วย เจ้าหน้าที่ทางการยูเครนได้แสดงความกังวลว่าสหรัฐฯ กำลังดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อรัสเซียมากกว่าประเทศพันธมิตร ซึ่งอาจส่งผลให้ยุโรปกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของมอสโก
บทบาทของยุโรปในการเจรจาสันติภาพ
ในขณะที่ยุโรปยังคงให้การสนับสนุนยูเครนอย่างต่อเนื่อง ผู้นำยุโรปก็ได้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในการผลักดันการเจรจาสันติภาพ โดยการประชุมครั้งล่าสุดของผู้นำ EU ได้มีการลงนามในข้อตกลงที่เรียกร้องให้มีการเจรจาสันติภาพที่เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บานของฮังการีได้งดเว้นจากการลงนาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่ไม่เป็นเอกฉันท์ภายใน EU
ข้อเสนอของฝรั่งเศสในการให้มีการหยุดยิงเป็นระยะเวลา 1 เดือนโดยครอบคลุมทั้งทางอากาศ ทางทะเล และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน อาจเป็นก้าวแรกในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีมาครงได้เตือนว่าการเจรจาสันติภาพไม่ควรเกิดขึ้นอย่างรีบร้อน และยูเครนไม่ควรถอนตัวจากการสมัครเข้าเป็นสมาชิก NATO โดยไม่มีหลักประกันด้านความมั่นคง
ข้อสรุปและแนวโน้มในอนาคต
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ยุโรปกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดแนวทางด้านความมั่นคงของทวีปในอนาคต หากสหรัฐฯ ลดบทบาทลงจริง ยุโรปจะต้องแบกรับภาระด้านการป้องกันตนเองมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างมหาศาล และการสร้างพันธมิตรทางทหารที่เข้มแข็งขึ้นภายในทวีป
นอกจากนี้ บทบาทของยุโรปในการเป็นผู้นำในการเจรจาสันติภาพก็จะมีความสำคัญมากขึ้น การเจรจากับรัสเซียโดยไม่พึ่งพาสหรัฐฯ อาจเป็นทางเลือกที่ยุโรปต้องพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดสันติภาพที่มั่นคงในระยะยาว สุดท้าย แม้ว่ายุโรปจะพยายามพึ่งพาตนเองมากขึ้น แต่ความสัมพันธ์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกับสหรัฐฯ ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การรักษาสมดุลระหว่างการเป็นอิสระและความร่วมมือกับพันธมิตรดั้งเดิมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดอนาคตของความมั่นคงในยุโรปในทศวรรษหน้า.
Reference : Coohfey.com