
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปเคยถูกมองว่าเป็นแกนหลักของเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์โลกตลอดหลายทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เมื่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง จุดยืนของรัฐบาลสหรัฐฯ กลับเบี่ยงเบน ไปสู่การตั้งคำถามอย่างเข้มข้นต่อบทบาทของยุโรปในพันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงและการค้า ความไม่พอใจนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การคำนวณผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่สะท้อนถึงสงครามวัฒนธรรมที่กำลังก่อตัว อยู่ในอเมริกาเอง
อุดมการณ์ “Make America Great Again” กับศัตรูทางอุดมการณ์
Majda Ruge นักวิจัยอาวุโสจาก European Council on Foreign Relations ชี้ว่า นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ไม่ได้เป็นเพียงการปรับสมดุลผลประโยชน์ หากแต่เป็น “ส่วนขยายของสงครามวัฒนธรรม” ภายในประเทศ โดยที่ยุโรปกลายเป็นเป้าหมาย เนื่องจากเป็น “ฐานที่มั่นของลัทธิเสรีนิยม” ซึ่งทรัมป์และกลุ่มอนุรักษนิยมมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายด้านในสหรัฐฯ เช่น การย้ายถิ่นฐาน การเปลี่ยนแปลงทางเพศ และระบบการศึกษา
การโจมตีสหภาพยุโรปของทรัมป์สะท้อนความไม่พอใจที่ฝังรากลึกต่อโลกาภิวัตน์และระบบพหุภาคี โดยกล่าวหาว่ายุโรปเป็น “ผู้รับผลประโยชน์ฟรี” จากโครงสร้างความมั่นคงที่สหรัฐฯ เป็นผู้แบกรับ
ความมั่นคงที่ถูกแปรสภาพเป็นการต่อรอง
ทรัมป์และรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ มักแสดงท่าทีรุนแรงต่อ NATO และบทบาทของสหรัฐฯ ในยุโรป แวนซ์ถึงขั้นกล่าวว่า “ยุโรปคือข้ารับใช้ด้านความมั่นคงถาวรของสหรัฐฯ” และเคยเสนอให้ยกเลิกโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน เพราะเป็นการ “ช่วยเศรษฐกิจยุโรปมากกว่าสหรัฐฯ”
แม้ข้อกล่าวหาเรื่องการใช้จ่ายด้านกลาโหมจะมีบางส่วนเป็นจริง เช่น สมาชิก NATO หลายประเทศไม่เคยใช้จ่ายตามเป้าหมาย 2% ของ GDP จนรัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 ทำให้ยุโรปปรับตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันสมาชิก NATO 24 ประเทศจาก 32 ใช้จ่ายถึงเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเช่น Sudha David-Wilp จาก German Marshall Fund เตือนว่า “การรื้อพันธมิตรเก่าอาจทำให้โลกเสี่ยงอันตรายมากขึ้น” เพราะความร่วมมือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมีประโยชน์กับสหรัฐฯ ในหลายมิติ ทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์?
ทรัมป์มักอ้างว่าสหรัฐฯ “จ่ายเงินให้ยุโรป” ทั้งในด้านการทหารและความช่วยเหลือยูเครน แต่ข้อมูลจาก American Enterprise Institute ชี้ว่า เงินช่วยเหลือยูเครนมากกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์ถูกใช้กับบริษัทสัญชาติอเมริกันหรือกองทัพสหรัฐฯ เอง ขณะเดียวกัน ยุโรปก็มีบทบาทสำคัญในการส่งอาวุธจากคลังแสงของตน และจัดซื้อจากบริษัทตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่เป็นของสหรัฐฯ
พูดง่าย ๆ คือ สหรัฐฯ อาจไม่ได้ “แบก” ยุโรปมากเท่าที่วาทกรรมของทรัมป์ชี้ และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ กำลังได้ประโยชน์จากสงครามมากกว่าที่สาธารณชนเข้าใจ
การค้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก: ความขัดแย้งที่กำลังก่อตัว
นอกจากเรื่องความมั่นคงแล้ว ความตึงเครียดด้านการค้าก็เป็นอีกประเด็นหลัก ทรัมป์กล่าวหาสหภาพยุโรปว่า “ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาเปรียบสหรัฐฯ” และได้ประกาศมาตรการภาษีเหล็ก อลูมิเนียม และรถยนต์จากยุโรปสูงถึง 25% ส่งผลให้ยุโรปเตรียมตอบโต้ แม้ยังไม่เกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบ แต่ความเชื่อมั่นก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ข้อมูลจากปี 2023 ชี้ว่าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ แม้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าในสินค้า แต่กลับได้เปรียบในการค้าบริการ ทว่าทรัมป์กลับมองตัวเลขขาดดุลเพียงมิติเดียว และปฏิเสธความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจโลก
การเปลี่ยนแปลงที่อาจย้อนศรผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง
นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรที่เสริมความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร ในยุโรปมีฐานทัพสหรัฐฯ กว่า 80,000 นาย แม้จะลดลงจากช่วงสงครามเย็น แต่ยังถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ การถอนตัวจากยุโรปหรือแสดงท่าทีดูแคลนพันธมิตร อาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสีย “ต้นทุนต่ำ” ที่ใช้ควบคุมสถานการณ์โลกจากระยะไกล
Ruge เตือนว่า การโยนความผิดให้ยุโรปเรื่องวิกฤตในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือเป็น “ความหน้าซื่อใจคด” เพราะบ่อยครั้งที่นโยบายสหรัฐฯ เองเป็นต้นเหตุของปัญหาเหล่านั้น
ข้อสังเกต: วาทกรรมที่สะท้อนแนวคิดอนุรักษนิยมใหม่
สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์พยายามทำนั้น อาจไม่ใช่เพียงการเจรจาใหม่เรื่องค่าใช้จ่ายหรือความเป็นธรรม แต่เป็นการทำลายรากฐานของระบบพหุภาคีเดิม เพื่อแทนที่ด้วยระเบียบโลกใหม่ที่เน้นผลประโยชน์ของชาติอย่างเข้มข้นและขาดการประนีประนอม
หากแนวคิดนี้ขยายวงในวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์อย่างเต็มรูปแบบ โลกอาจกำลังเดินเข้าสู่ยุคที่ความร่วมมือข้ามชาติถูกรื้อถอน และอาจนำไปสู่ระบบระเบียบโลกที่เปราะบางยิ่งกว่าเดิม.