
ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ตึงเครียดและต่อเนื่องมานานหลายปี และไม่กี่วันที่ผ่านมาทุกอย่างก็ได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่า ความขัดแย้งนี้จะเป็นอุปสรรคต่อความหวังในการเจรจาสันติภาพที่สหรัฐฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรืออาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของทิศทางใหม่
จุดเริ่มต้นของการแตกหัก
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเอง ประณามเซเลนสกีว่าเป็น “เผด็จการที่ไม่มีการเลือกตั้ง” พร้อมกล่าวหาว่าเซเลนสกีใช้วิธีบีบบังคับให้สหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ในสงครามที่ “ไม่มีวันชนะ” ถ้อยคำเหล่านี้จุดชนวนให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงจากทั้งสองฝ่ายและจากนานาประเทศ ทรัมป์ยังขยายคำกล่าวโจมตีของเขาในระหว่างการปราศรัยในไมอามี โดยกล่าวว่า “เซเลนสกีต้องรีบดำเนินการ เขาจะไม่มีประเทศเหลืออยู่อีกแล้ว” คำพูดดังกล่าวสะท้อนคำโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียที่มักกล่าวหาว่าเซเลนสกีเป็นผู้นำที่ไม่ชอบธรรม เพราะเขาเลื่อนการเลือกตั้งออกไปภายใต้กฎอัยการศึกที่เกิดจากการรุกรานของรัสเซีย
ความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างทรัมป์และเซเลนสกี
ทรัมป์เคยมีท่าทีสงสัยต่อเซเลนสกีมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องความโปร่งใสทางการเมือง ย้อนกลับไปในสมัยที่เขายังเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์เคยกดดันให้เซเลนสกีเปิดการสอบสวนโจ ไบเดน ซึ่งในขณะนั้นเป็นคู่แข่งทางการเมืองของเขา เหตุการณ์นี้นำไปสู่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีของทรัมป์ในปี 2019 ล่าสุด ทรัมป์มักกล่าวหาเซเลนสกีว่าใช้เงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ อย่างไม่เหมาะสม โดยกล่าวว่า “เซเลนสกีอยู่บนขบวนรถไฟทองคำ” ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยถึงการได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมหาศาลจากรัฐบาลไบเดน
ปัจจัยที่ทำให้ทรัมป์ระเบิดอารมณ์
แหล่งข่าวในทีมของทรัมป์เปิดเผยว่า ความขุ่นเคืองของเขาสะสมมาระยะหนึ่งแล้ว และปะทุขึ้นเมื่อเซเลนสกีกล่าวว่าทรัมป์กำลังติดอยู่ใน “เครือข่ายข้อมูลที่บิดเบือน” ถ้อยคำนี้ทำให้ทรัมป์โกรธอย่างมาก และทำให้เขาตัดสินใจตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียทันที ทรัมป์มองว่าสงครามในยูเครนเป็นปัญหาที่บริหารจัดการผิดพลาดโดยรัฐบาลไบเดน และเขาเชื่อว่าควรหาทางยุติความขัดแย้งโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม วิธีการของเขาที่เน้นการวิจารณ์เซเลนสกีและการใช้ถ้อยคำที่เข้าทางรัสเซีย ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเขาอาจเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ให้โน้มเอียงไปทางเครมลินมากขึ้น
การตอบสนองจากนานาชาติ
นักวิเคราะห์บางคนมองว่า คำพูดของทรัมป์อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นให้ยุโรปเพิ่มการสนับสนุนยูเครน ทฤษฎีนี้ดูเหมือนจะได้รับการยืนยันจากการที่เดนมาร์กประกาศเพิ่มงบประมาณด้านอาวุธสำหรับยูเครนทันทีหลังจากคำกล่าวของทรัมป์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน ก็ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ โดยกล่าวว่า “เมื่อไหร่ที่พวกเราชาวยุโรปจะเลิกตกใจไปกับคำพูดของทรัมป์ และเริ่มช่วยเขาให้ยุติสงครามนี้จริงๆ”
ผลกระทบต่อนโยบายสหรัฐฯ
พรรครีพับลิกันบางคนเห็นด้วยกับทรัมป์ โดยวุฒิสมาชิก จอห์น ธูน กล่าวว่า “เราต้องให้พื้นที่แก่ประธานาธิบดีในการเจรจาสันติภาพ” ขณะที่วุฒิสมาชิก เควิน เครเมอร์ มองว่าทรัมป์อาจกำลังวางแผนเจรจากับปูติน และใช้วิธีการสร้างแรงกดดันต่อยูเครนเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นักการเมืองบางฝ่ายมองว่าทรัมป์อาจกำลังเดินไปในทิศทางที่ผิด และการโจมตีเซเลนสกีอาจทำให้ยุโรปไม่ไว้ใจเขามากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรสำคัญ
อนาคตแห่งความขัดแย้งนี้
ถึงแม้ว่าทรัมป์จะพยายามวางตัวเป็น “ผู้สร้างสันติภาพ” แต่คำพูดและท่าทีของเขายังสร้างความกังวลให้กับนานาประเทศ การที่เขาวางแผนเจรจากับปูตินอาจช่วยยุติสงครามได้จริง แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยการให้สัมปทานที่ไม่เป็นผลดีต่อยูเครน แม้ว่าทรัมป์จะมีอำนาจต่อรองสูงในการเจรจากับรัสเซีย แต่ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวระหว่างเขากับเซเลนสกีอาจทำให้การเจรจายากขึ้นกว่าเดิม และสุดท้ายแล้ว สงครามนี้อาจยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่มีทางออกที่ชัดเจน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว คำพูดและการกระทำของทรัมป์ได้สร้างความกังวลไปทั่วโลก และทำให้เกิดคำถามว่า ทรัมป์กำลังวางแผนสร้างสันติภาพ หรือกำลังโน้มเอียงไปทางเครมลินกันแน่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทิศทางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุโรป ซึ่งยังคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางใด.
Reference: Coohfey.com